bloggang.com mainmenu search


บทที่ 5 ในดินแดนต่างดาว

พอร่างสูงใหญ่ของธีซัสเดินหายออกไปทางปากถ้ำกว้างประมาณห้ามเมตรแล้ว น้ำพลอยก็เริ่มสังเกตรอบตัว มันไม่มีอะไรนอกจากผนังหิน เธอจึงลุกขึ้นเดินไปไปยังปากถ้ำ จากนั้นชะโงกมองไปด้านนอก มันคือป่าดิบชื้นดีๆ นี่เอง ต้นไม้ขนาดใหญ่สูงชะลูดมีเถาวัลย์พันเกี่ยวและห้อยระโยงระยาง พื้นดินเต็มไปด้วยไม้พื้นล่างหนาแน่น เสียงนกร้องมาจากเรือนยอดไม้ สัตว์ขนาดเล็กคล้ายกระรอกพุ่งจากต้นไม้นั้นไปยังต้นนี้

ธีซัสบอกว่าแถวนี้เป็นเขตปลอดภัยทำให้เธอรู้สึกหายใจได้เต็มปอด แต่ก็ยังไม่กล้าเดินออกจากปากถ้ำ ได้แต่ยืนมองบรรยากาศป่าต่างดาวแล้วครุ่นคิดถึงโลกที่จากมา ป่านนี้ทุกคนคงจะรู้แล้วว่าเธอหายไปและคงออกตามหากันจ้าละหวั่น แต่คงไม่มีทางเจอเธอได้หรอกในเมื่อเธอถูกพาเดินทางข้ามดวงดาวแบบนี้ มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ แต่มันก็เป็นไปแล้ว เธอยังไม่รู้อะไรมากนักนอกจากว่าตัวเองชื่อเอมิลา นั่นก็หมายความว่าธีซัสกับคนที่อยู่ดาวดวงที่เขามา รอคอยวันที่จะพาเธอกลับไป ซึ่งวันนี้ก็มาถึง แล้วพี่เพชรล่ะ...ทำไมธีซัสไม่พาพี่เพชรมาด้วย

หญิงสาวอยู่ในภวังค์หลายนาทีเลยทีเดียว เธอหลับตาลงเมื่อปวดหนึบที่ศีรษะอันเกิดมาจากความเครียด อึดใจก็ลืมตาทันทีเมื่อได้ยินเสียงกรอบแกรบมาจากด้านข้าง เธอยืดตัวขึ้น ตามองไปยังทิศต้นเสียง

พลันก็ต้องตะลึงเมื่อภาพที่เห็นคือสัตว์สีขาวตัวเล็กยืนสองขา ขนาดเท่าสุนัขพุดเดิ้ล ตาโตของมันมองมายังเธออย่างสงสัยและยังเอียงคอไปมา ตัวมันเป็นสีขาวขนปุย หูแหลมชี้ออกด้านข้าง หญิงสาวจ้องตามันอยู่ชั่วขณะโดยไม่กล้าก้าวเท้าไปหา แต่เจ้าสัตว์ต่างดาวกลับเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างลังเล

“อย่าบอกนะว่าจะกินฉันน่ะ” น้ำพลอยถามมันเสียงเบา นึกกลัวอยู่เหมือนกันว่ามันอาจจะมีฟันแหลมคมและเป็นพวกดูดเลือด แค่คิดก็ขนลุก

“อย่าเข้ามาสิ!” เธอร้องเมื่อเห็นมันเดินเข้ามาอีก ทว่าแทนที่เจ้าสัตว์ขนปุยต่างดาวที่หน้าตาน่ารักเกินกว่าจะน่ากลัวจะหยุด มันกลับเดินมาเรื่อยๆ

