เทพกระบี่ดาวเหนือ

เซียนกระบี่แห่งลุ่มแม่น้ำวัง




แผนลอบสังหาร
......................................


ยามสนธยา ดวงตะวันคล้อยต่ำลง ทอแสงสีแดงฉานจับขอบฟ้า
บนถนนปากทางเข้าสู่ตัวเมือง คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ที่ บ้างก็รีบเร่งออกเดินทาง บ้างก็รีบเร่งเข้าเมือง บ้างก็หาที่พักก่อนจะมืดค่ำ
ร้านค้าหลายร้านเริ่มทยอยปิดหน้าร้าน ตรงกันข้ามกับร้านอาหาร ร้านสุรา ที่เริ่มทยอยจัดโต๊ะ เตรียมให้บริการแก่ลูกค้าและนักเดินทาง บางร้าน เริ่มมีลูกค้าเข้าไปจับจอง สั่งสุราอาหารมาดื่มกิน
“เหลาผู้กล้า” นับเป็นร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดในละแวกนี้ กับแกล้มชั้นดี สุรารสเลิศ จึงมีบรรดาชาวยุทธ์และพ่อค้าวานิช และบรรดาผู้มีอันจะกินทั้งหลาย เข้ามาอวดร่ำรวยกันอย่างคับคั่ง เวลายังไม่ค่ำ แต่ โต๊ะนั่งก็ใกล้จะเต็มเข้าไปทุกที
ถัดจากเหลาผู้กล้าอันโอ่อ่า กลับเป็นร้านสุราเล็กๆซอมซ่อ เป็นความแตกต่างจนสุดขั้ว แต่ก็แสดงให้เห็นความเป็นจริงของชีวิต ที่ไม่เท่าเทียมกัน
มุสิกมีทางเดินของมุสิก กระรอก ย่อมมีทางเดินของกระรอก
ร้านสุราก็ดี เหลาสุราก็ดี ต่างก็มีลูกค้า
เหลาสุราคับคั่งไปด้วย ผู้มีฐานะ ร้านสุรา ก็มีเหล่าคนหาเช้ากินค่ำ กรรมกรแบกหาม เข้ามาแวะเวียนดื่มกินอยู่ไม่ขาดสาย
บนเหลาผู้กล้า เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ความเป็นไปของ บู๊ลิ้ม ตลอดจน ความสวยงาม น้ำเสียงอันเพราะพริ้งของหญิงนางโลมค่าตัวสูง..
ในร้านสุราซอมซ่อ ก็อึกทึกไปด้วยกระแสเสียงพร่ำบ่นถึงราคาสินค้าที่แพงขึ้นสวนกับค่าแรงที่ต่ำลง หรือ เสียงสาปแช่งฝนฟ้าที่ไม่เป็นใจ ไม่ตกต้องตามฤดูกาล จนการเพาะปลูกไม่ได้ผล..แต่บางคราวกลับตกมากมายเสียจนท่วมเรือกสวนไร่นา พืชผลเสียหาย....
