ดาวน์โหลดโปรแกรม ดูละครย้อนหลัง อ่านเรื่องราวของความรู้รอบตัว วิทยาศาสตร์ ท่องเที่ยว สุขภาพ อาหาร รถยนต์ต่างๆ ไม่ทิ้งเรื่องราวความบันเทิงและเรื่องส่วนตัวอีกด้วย
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
23 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
3D ประสบการณ์ทะลุมิติ...ที่กำลังมาแรงในยุคนี้

ใครๆ ก็อยากดูอยากสัมผัสประสบการณ์ 3 มิติ

3D ประสบการณ์ทะลุมิติ



เมื่อเทคโนโลยีด้านภาพก้าวข้ามผ่านยุคแผ่นฟิลม์ และเทป เข้าสู่ยุคดิจิตอลอย่างเต็มตัว ส่งผลให้เกิดคำถามถัดไปว่า ก้าวต่อไปของเทคโนโลยีจะเป็นอย่างไร คำตอบที่ได้คือ '3D หรือ 3 มิติ' ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีความพยายามผลักดันมานานนับสิบปี แต่ก็ยังไม่เกิดสักที

แต่วันนี้เรื่องราว 3 มิติ กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้งอย่างมีนัยสำคัญ

เห็นได้จากซีกของคอนเทนต์ อาทิ ค่ายผู้ผลิตภาพยนตร์ ค่ายเกมดังๆ ต่างทยอยผลิตคอนเทนต์ให้ดูกันมากขึ้น อย่างหนัง AVATAR ที่ปลุกกระแสให้คอนเทนต์ 3 มิติคืนชีพก็ได้รับเสียงตอบรับจากตลาดที่ดีมาก

ในเมื่อคอนเทนต์มาแล้ว ฮาร์ดแวร์ที่รองรับเทคโนโลยี 3 มิติ ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญเพื่อเติมเต็มเทคโนโลยี 3 มิติ ให้สามารถจับต้องได้ ส่งผลให้ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ ต่างเดินสายขนจอภาพที่สามารถส่งต่อเทคโนโลยี 3 มิติ ในรูปแบบโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ จากยุคแรกเริ่มเดิมทีรูปแบบการรับชมภาพ 3 มิติ ใช้การทับซ้อนของภาพ 2 สี คือ แดง กับ น้ำเงิน ในการซ้อนให้ภาพที่ได้เกิดมิติ จึงทำให้แว่นตาที่ใช้ในการดูภาพ 3 มิติแบบนี้ จำเป็นต้องใช้แว่นตา 2 สี

ถัดมาเมื่อเทคโนโลยีเริ่มพัฒนาขึ้น ทำให้เกิดกระบวนการแสดงผลภาพรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ชัตเตอร์กลาส (Shutter Glass) ที่ใช้การซ้อนเฟรมภาพด้วยความเร็วสูงกว่าที่ม่านตาของคนเราจะสังเกตเห็น เพื่อรวมภาพ 2 เฟรมที่แตกต่างกันเข้าเป็นภาพติดตา 1 เฟรม ซึ่งเทคโนโลยีนี้ ยังต้องใช้งานคู่กับแว่นตา 3 มิติ เฉพาะที่มีม่านชัตเตอร์เปิด-ปิดตาซ้ายขวาให้กระพริบรับกับการแสดงผลภาพ

ต่อมาทางค่ายยักษ์ใหญ่ด้านจอภาพจากเกาหลีอย่าง 'แอลจี' คิดค้นเทคโนโลยีภาพที่ชื่อว่า 'Cinema 3D' แบบใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องใช้ชัตเตอร์กลาสในการรวมภาพอีกต่อไป โดยการนำภาพ 3 มิติ มาแสดงผลคู่กับแว่นตาที่ใช้เลนส์ Polarized ในการรวมแสง และเรียกรวมการแสดงผลภาพ 3 มิติรุ่นใหม่ว่า Polarized ซึ่งผู้บริโภคอาจจะคุ้นเคยกับเทคโนโลยีนี้ในโรงภาพยนตร์