หญิงสาวนึกถึงคำพูดของธีซัสที่บอกว่าเป็นเขตปลอดภัย เธอจึงสูดลมหายใจและคิดว่ามันอาจเป็นสัตว์อยากรู้อยากเห็นตัวหนึ่งเท่านั้นเอง คิดได้ดังนั้นจึงรอดูท่าที แต่แล้วเธอก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่ออยู่ๆ ก็มีสัตว์เลื้อยคลานตัวหนึ่งวิ่งออกจากพุ่มไม้เล็กๆ กระโจนเข้ากัดคอมัน มันร้องเสียงแหลมและต่อสู้อย่างสุดชีวิต น้ำพลอยลืมความกลัวไปสิ้น เธอรีบมองหาอะไรที่จะช่วยมันได้ พอเจอก้อนหินขนาดเหมาะมือก็หยิบขึ้นมาแล้วเล็ง แต่เพราะทั้งสองตัวยังต่อสู้กันไม่หยุดจึงไม่กล้าขว้างออกไป จนกระทั่งเจ้าขนปุยสะบัดหลุดออกมาได้ เธอจึงขว้างก้อนหินไปยังเจ้าตัวสีเขียวคล้ายกิ้งก่าเต็มแรง มันตกใจวิ่งหนีไปหายไปบนต้นไม้

เจ้าขนปุยหอบแฮ่กๆ ขนตรงขามีน้ำสีแดงไหลซึมออกมา น้ำพลอยลังเลไม่รู้ว่าควรจะออกไปช่วยมันดีหรือเปล่า แล้วเจ้าตัวนั้นก็ไม่ปล่อยให้เธอคิดมาก มันเดินตรงมาหาเธอ พอใกล้ในระยะเอื้อมมือถึงก็ล้มลงพลางครางหงิงๆ ความสงสารทำให้หญิงสาวทรุดนั่งลง ขณะที่กำลังจะเอื้อมมือไปจับก็ต้องชะงัก

“อย่า!”

หญิงสาวชะงัก เธอหันขวับไปตามเสียงห้ามของธีซัสที่ตอนนี้ถือผลไม้หลากสีหน้าตาประหลาดพวงใหญ่กับกระบอกไม้ไผ่ใส่น้ำในมือหนึ่ง ในอ้อมแขนอีกข้างมีฟืนหอบใหญ่กับปลาห้าหกตัวที่ร้อยอยู่ในกิ่งไม้ขนาดเล็ก

“มันได้รับบาดเจ็บ” เธอบอก

“แล้วถ้ามันทำร้ายท่านหญิงเข้าล่ะ”

“ก็ไหนคุณว่าแถวนี้ไม่มีสัตว์ร้ายไง”

ธีซัสทำหน้าปั้นยาก “จริงๆ คือบริเวณนี้เป็นเขตปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งก็คือมันอาจจะยังมีอะไรที่ไม่ปลอดภัยอยู่บ้าง”

“พูดง่ายแต่ฟังยากจัง” หญิงสาวว่าเข้าให้

“ก็หมายถึงว่า สัตว์ที่เราเจอมันอาจจะไม่มีพิษภัย แต่อาจจะแพร่เชื้อโรคร้ายก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าไปยุ่งกับมันเลยจะดีกว่า”

“แต่ว่า” หญิงสาวหันไปมองตัวที่นอนอยู่ก็พูดเสียงอ่อน “ถ้าปล่อยไว้เจ้าตัวนั้นต้องกลับมากินมันแน่เลย”

“มันเป็นเรื่องของธรรมชาติ”

“แล้วจะปล่อยให้ฉันมองมันตายต่อหน้าต่อตาอยู่อย่างนี้เหรอคะ” หญิงสาวพูดเสียงไม่ค่อยชอบใจ

“งั้นก็เข้าไปข้างในถ้ำสิ จะได้ไม่ต้องเห็น ไปกินผลไม้ให้หายหิวระหว่างที่ผมย่างปลาพวกนี้ หรือถ้ามันตายผมก็จะเอามันไปย่างท่าทางจะอร่อยไม่ใช่เล่น”

“ใจร้าย!” น้ำพลอยโต้อย่างโมโหเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะปล่อยมันไว้จริงๆ “กินผลไม้กับปลานั่นไปเลยคนเดียว ฉันไม่กินด้วยหรอก ไม่หิว”

ธีซัสมองอีกฝ่ายนิ่ง สุดท้ายเลยเอ่ยเสียงอ่อน “ก็ได้ ผมไม่กินมันก็ได้”

น้ำพลอยยังนั่งนิ่งไม่ขยับตามองเจ้าตัวที่นอนหายใจหอบ ขอบตาร้อนผ่าว ได้ยินเสียงธีซัสเดินไปข้างใน อึดใจก็ได้กลิ่นควันไฟเข้าจมูก เธอตวัดสายตามองเห็นกองไฟกำลังลุก แม้จะนึกสงสัยว่าเขาจุดไฟได้ยังไงแต่เพราะยังฉุนอยู่จึงไม่ถาม

“จะงอนอีกนานไหม”

เมื่อเห็นหญิงสาวนิ่งเงียบจึงถอนใจออกมาดังๆ “นี่ถ้าบอกว่าเป็นเด็กอายุเจ็ดแปดปีจะไม่แปลกใจเลย” พอเห็นอีกฝ่ายหันมาทำตาดุ จึงยิ้มกว้างชนิดที่ทำให้ใบหน้าคมสันหล่อเหลาขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าจนน้ำพลอยหายใจติดขัด

ธีซัสเอื้อมมือไปจับมันขึ้นมา เมื่อน้ำพลอยไม่เห็นท่าทางดุร้ายเธอจึงได้ที “เห็นไหมว่ามันไม่ดุสักหน่อย”

ชายหนุ่มนิ่วหน้าหันมามองคนพูดอย่างหมั่นไส้ “เพราะมันกลัวผมต่างหาก มันรู้ว่าถ้าขืนทำอะไรผม มีหวังถูกบีบคอหักตาย”

“ดุชะมัด” หญิงสาวพึมพำ

“คนดุก็ดีกว่าคนงอนแหละน่า” เปรยลอยๆ เหมือนกัน

“เอ๊ะ!”

ธีซัสทำเป็นไม่ได้ยินเสียงเอาเรื่อง “เอางี้ ให้ท่านหญิงลองช่วยมันดูดีกว่า เผื่อมันจะสำนึกในบุญคุณไม่กล้าแว้งกัดท่านหญิง”

“ฉันช่วยได้เหรอ” ย้อนถามอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก แม้จะเคยใช้พลังในการช่วยรักษาอาการป่วยของพี่สาวแล้วก็ตาม แต่เธอก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี

เขาพยักหน้า “ได้สิ ท่านหญิงมีพลังเพอริลอยู่แล้วนี่”

หญิงสาวย่นคิ้วอย่างสงสัย และอยากจะถาม แต่เมื่อชายหนุ่มยื่นเจ้าสัตว์ต่างดาวให้เลยรับมาก้มลงมอง “ต้องทำยังไงคะ”

“รวบรวมสมาธิ กำหนดความรู้สึกว่าต้องการให้บาดแผลมันหาย ลองดู”

หญิงสาวลองทำตาม อึดใจก็เบิกตากว้างเมื่อเห็นพลังงานสีฟ้าจากมือทั้งสองของเธอ มันไหลวนรอบเจ้าสัตว์ต่างดาว เลือดสีแดงค่อยหายไป ขณะที่สัตว์ต่างดาวดิ้นไปมาในมือเธอก่อนจะหลุดไปตกที่พื้นมองมายังเธอตาแป๋ว

“มันหายแล้ว” น้ำพลอยพูดอย่างตื่นเต้น “ฉันรักษามันได้ด้วยแหละ”

“ทีนี้ก็คงจะหายงอน แล้วไปกินผลไม้ได้แล้วสินะ” ฟังดูเหมือนประชด แต่สีหน้าราบเรียบติดจะยิ้มแย้ม ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์ของเขาที่ทำให้น้ำพลอยสบายใจ

“ก็ไปกินด้วยกันสิ จะได้คุยเรื่องที่ค้างกันไว้ด้วย”

ธีซัสบุ้ยปากไปยังด้านใน น้ำพลอยเลยอุ้มสัตว์ต่างดาวเดินไปด้วย พอไปถึงชายหนุ่มก็จัดการย่างปลาที่เสียบไม้ไว้แล้ว จากนั้นหันกลับมามองหญิงสาวที่นั่งมองเขาอยู่

“ท่านหญิงอยากรู้อะไรบ้าง” เขาเอ่ย

น้ำพลอยขยับตัวพลางวางเจ้าตัวเล็กในมือแล้วมองตามมัน เมื่อเห็นว่ามันไม่ยอมไปไหนแต่นั่งแปะอยู่ตรงเข่า แล้วยังใช้มือหรือไม่รู้จะเรียกว่าเท้ายื่นไปหยิบผลไม้สีเหลืองมากัดกิน เธออมยิ้มอย่างเอ็นดูก่อนจะเบนหน้าไปมองเขาและเริ่มถาม

“คุณเป็นใครคะ เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน ทำไมถึงไปนำตัวฉันมาจากโลก แล้วจะพาไปที่ดาวดวงไหนอีก”

ธีซัสหัวเราะลั่นเพราะรู้ว่าต้องเจอการยิงคำถามรัวแบบนี้ เขามองเธอนิ่งอยู่ชั่วขณะจนหญิงสาวหน้าร้อนใจเต้นแรง นัยน์ตาสีเขียวของเขาเหมือนจะสื่ออะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เบนหน้าไปมองปลาที่เริ่มส่งกลิ่นหอมกรุ่น เขาพลิกไม้แล้วหันกลับมาตอบ

“ผมเป็นลูกของที่ปรึกษาประธานสมาพันธ์กรีนาใต้ พ่อชื่อนาซิน ส่วนแม่ตายตั้งแต่ยังเด็ก ที่ต้องไปพาตัวท่านหญิงมาเพราะเป็นคำสั่งของท่านอา...เอ่อ...ท่านประธานสมาพันธ์ ให้ช่วยนำตัวท่านหญิงไปยังดาวไครออน”

หญิงสาวทำหน้างุนงง เธอไม่รู้เหมือนกันว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี สุดท้ายจึงคิดว่าเมื่อเขามานำตัวเธอไปเขาก็ย่อมรู้จักเธอดี เธอจึงควรเริ่มจากตัวเธอเองและครอบครัวจะดีกว่า

“แล้วพ่อแม่ของฉันล่ะคะ ท่านเป็นใคร ทำไมถึงเอาฉันกับพี่ชายไปทิ้งไว้ที่โลก”

“พ่อของท่านหญิงเป็นประธานสมาพันธ์กรีนาใต้ชื่อเคดา แม่คือท่านหญิงมารีอาซึ่งตอนนี้ปลอดภัยดีอยู่ที่ดาวไครออน ดาวที่ผมอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้” เมื่อเห็นหญิงสาวอึ้ง ทำหน้าไม่เข้าใจจึงอธิบายต่อ

“ดาวกรีนาแบ่งการปกครองออกเป็นสองส่วน คือกรีนาเหนือกับกรีนาใต้ ตำแหน่งของพ่อท่านหญิงเป็นตำแหน่งสูงสุดของกรีนาใต้ มีหน้าที่ทั้งในการปกครองและบริหารงาน แต่แล้ววันหนึ่งก็มีนักธุรกิจจากดาวไนจีลาซึ่งเป็นดาวที่อยู่ใกล้กับดาวกรีนา ต้องการฮุบอำนาจเพื่อผลประโยชน์ในทุกเรื่อง ทั้งด้านการค้าและทรัพยากร มันก็เลยบุกเข้าจับตัวท่านประธานสมาพันธ์ นอกจากนั้นมันยังต้องการพลังเพอริลในตัวของท่านประธานท่านอาก็เลยถ่ายทอดพลังเพอริลให้ท่านหญิง แล้วให้คนพาท่านหญิงหนีจากดาวกรีนา”

“พลังเพอริล” หญิงสาวพึมพำขณะหลับตาพยายามคิดตามแล้วลืมตาขึ้นถาม “แสดงว่าตอนนี้ฉันมีพลังเพอริลที่พ่อแท้ๆ ถ่ายทอดมาให้อยู่ในตัว แล้วมันคือพลังอะไรพวกนั้นถึงต้องการนักหนา”

“คือพลังที่สามารถช่วยให้เดินทางระหว่างดวงดาวหรือดาราจักรได้ ชีราเป็นนักธุรกิจที่ทำการค้ากับกรีนาและดาวใกล้เคียงมานาน โดยสินค้าที่ขายคือสินค้าด้านอาหารและการเกษตร แต่ชีราไม่เคยเคารพกฎระหว่างดวงดาวที่ว่าจะไม่ละเมิดสิทธิการปกครองและทรัพยากรระหว่างกัน เพราะเมื่อเห็นว่าดาวดวงใดมีขนาดเล็กและมีทรัพยากรมากก็จะใช้กำลังเข้าไปครอบครองทุกอย่าง กรีนาใต้ก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่เมื่อท่านประธานไม่ยอมชีราเลยจับท่านขังไว้เป็นตัวประกันเพื่อไม่ให้ฝ่ายของท่านกล้าทำอะไรรุนแรง แต่ก็ใช่ว่าชีราจะหยุดแค่นั้นมันยังส่งคนที่เก่งกล้าด้านพลังจิตออกตามล่าทุกคนที่เป็นคนสำคัญและซื่อสัตย์กับท่านประธาน เพราะกลัวว่าคนเหล่านี้จะแทรกซึมกับผู้คนระดับล่างต่อต้านธุรกิจของมัน ทุกคนที่เป็นฝ่ายท่านเลยต้องหนีไปที่ดาวไครออน ในขณะที่ท่านประธานก็ไม่ยอมอยู่เฉยเหมือนกัน ท่านแอบฝึกพลังจิตโดยไม่ให้คนของชีราจับได้เพื่อจะติดต่อกับพวกเราที่อยู่ไครออน รวมถึงท่านหญิงที่อยู่บนโลกด้วย”

น้ำพลอยเม้มปากแววตาเป็นประกายเจ็บปวด “แสดงว่าที่พ่อมาเข้าฝันฉันในคืนนั้นก็เป็นความจริง พ่อใช้พลังจิตติดต่อกับฉันค่ะ”

“ท่านอาคงมาเตือนท่านหญิง ท่านอาเป็นห่วงท่านหญิงมาก โชคดีที่ท่านรู้ว่าพวกมันจะส่งคนไปจับตัวท่านหญิงก็เลยมาบอกผมก่อน ผมเลยไปช่วยท่านหญิงได้ทัน”

“อย่างนี้นี่เอง” น้ำพลอยก้มหน้าซ่อนความอาการโหวงเหวงในใจ เธอมองสัตว์ต่างดาวที่ตอนนี้กินผลไม้เป็นลูกที่สองแล้ว “ตอนนี้พ่อคงลำบากมากเลยสินะคะ แล้วพวกมันจะทำอะไรพ่อหรือเปล่า”

ธีซัสยกไม้ที่มีปลาสุกได้ที่ออกมาวางอิงกับก้อนหินเพื่อรอให้มันเย็น ตามองหญิงสาวด้วยความเข้าใจและเห็นใจ ขณะเดียวกันก็มีแววหวานลึกซึ้ง

“พวกมันไม่กล้าทำอะไรท่านประธานจนกว่าจะได้พลังเพอริลจากท่านหญิง คนที่น่าห่วงมากที่สุดตอนนี้คือท่านหญิงต่างหาก เพราะกลายเป็นเป้าหมายการตามล่า ท่านเลยห่วงทั้งท่านหญิงและห่วงชาวกรีนาใต้ที่ถูกบีบให้ขายสินค้าในราคาถูก แถมยังถูกแย่งธุรกิจค้าขาย เพราะชีราเป็นนักธุรกิจระหว่างดวงดาวที่มีความพร้อมมากกว่าประชาชนตาดำๆ ที่แม้บางคนจะมีพลังจิตแต่ก็ไม่มีอำนาจเงินหรือเครื่องมือจะเดินทางติดต่อค้าขายได้”

“จริงสิ...ที่คุณไปโผล่ที่โลกได้ ก็แสดงว่าคุณก็มีพลังเพอริลเหมือนกันน่ะสิ ถึงเดินทางไกลหลายปีแสงขนาดนี้ได้ รวมทั้งคนนั้นด้วย” เธอนึกไปถึงหลุมดำที่ชายสองคนสร้างขึ้นมาตรงท้ายไร่ได้ทันที

“ผมน่ะมี แต่ดาเรก...ผมหมายถึงคนที่จะมาจับตัวท่านหญิงไป มันใช้พลังจิตในการสร้างหลุมดำเป็นประตูจักรวาล ซึ่งแสดงว่ามันต้องใช้เวลาฝึกฝนมานาน”

หญิงสาวมองออกไปตรงปากถ้ำอย่างเหม่อลอย แล้วเอ่ยถามขึ้นราวกับท้อแท้ในชะตาชีวิตของตัวเองที่ยังไม่รู้แม้กระทั่งจุดหมายปลายทาง

“แล้วดาวไครออนที่คุณจะพาฉันไปมันอยู่ไกลจากนี้ไหมคะ”

“ก็อยู่ไกลเกือบเท่าๆ กับโลกที่ท่านหญิงจากมานั่นแหละ”

“แล้วเราเดินทางไปกันเมื่อไหร่”

“จนกว่าผมจะแข็งแรงมากกว่านี้ ผมไม่อยากให้พลาดเหมือนครั้งนี้ แต่ยังไงเราต้องรีบไปให้เร็วที่สุด เพราะยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอันตราย ถ้าดาเรกมันสามารถใช้พลังจิตค้นหาพวกเราแล้วรู้ว่าอยู่ที่นี่อาจจะตามมาก็ได้”

เมื่อเห็นท่าทางน้ำพลอยไม่สบายใจและคิดมาก ธีซัสจึงรีบตัดบท “มากินปลากันดีกว่า อย่าเพิ่งคิดอะไรเลย ให้ปลอดภัยจากที่นี่แล้วไปถึงดาวไครออนก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ว่าแล้วก็ถือไม้ปิ้งปลาเดินมาทรุดนั่งพิงก้อนหินติดกับเธอหน้าตาเฉย

น้ำพลอยตกใจกระถดหนี พลางมองเขาตาดุ แต่ธีซัสกลับหยิบปลายื่นให้พร้อมกับไม่เข้าใจว่าทำไมเธอต้องทำเหมือนไม่พอใจด้วย เมื่อไม่เห็นท่าทีคุกคามของอีกฝ่ายเธอจึงรับมากิน เจ้าสัตว์ต่างดาวเห็นดังนั้นเลยทำจมูกฟุดฟิดแล้วมองปลาในมือเธอ หญิงสาวเลยหัวเราะอย่างอดขำไม่ได้ ก่อนจะบิหางปลาส่งให้ มันคว้าหมับใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยแล้วมองหน้าเธออีกจนต้องแบ่งให้

“มัวแต่แบ่งให้มัน เดี๋ยวตัวเองก็ไม่อิ่มหรอก กินบ้างเถอะ”

เธอหันไปยิ้มให้เขาทั้งปากและตาจนคนมองตะลึงไปชั่วขณะ “มันน่ารักนี่คะ ฉันเอามันกลับไปที่ดาวไครออนด้วยได้ไหม”

ธีซัสนิ่วหน้าใส่เธอ “จะเอามันไปเป็นภาระทำไม ปล่อยมันกลับไปหาพ่อแม่มันจะดีกว่า”

น้ำพลอยทำหน้าสลด “ก็จริงนะ มันคงมีพ่อแม่รออยู่ที่ไหนซักแห่ง...เหมือนกับฉัน” เธอพยายามกลืนก้อนแข็งๆ ลงคอ “นี่ฉันคงไม่ได้กลับไปพบกับพ่อแม่พี่เพชรแล้วก็พี่พิมพ์ที่โลกแล้วใช่ไหม”

ธีซัสมองเธอนิ่งอยู่อึดใจ “ถ้าทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี ผมจะพาท่านหญิงกลับไปเอง”

“จริงๆ นะ” เธอทำเสียงดีใจและตื่นเต้นเหมือนเด็กๆ

“นอกจากพ่อแม่พี่น้องแล้ว ท่านหญิงมีคู่รักรออยู่ด้วยหรือเปล่า”

************************
Create Date :09 กุมภาพันธ์ 2560 Last Update :9 กุมภาพันธ์ 2560 10:23:02 น. Counter : 6050 Pageviews. Comments :2