นี่เป็นความแตกต่าง ที่คล้ายคลึงกัน
เสียงอึกทึกในร้านสุรา พลันเงียบลงเป็นเวลาชั่วอึดใจ เมื่อปรากฏชายแปลกหน้าสองคนเดินคู่กันเข้ามาในร้าน ก่อนจะหันไปพูดจา มีเสียงซุบซิบขึ้นมา แล้วก็เพิ่มขึ้น จนกลายเป็นอึกทึกดุจเดิม ที่นี้เป็นประตูเมือง แต่ละวันมีผู้เดินทางเข้าออกมายมาย อาคันตุกะแปลกหน้า แต่ละวัน มีมากมาย ทั้งสองมาตรว่าเป็นอาคันตุกะที่มีบุคลิกลักษณะที่ไม่ธรรมดา ก็กลับกลายเป็นไม่แปลกอันใด
ชายทั้งสองหนึ่งสูงวัย หนึ่งหนุ่มน้อย ผู้สูงวัย ผมแซมหงอกจนดูเป็นสีเทาไปทั้งศีรษะ มัดเกล้าเป็นมวยสูง เครายาวจรดอก แซมหงอกเป็นสีเทาเช่นเดียวกัน ใบหน้ากร้านแดดลม สองตาหรุบต่ำ คิ้วขาวปลายยาวตกห้อยลงทั้งสองข้าง แต่งกายในชุดนักพรตสีเทาสะอาด ฝ่ายหนุ่มน้อยวัยราวๆยี่สิบ หน้าตาคมเข้ม คิ้วดกดำ สองตาเป็นประกายเจิดจ้า แต่งกายด้วยเสื้อผ้าฝ้ายธรรมดา ตัดเย็บอย่างประณีตแบบพอดีตัวมุมปากประดับรอยยิ้มราวไม่อนาทรใดใด บุคลิกลักษณะปล่อยตัวตามสบาย แต่ยังคงไว้ด้วยสง่าราศีที่สูงส่งอย่างบอกไม่ถูกชนิดหนึ่ง อาจเป็นด้วยประกายตาที่เจิดจ้าข่มขวัญผู้คนนั่นเอง
ทั้งสองเข้าไปเลือกโต๊ะตัวในสุด ชายหนุ่มผู้อ่อนวัยกว่า จึงส่งเสียงเรียกหาผู้รับใช้
“มิทราบท่านทั้งสองต้องการสิ่งใด ร้านข้าฯหาได้มีผู้รับใช้ไม่” เจ้าของร้านเอ่ย
“เหล้าเผาดาบมาสองไห กับแกล้มผัดเต้าหู้ กับ ถั่วยี่สงทอด มาอย่างละจาน”
“เหล้า ไม่มีปัญหา ร้านเรามีแต่เหล้าเผาดาบ...แต่กับแกล้ม ร้านสุราผู้ยากไร้ คงมีแต่ ถั่วต้ม กับถั่วยี่สงทอดเท่านั้นนะท่าน”
“อืม...งั้นเอามาอย่างละจาน”
“โปรดรอสักครู่”
ชายหนุ่ม หันมองไปรอบร้าน
“อาจารย์ ใช่ที่นี่แน่หรือ ศิษย์ฯดูไม่เห็นสิ่งผิดปกติอันใดเลย”
ชายชรา ยังคงทอดสายตาหรุบต่ำ ก่อนเอ่ยเบาๆด้วยเสียงแผ่วทุ้ม
“ต้องเป็นที่นี่แน่นอน ตอนแรกข้า ฯ ก็ไม่แน่ใจนัก แต่เมื่อมาถึงที่นี่ ก็มั่นใจ... เจ้าอาจไม่เห็นอันใด... แต่ข้ารู้สึกได้”
ชายหนุ่มเงียบเสียงไปชั่วอึดใจ พร้อมๆกับ มองสำรวจไปรอบๆบริเวณ ก่อนจะหันมาเอ่ยปากถามผู้เป็นอาจารย์เบา ๆ
“อาจารย์ ศิษย์ ฯไม่เข้าใจ”
ฝ่ายอาจารย์หันหน้ามอง พร้อมยกหางคิ้วขึ้นสูงแทนคำถาม
“ปกติ อาจารย์ไม่เคยสนใจ ยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในยุทธภพใดใดมาก่อน”
“อืม!”
“แล้วเหตุใด คราวนี้ ท่านต้องดั้นด้นพาศิษย์ ฯ มาถึงนี่ เพื่อหาทางสกัดแผนการของพวกประดานี้ด้วยเล่า... หรือเป็นเพราะ ท่านกับ เจ้ายุทธ์ เคยมีไมตรีกันมาก่อน ?”
