หลังจากที่รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีได้พยายามถอยจนเกือบจะสุดซอยในเรื่องการผลักดันพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฯ ฉบับที่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรเมื่อเช้ามืดของวันที่ 1 พ.ย. จนก่อให้เกิดกระแสการต่อต้านและคัดค้านไปทุกหัวระแหง

จนกระทั่ง ล่าสุด วุฒิสภาได้มีมติเมื่อคืนวันที่ 11 พ.ย.ที่ผ่านมา ไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์ มีผลให้ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ถูกยับยั้งโดยวุฒิสภาและส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร โดยต้องทิ้งระยะเวลาไว้ 180 วัน สภาผู้แทนราษฎรจึงจะหยิบยกขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้

ทั้งนี้ หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 4 พรรคได้มาร่วมลงนามในสัตยาบันแล้วว่า จะไม่มีการหยิบยกกฎหมายที่ถูกยับยั้งไว้ ขึ้นมาพิจารณาอีก แต่ดูเหมือนว่า ยังมีมวลชนบางส่วนที่ออกมาคัดค้าน ร่าง พ.ร.บ.ก่อนหน้านี้ ไม่เชื่อใจว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลจะไม่หยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีก เมื่อครบกำหนด 180 วันแล้ว จึงยังคงปักหลักชุมนุมอยู่ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยแกนนำต้องการให้มีการถอนรากถอนโคนกฎหมายฉบับเลย

ตรงนี้เอง จึงเป็นที่มาของความคิดเห็นที่แตกต่างกันในหมู่ประชาชนที่ร่วมกันออกมาคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ในช่วงแรก โดยฝ่ายหนึ่งเห็นว่า รัฐบาลถอยสุดซอยแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกมาเคลื่อนไหว หรือชุมนุมอีกต่อไป เว้นแต่รัฐบาลมีแนวโน้มจะหยิบยกกฎหมายขึ้นมาปัดฝุ่นอีก ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่า จำเป็นที่จะต้องชุมนุมกันต่อไป เพื่อให้มีหลักประกันตามกฎหมายว่า จะไม่มีการนำร่างกฎหมายในลักษณะนี้ เข้ามาพิจารณาในสภาผู้แทนอีกฯ

แม้ว่าคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ จะเคยมีเป้าหมายร่วมกันในระยะแรก แต่เมื่อเงื่อนไขทางการเมืองหมดไป ฝ่ายหนึ่งจึงเลือกที่จะกลับไปสะสางงานของตนเอง อีกส่วนหนึ่งก็ปักหลักสู่กันต่อไป แต่ก็ทำให้อำนาจต่อรอง โดยเฉพาะในด้านกำลังคนที่มาชุมนุมดูแผ่วลงไปพอสมควร

ส่วนทางฟากของรัฐบาล เมื่อถอดกรูดไปเกือบสุดซอย จนซวนเซไปบ้าง แต่เมื่อตั้งตัวได้ ก็เริ่มออกอาวุธโดยอาศัยกลุ่ม นปช.จัดการชุมนุมเพื่อสนับสนุนรัฐบาล เพื่อเป็นการขู่ฝ่ายตรงข้ามว่า รัฐบาลนี้ ยังมีมวลชนหนุนอยู่เป็นจำนวนมาก จากนั้นก็ทำตัวเป็น “ทองไม่รู้ร้อน” คือไม่ว่าใครจะว่ากล่าว หรือวิพากษ์วิจารณ์อะไร เกี่ยวกับปัญหาของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินหน้าบริหารราชการแผ่นดินต่อไป โดยไม่สนใจข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะพยายามถอยจนเกือบสุดซอยเพื่อลดเงื่อนไขของการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลไปได้แล้วในระดับหนึ่ง แต่ต้องไม่ลืมว่า การที่รัฐบาลปล่อยให้ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลกระทำการอันฝืนต่อความรู้สึกของประชาชนด้วยการลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ นั้น ย่อมทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดนี้ขึ้นมาแล้ว การดำเนินการใดๆ ของรัฐบาลนับจากนี้ไป ย่อมไม่สามารถทำอะไรตามอำเภอใจได้อีก

โดยเฉพาะประเด็นที่อ่อนไหวอันได้แก่ ผลจากคำพิพากษาของโลกในคดีการตีความคำตัดสินกรณีปราสาทพระวิหารที่ยังคงมีประเด็นถกเถียงว่า ประเทศไทยจะเสียดินแดนส่วนที่เป็น “บริเวณใกล้เคียง” ตัวปราสาท ตามคำตีความของศาลโลกหรือไม่ ซึ่งขึ้นกับว่า “บริเวณใกล้เคียง” ตัวปราสาทนี้ จะกินพื้นที่มากน้อยเพียงใด และการกำหนดพื้นที่ดังกล่าว ศาลโลกให้ไทยและกัมพูชาไปตกลงเจรจากันเอง

เพราะที่ผ่านมา เป็นที่ทราบดีว่า รัฐบาลของพรรคเพื่อไทย มีความสัมพันธ์พิเศษกับรัฐบาลกัมพูชาที่มีสมเด็จฮุน เซน เป็นนายกรัฐมนตรี ดังนั้น การเจรจาเรื่องเขตแดนดังกล่าว ย่อมถูกจับตาจากทุกฝ่ายเป็นพิเศษว่าจะมีการตกลงใดๆ ที่ทำให้ประเทศไทยต้องเสียเปรียบหรือไม่

ดังนั้น สถานการณ์การเมืองจากนี้ไป ต้องมาดูกันว่า รัฐบาลชุดนี้ จะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน โดยไม่ยอมรับความผิดพลาดต่อการกระทำที่ฝืนความรู้สึกของประชาชนจำนวนมาก เพียงเพราะเชื่อมั่นว่าฝ่ายตนมีเสียงข้างมากในสภา อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามอำเภอใจ ได้อีกนานเพียงใด

เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยในกรณีคำร้องเรียนเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภาไปในทางที่ไม่เป็นคุณต่อรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย หรือในกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. มีการชี้มูลความผิดว่ามีการทุจริตในโครงการจำนำข้าว ซึ่งทั้ง 2 กรณีอาจมีผลให้มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ ก็จะทำให้ข้อเรียกร้องของฝ่ายผู้ชุมนุมที่อยู่ตรงข้ามรัฐบาลมีความชอบธรรมมากขึ้น

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในช่วงนี้ กลุ่ม นปช.และพรรคเพื่อไทย จะพยายามเดินสายไปในจังหวัดต่างๆ รวมทั้งนัดหมายที่มาชุมนุมใน กทม.ระหว่างวันที่ 18-20 พ.ย. ซึ่งตรงกับช่วงที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายฟังคำวินิจฉัย โดยมีเป้าหมายชัดเจนว่า เพื่อปกป้องรัฐบาล

เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ประกอบกับองค์ประกอบและตัวแปรต่างๆ แล้ว ทำให้ไม่แน่ใจว่า รัฐบาล “ทองไม่รู้ร้อน” ชุดนี้ จะมีอายุยืนยาวถึงตอนอวสานของละคร “ทองเนื้อเก้า” ที่กำลังเข้มข้นอยู่ในขณะนี้หรือไม่ เพราะช่วงเวลาอันตรายของรัฐบาลนั้น ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว...