bloggang.com mainmenu search



บทที่ 3

เฮือนฟ้าพ่นลมหายใจออกจากปอดอย่างหนักหน่วงเมื่อถูกอุ้มขึ้นจากเรือมาวางลงบนพื้นดินบนตลิ่ง สัญชาตญาณบวกกับพลังแห่งการต่อสู้อันเหลือน้อยนิด ทำให้เธอเหลียวมองหาทางเอาตัวรอดเพื่อให้พ้นจากสภาพไม่น่าวางใจ แม้ระหว่างถูกพาขึ้นเรือมาจะไม่มีการคุกคามใดๆ แต่หนทางข้างหน้ายังน่าหวาดหวั่นสำหรับเธออยู่ดี

แต่แล้วความหวังก็ถูกทำลายจนริบหรี่เหมือนแสงหิ่งห้อยในคืนเดือนมืด เมื่อมองเห็นร่างของชายในชุดดำจำนวนสองคนโผล่มาจากด้านหลังตรงไปที่เรือ แล้วจัดการจมมันลงไปใต้น้ำจนไม่เห็นชิ้นส่วนใดๆ

พลันเธอก็ใจหายวาบเมื่อถูกอุ้มพาดบ่าชายร่างสูงใหญ่คนเดิม แล้วพาเดินขึ้นเนินลอดเถาวัลย์น้อยใหญ่ที่พันโยงใยกันเป็นแผงปกคลุมจนรกครึ้ม ระหว่างนั้นเธอดิ้นรนสุดชีวิต แต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นและพยายามเอามือที่ถูกมัดทุบหลังคนกำลังเดิน พร้อมกับออกแรงใช้ปลายเท้ากระทุ้งหน้าอกกว้างเท่าไหร่ ชายไม่ทราบฝ่ายก็ยิ่งรัดร่างเธอให้กระชับแน่นมากขึ้นจนแทบกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ เสียงลมหายใจของตัวเธอเองผสานกับเสียงหอบเบาๆ ของชายลึกลับจนแทบแยกไม่ออก ถึงอย่างนั้นเรี่ยวแรงของชายที่แบกเธอกลับไม่มีทีท่าว่าจะตก ความกังวลเพิ่มมากขึ้นเมื่อปลายหางตาเหลือบเห็นชายสองคนเดินเร็วๆ ตามหลังมา

สักพักเธอก็ถูกนำตัวไปที่รถทหารลายพรางคันหนึ่งซึ่งจอดซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ลึกจากเส้นทางเข้าไปพอสมควร ชายคนเดิมวางเธอลงบนที่นั่งด้านหลังแล้วนั่งขนาบข้างโดยมีชายอีกคนเข้ามานั่งขนาบอีกด้าน

ความทรมานบวกกับความหวาดหวั่นเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งเมื่อรถแล่นออกจากที่ มันวิ่งโขยกเขยกขึ้นลงและเอียงซ้ายขวาบ่งบอกถึงเส้นทางขรุขระ เพราะถูกมัดมือมัดเท้าร่างเธอจึงเสียหลักไปตามการเอนเอียงของรถ แต่มันเกิดได้เพียงครั้งเดียวเมื่อรู้สึกได้ถึงมือแข็งแรงตวัดรั้งตัวเธอไปพิงกับเรือนร่างใหญ่อย่างแนบชิด พอขยับขืนตัวออกก็ยิ่งถูกวงแขนรัดแน่น เมื่อหันไปมองหน้าก็เห็นแต่นัยน์ตาเป็นประกายกล้าสานสบมา เธอได้แต่ครางอยู่ในลำคออย่างคนสิ้นหนทาง เสียงกิ่งไม้เกาะเกี่ยวสะบัดตีกับตัวถังรถเป็นระยะไม่หยุดหย่อน

ทุกสิ่งเกิดขึ้นยาวนานต่อเนื่องมาจนกระทั่งรถเริ่มแล่นผ่านบริเวณป่าโปร่ง เส้นทางค่อนข้างดีกว่าเดิมจนรถเร่งความเร็วมากขึ้น มันพาคนบนรถผ่านร่องห้วยจนน้ำแตกกระจายแล้วครางกระหึ่มเมื่อขึ้นเนินสูง แล้วเฮือนฟ้าก็ต้องย่นคิ้วตามด้วยการเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง เมื่อเห็นสิ่งปลูกสร้างแบบง่ายๆ กระจายกันห่างๆ ไกลออกไปเธอเห็นกลุ่มคนสวมชุดคล้ายกันจำนวนหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเขม้นมองให้แน่ชัดรถก็แล่นผ่านเลยไปอย่างรวดเร็วไปหยุดหน้าสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่ง เธอถูกอุ้มขึ้นพาดบ่าโดยชายคนเดิมเข้าไปในในห้องๆ หนึ่ง ซึ่งค่อนข้างมืดสลัว