แน่นอนว่าเมื่อเกิดเทคโนโลยีอย่าง Cinema 3D การรับชมภาพยนตร์ และเกม 3 มิติ ที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว จะลดอาการปวดหัว วิงเวียนศีรษะ ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงการแสดงผลภาพ 3 มิติ แบบที่ใช้เทคโนโลยี ชัตเตอร์กลาส เนื่องจากเทคโนโลยีดังกล่าวจะทำให้เกิดภาระในการรับภาพกับตาส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวในท้ายที่สุด

หลังจากนั้น แบรนด์ผู้ผลิตจอภาพต่างๆ จึงเริ่มหันไปพัฒนาทีวีอัจฉริยะกันมากขึ้น โดยยังคงความสามารถในการแสดงผล 3 มิติ ควบคู่ไปกับหน้าจอ LED และเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ให้สามารถตอบสนองไลฟ์สไตล์การใช้งานยุคใหม่ต่อไป


พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด (โชว์โนลิมิต) ผู้คร่ำหวอดในวงการเกมเมืองไทยให้ความเห็นถึงการเกิดขึ้นของกระแส 3 มิติทั่วโลกว่า มีต้นเหตุมาจากการเบื่อภาพ 2 มิติของชาวไอที ซึ่งปัจจุบัน ความแพร่หลายของเทคโนโลยี 3 มิติทำให้ร่างกายมนุษย์สามารถปรับตัวและรับชมภาพ 3 มิติได้นานขึ้นและบ่อยกว่าเดิม

'คนเล่นเกมและดูภาพยนตร์เห็นสิ่งเดิม ๆ มานานเกิน 10 ปี แม้เทคโนโลยีจะทำให้ภาพคมชัดขึ้น แต่คนเหล่านี้ก็ยังต้องการของใหม่ตลอดเวลา เทคโนโลยีภาพ 3 มิติจึงถือว่าตอบโจทย์คนเล่นเกมและนักชมภาพยนตร์มาก'

ที่น่าสนใจคือเขาเชื่อว่าคนไทยและคนทั่วโลกจะไม่มีคำถามก่อนตัดสินใจซื้อสินค้า 3 มิติว่า 'ดูนานแล้วมึนไหม' เนื่องจากพัฒนาการภาพยนตร์และเกม 3 มิติที่มีความยาวเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

'ผมเชื่อว่าร่างกายมนุษย์ขับสารพิเศษได้ ก่อนนี้เราดูภาพยนตร์ 3 มิติได้แค่ 30-40 นาที แต่วันนี้ภาพยนตร์ 2 ชั่วโมงเป็นภาพ 3 มิติทั้งเรื่อง'

เมื่อเทคโนโลยีของหนังก้าวเข้าสู่ 3 มิติ เกมจึงเป็นอีกหนึ่งคอนเทนต์ที่สามารถพัฒนาให้ขึ้นมาแสดงผลบนจอภาพ 3 มิติ และแน่นอนว่าเครื่องคอมพิวเตอร์จึงกลายเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเล่นเกม และใช้งานมัลติมีเดียแบบ 3 มิติ ควบคู่กันไปด้วย

ทำให้ค่ายผู้ผลิตโน้ตบุ๊ก ต่างก็ให้ความสำคัญกับการแสดงผลภาพ 3 มิติ ดังที่เห็นได้จากการเปิดตัวไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่รองรับการแสดงผลแบบ 3 มิติ ทั้งจากค่ายพี่ใหญ่ในไทยอย่างเอเซอร์ที่เริ่มนำโน้ตบุ๊ก 3มิติ Acer Aspire 5740 DG เข้ามาวางจำหน่ายตั้งแต่ปลายปี 2552 เป็นวิธีการใช้ซอฟต์แวร์ที่ติดตั้งมาภายในเครื่องเป็นตัวแปลงภาพ 2 มิติให้เป็น 3 มิติ แต่ก็ทำได้เพียงแค่เกาะกระแสเท่านั้น

ถัดมาค่ายคู่แข่งจากไต้หวันอย่าง 'เอซุส' ก็มีการนำโน้ตบุ๊ก Asus G51J-1X110V เข้ามาทำตลาด ในขณะนั้น ทั้ง 2 แบรนด์ต่างมองว่า เป็นการนำนวัตกรรมเข้ามาให้ลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากกว่า และไม่คิดว่าจะทำยอดขายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจากโน้ตบุ๊กตระกูล 3 มิติ ทั้งหลาย และก็เป็นจริงตามที่คาด 'ได้แค่เกาะกระแสแบบเงียบๆ'

ส่วนเอชพี และ โซนี ก็เริ่มชิมลางตลาดโน้ตบุ๊ก 3 มิติ ด้วยเช่นกัน เพียงแต่จากการวางฐานผลิตภัณฑ์อย่าง Envy และ Vaio นั้นอยู่ที่ระดับไฮเอนด์ ทำให้ราคาสินค้ายังค่อนข้างสูง แต่แน่นอนว่าโน้ตบุ๊ก 3 มิติ ของทั้ง 2 แบรนด์ ยังคงจำเป็นต้องใช้แว่นตาเพื่อรวมภาพ

ส่วนเรื่องหน่วยประมวลผลนั้น ส่วนใหญ่ที่แต่ละค่ายเลือกมาเพื่อใช้ประมวลผล หนีไม่พ้น อินเทล คอร์ ไอ5 เป็นอย่างต่ำ โดยจะต้องทำงานร่วมกับค่ายการ์ดจอประสิทธิภาพสูงไม่ว่าจะเป็นค่าย ATI และ NVIDIA ก็ตาม การ์ดจอของอินเทลที่ฝังอยู่ในชิปไม่แรงพอที่จะทำงาน 3 มิติ นั้นจึงทำให้ราคาจำหน่ายของโน้ตบุ๊ก 3 มิติ จึงค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊กทั่วๆไป ที่มีสเปกใกล้เคียงกัน

ก่อเกิด 3 มิติ ไร้แว่น

ก่อนนี้ชาวออนไลน์หลายคนอาจมองว่าหน้าจอเทคโนโลยี 3 มิตินั้นเกิดมาคู่กับแว่นตา 3 มิติ แต่วันนี้คู่หู 3 มิติถูกแยกจากกันเรียบร้อยแล้ว ล่าสุดโตชิบา เปิดศักราชคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่ขาเกมและคอหนังสามารถดูภาพ 3 มิติได้โดยไม่ต้องใช้แว่นตา คาดว่าจะมีประโยชน์ต่อวงการโฆษณาในอนาคต

ต้องยอมรับว่า เมื่อพูดถึงจอภาพ 3 มิติที่ไม่ต้องใช้แว่นตานั้น ถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น เพราะแนวโน้มช่วงแรกนั้นดูเหมือนว่าชาว 3 มิติจะต้องผูกติดกับแว่น แต่ในที่สุดโลกก็เดินมาถึงจุดที่ชาว 3 มิติตั้งคำถามว่า 'ไม่ต้องมีแว่นได้ไหม' เพราะแว่นตา 3 มิตินั้นถูกผู้ใช้บางส่วนมองว่าเป็นภาระ ไม่เพียงต้องเก็บรักษาให้ดี แต่ยังต้องชาร์จถ่านไว้ตลอดเวลาสำหรับบางรุ่น

โตชิบาให้ชื่อคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องแรกของโลกที่ไม่ต้องใช้แว่นตาว่า Qosmio F750 เรียกคะแนนความสนใจจากผู้ใช้ทั่วโลกโดยเฉพาะคอเกมและนักชมภาพยนตร์ได้ไปเต็มๆ ทำให้ต่อไปไม่ต้องทนใส่ทั้งเฮดโฟนหูฟังตัวหนาพร้อมกับแว่นตาอีกต่อไป เรื่องนี้โตชิบามองว่า โน้ตบุ้ก 3 มิตินั้นจะตอบโจทย์กลุ่มเกมมากที่สุด โดยเฉพาะความสามารถนำเกม 2 มิติเดิมมาเล่นได้ เพราะมีตัวประมวลผลและสร้างภาพ 3 มิติติดตั้งแล้วในเครื่อง

เทคโนโลยีที่ใช้แสดงผลภาพ 3 มิติ ของโตชิบานั้นใช้หน้าจอแบบ 'lenticular' ที่สามารถทำให้เกิดภาพ 3 มิติสำหรับตาแต่ละข้างได้แบบความละเอียดสูง ซึ่งจะทำงานควบคู่ไปกับกล้องเว็บแคมให้ระบบสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวของดวงตาผู้ใช้ และปรับคุณสมบัติ 3 มิติสำหรับตาแต่ละข้างที่มีตำแหน่งเปลี่ยนไป แต่มีข้อแม้ว่าภาพ 3 มิติตาเปล่านี้จะสามารถชมได้คนเดียว

โตชิบาระบุว่า ทุ่มเม็ดเงินพัฒนาเทคโนโลยี 3 มิติไม่ง้อแว่นไปไม่น้อย โดยบอกเป็นตัวเลขกว้างๆ ว่า ระดับหลายพันล้านดอลลลาร์สหรัฐ ผู้ใช้ Qosmio F750 สามารถใช้งานพิมพ์ โดยไม่เวียนศรีษะ เพราะสามารถแสดงภาพ 2 มิติได้ตามปกติ เมื่อคอนเทนต์เป็น 2 มิติ เชื่อว่าน่าจะสามารถครองตลาดกลุ่มธุรกิจที่ต้องการนำเสนองานหรือพรีเซนเทชันแนวใหม่ และกลุ่มที่ประกอบธุรกิจโฆษณา ซึ่งไม่ต้องมีพนักงานคอยเก็บรักษาแว่นเช่นเดิม

ควรซื้อ 3 มิติเลยไหม

เคยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแบ่งประเภทผู้บริโภคสินค้านวัตกรรมไอทีเป็น 3 ประเภท ได้แก่ กลุ่มล้ำสมัย นำสมัย และทันสมัย ซึ่งชาว 3 มิติต้องเลือกให้ดีว่าต้องการเป็นผู้บริโภคกลุ่มไหน เพราะต้องทำใจได้เลยว่า เทคโนโลยี 3 มิติยังต้องพัฒนาอีกยาวไกล ดังนั้นสินค้า 3 มิติที่วางตลาดในวันนี้จะตกรุ่นในเวลา 1-2 ปีนับจากนี้แน่นอน

'คนที่ซื้อสินค้านวัตกรรมออกใหม่ก่อนใครจะเป็นกลุ่มล้ำสมัย คนที่รอสักพักจนสินค้าเริ่มแพร่หลายระดับหนึ่งจะเป็นกลุ่มนำสมัย ส่วนที่รอจนสินค้านั้นแพร่หลายแล้วก็จะเป็นกลุ่มทันสมัย ฉะนั้นให้คิดว่า ใครซื้อก่อนก็ได้ใช้ก่อน ได้คุยก่อน' คำพูดดังกล่าวเป็นทั้งคำถามและคำตอบในตัวสำหรับผู้ที่มักจะมีคำถามว่า ถึงเวลาซื้อนวัตกรรมใหม่ๆ นี้หรือยัง

3 มิติ คือเทคโนโลยีที่กำลังจะมา ณ ช่วงเวลาหลังจากนี้ไป แต่ถ้าจะฟันธงไปว่า จะกลายเป็นมาตรฐานเมื่อไรนั้น คงตอบได้ยาก


ที่มา
//www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000089207


Create Date : 23 กรกฎาคม 2554
Last Update : 23 กรกฎาคม 2554 8:54:13 น. 0 comments
Counter : 829 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

scimovie
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 108 คน [?]




แหล่งรวบรวมความรู้ โปรแกรม เพลง หนัง เกมส์ วิทยาศาสตร์ ดูละคร เรื่องย่อ ภาพยนตร์ การเงิน และอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายขอกำลังใจให้มีแรงอัพเดทตลอดๆ ครับ ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนกันครับ
Friends' blogs
[Add scimovie's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.