เธอกำลังจะขยับตัวลุกขึ้นนั่งแต่ถูกคนพามาโน้มตัวลงมาแก้มัดเชือกที่ปาก หญิงสาวอ้าปากหอบหายใจเข้าไปเต็มที่ ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไร ชายคนนั้นก็ยืดตัวขึ้นแล้วมองนิ่งมายังเธออยู่สักครู่ก่อนจะหมุนตัวย่ำเท้าห่างออกไป


“เดี๋ยว! แก้มัดฉันให้หมดก่อนสิ!”

คนถูกเรียกหยุดเท้า แล้วเอี้ยวตัวมาพูด “อย่าเพิ่งดีกว่า ขี้เกียจออกแรงอีกรอบ”

“ฉันบอกให้แก้มัดฉัน ไม่ได้ยินหรือไง!”

ไม่มีคำพูดใดๆ ตอบกลับมา นอกจากการเดินหน้าแล้วกระชากประตูเปิดและปิดตามในทันที เสียงประตูลั่นเอี๊ยดพร้อมกับแสงสว่างลอดเข้ามาเสี้ยววินาทีแล้วทุกอย่างก็เข้าสู่ความสลัวรางอีกครั้ง

เสียงเอะอะพูดคุย เสียงเดิน เสียงตอกวัตถุดังผสานกันมาจากทุกทิศทางจนแยกไม่ออก การเคลื่อนไหวของสรรพสิ่งด้านนอกเหมือนอยู่ท่ามกลางหมู่บ้านหรือชุมชนขนาดใหญ่ แต่แล้วเธอก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงวิ่งลงเท้ากับพื้นหนักๆ อย่างพร้อมเพรียงกันพร้อมกับเสียงห้าวใหญ่ตะโกนประสานกันเสียงดัง

หรือว่าที่นี่คือ...ค่ายทหาร!

ลูกทหารอากาศอย่างเธอทำไมจะไม่เคยเห็นหรือเคยได้ยินการฝึกของเหล่าทหาร เพราะเห็นมาตั้งแต่เด็กนี่แหละที่ทำให้เธอชื่นชอบความเข้มแข็งจนถึงขนาดไปร่ำเรียนวิชาการต่อสู้ แม้จะไม่เก่งกาจจนสามารถเอาชนะผู้ชายอกสามศอกได้ แต่หากเป็นคนอ่อนชั้นเชิงหรือไม่เป็นมวยแล้วล่ะก็ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าสามารถช่วยเหลือตัวเองได้

แต่มันจะเป็นกองกำลังทหารของประเทศไหน หรือว่าเป็นทหารไทย หญิงสาวใจเต้นแรงเมื่อนึกถึงสิ่งต่อมา

กองกำลังชนกลุ่มน้อย!

หญิงสาวสะดุ้งเฮือก ใจเต้นแรงเมื่อได้ยินเสียงคล้ายมีใครเดินมาบนเรือนตามด้วยเสียงลั่นออดแอด เธอเพ่งมองไปยังต้นเสียง อึดใจประตูห้องก็เปิดออก แสงไฟจากตะเกียงในมือของผู้มาเยือน จับให้เห็นร่างผอมเพรียวของสตรีในชุดเสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวสีน้ำเงินจางกับกางเกงขายาวสีเดียวกัน ในมือมีเทียนสีเหลืองขนาดใหญ่เท่าลำแขนยาวเกือบฟุต

เฮือนฟ้าเพ่งมองใบหน้าอีกฝ่ายพลางคะเนอายุ ด้วยการเริ่มจากสังเกตตั้งแต่ใบหน้าเนียนผิวสีน้ำผึ้งดูอ่อนเยาว์ ผมรวบเป็นมวยสูงเปิดโครงหน้าเรียวยาว โดดเด่นด้วยคิ้วเข้มดำ ลำคอมีผ้าพันคอสีเขียวลายทางผสมสีขาวคล้องคอง่ายๆ น่าจะประมาณสิบแปดหรือสิบเก้าปี น้อยกว่าเธอสักห้าปี ประมาณนั้น...

พื้นไม้ลั่นดังออดแอดยามผู้มาใหม่สาวเท้าไปยังโต๊ะติดผนัง พอวางเทียนลงบนโต๊ะไม้ไผ่กลมกลืนกับผนัง เจ้าหล่อนก็ก้าวเท้ามาหาเธอแล้วบอกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเธอ

“เดี๋ยวคำขิ่นจะแก้มัดให้นะคะ”

ประโยคสั้นๆ เหมือนประตูอิสรภาพเปิดออก เฮือนฟ้าสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ขณะที่หญิงสาวคนพูดเริ่มต้นแก้มัดที่ปากเธอก่อน ระหว่างนั้นก็พูดเป็นเชิงบอกเล่าโดยไม่สนใจว่าเธอจะอยากรู้หรือไม่

“ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า ต้องอาศัยเทียนกับขี้ไต้ กลิ่นอาจจะเหม็นหน่อยนะคะ”

“ที่นี่ที่ไหนเหรอ...เอ่อ...คำขิ่น” เฮือนฟ้าเอ่ยชื่อที่เจ้าตัวเรียกตัวเองอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

หญิงสาวที่เรียกว่าเด็กสาวดูจะเหมาะกว่าเงยหน้าเรียวขึ้นสบตากับคนถาม ยังไม่ทันจะเอ่ยอะไรประตูก็เปิดออก เฮือนฟ้าเบิกตากว้างเมื่อเห็นชายชุดดำใบหน้าดำเมื่อมคนเดิมก้าวเข้ามา เป็นจังหวะเดียวกับที่มือและเท้าเธอเป็นอิสระ เธอจึงลุกพรวดขึ้น สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เธอตวัดแขนล็อคคอคำขิ่นเอาไว้

“เฮ้ย!” เด็กสาวร้องอุทานอย่างตกใจ

ทว่าดูเหมือนท่าทางของชายผู้มาทีหลังไม่ได้ตกใจสักนิด ราวกับนึกอยู่แล้วว่ามันน่าจะเกิดขึ้น มีแค่ประกายตาคมกล้าเจือแววบางอย่างวาบจากดวงตาดำใหญ่ หากมันก็เกิดขึ้นเพียงแวบเดียวเท่านั้น คล้ายจะขำมากกว่าจะเป็นความโมโห...

การเคลื่อนไหวต่อมาเป็นการโต้ตอบอย่างรวดเร็วจนเฮือนฟ้าก็คาดไม่ถึง คำขิ่นใช้ลำแขนทุบเข้ากับลำแขนที่รัดคอของเฮือนฟ้า ด้วยความที่ไม่ทันระวังตัวประกอบกับไม่ทันนึกว่าอีกฝ่ายจะมีวิชาเอาตัวรอด หญิงสาวจึงอุทานออกมาอย่างเจ็บปวดพร้อมกับเผลอคลายแขนออก

เด็กสาวฉวยโอกาสนั้นดึงตัวออกแล้วหมุนตัวมาผลักเธอไปทางประตูเข้าหาคนที่ยืนคุมเชิงอยู่ เพราะร่างกายอ่อนเปลี้ยกว่าปกติจึงหลบไม่พ้นทำให้ถูกวงแขนกว้างตวัดรอบเอวแล้วรัดแน่น เฮือนฟ้าใจหายวาบ สะบัดตัวดิ้นออก ถึงจะไม่มีสัมผัสหยาบคายน่ารังเกียจ แต่ความกลัวยังครอบคลุมร่างกายและจิตใจเหมือนตกอยู่ท่ามกลางคมหอกและปลายหนามแหลม

“สัญชาตญาณดีนี่ แต่ฝีมือยังต้องไปเรียนเพิ่มเติมใหม่”

*********************
พอได้โอกาสจะหนีก็หนีไม่พ้นซะเนี่ยเฮือนฟ้า
ว่าแต่ใครกันที่จัดการเธอได้? ท่าทางจะไม่เบาทีเดียวล่ะ
ขอบคุณสำหรับการติดตามค่า
รักคนอ่าน
รัณณา
4 ตุลาคม 2560




Create Date :04 ตุลาคม 2560 Last Update :4 ตุลาคม 2560 21:09:32 น. Counter : 1060 Pageviews. Comments :0