“เฮอะ!... ถ้าหากเป้าหมายที่พวกมันจะลงมือ มิใช่สถานที่นี้ ข้าฯ ก็หาได้สนใจอันใดไม่”
ชายหนุ่มมองลึกลงไปในแววตาของผู้สูงวัย พร้อมประกายตาแสดงความสงสัยอย่างเต็มเปี่ยม
“เจ้ารู้ไหมว่า ระเบิดอสนีบาต ของหมู่ตึกอสนีบาตแห่งกังหนำ มีอานุภาพรุนแรงปานใด”
หยุดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่แสดงความรู้สึกขัดเคืองใจ “หากเกิดการระเบิดขึ้น บริเวณแถบนี้ทั้งหมดจะแหลกเป็นจุณ.... เจ้าดูสิ ชาวบ้าน ลูกเล็ก เด็กแดง ที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วยเหล่านั้น จะต้องมาบาดเจ็บ ล้มตายลงในการณ์นี้ มากมายเพียงไร”
“ถึงเราจะเป็นนักฆ่า รับจ้างฆ่าคนเพื่อยังชีพ แต่เราก็มีหลักการของเรา... เราฆ่าคนที่สมควรฆ่า เท่านั้น...
...แผนการของพวกมันคราวนี้ โหดเหี้ยม อำมหิตเกินไป ในเมื่อข้าฯทราบแล้ว หากจะปล่อยให้มันผ่านไป โดยมิได้ทำอะไร.... ข้าฯ คงนอนไม่หลับ”
“ข้า ฯ กับเจ้ายุทธ์หาได้เคยมีไมตรีอันใดไม่ .. แต่ ...ต่อให้ ข้า ฯ กับเจ้ายุทธ์มีความแค้นไม่ยอมร่วมฟ้า ข้า ฯ ก็คงยังต้องหยุดแผนการคราวนี้ และช่วยชีวิตเขา”
“เพราะเหตุอันใดเล่า ท่านอาจารย์”
“ข้า ฯ ไม่รู้ และ ไม่จำเป็นต้องรู้ ... เพียงแต่ข้า ฯ รู้สึกว่า สมควรทำเช่นนี้”
ชายหนุ่ม นิ่งเงียบไปอีก ราวกับกำลังวิเคราะห์และซึมซับ ทำความเข้าใจกับคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า สองศิษย์อาจารย์ ต่างรินสุราจากไห ลงในจอกสุราแล้วยกขึ้นกรอกแห้ง เป็นจังหวะ อย่างสม่ำเสมอ ไม่เร็ว ไม่ช้า จนถั่วยี่สงทอดพร่องลงไปราวครึ่งจาน มาตรว่า สรรพเสียงรอบข้างจะอื้ออึงไปด้วยคำพูดจา โต้เถียงของเหล่าผู้ที่มาดื่มสุราในร้าน ที่ เริ่มเมามาย และยิ่งเมามาย เสียงยิ่งดังขึ้น.. แต่ สำหรับสองศิษย์อาจารย์กลับหาได้แยแสสนใจไม่ คล้ายดั่งกำลังนั่งสนทนาในถ้ำกลางป่าลึกอันเงียบสงบก็ปาน ฝ่ายศิษย์หนุ่ม จึงเอ่ยปากถามทำลายความเงียบขึ้นอีก
“อาจารย์ .. ศิษย์ ฯ ยังไม่เข้าใจอีกอย่าง แผนการคราวนี้ มาตรว่าเป็นแผนการลับสุดยอด แต่ แปดสำนักใหญ่ โดยเฉพาะ พรรคกระยาจก ที่มีหูตากระจายแทรกซึมไปทั่วแผ่นดิน จะไม่ระแคะระคายเลย เป็นไปได้หรือ”
“ในความคาดคิดของ ข้า ฯ แปดสำนักใหญ่ รับรู้ถึงแผนการนี้แต่แรกแล้ว”
“อ้าว! ในเมื่อทราบ แปดสำนักใหญ่ ซึ่งเป็นเสาเอกแห่ง บู๊ลิ้ม เป็นค่ายสำนักคุณธรรม และ ยังเป็นผู้ที่สนับสนุน ให้ เทพกระบี่ดาวเหนือ ขึ้นครองตำแหน่งเจ้ายุทธ์ เหตุใดจึงนิ่งเฉยอยู่ล่ะอาจารย์”
“หึ! หึ! หึ! ใครบอกว่าแปดสำนักใหญ่ สนับสนุนให้เทพกระบี่ดาวเหนือ ขึ้นครองตำแหน่งเจ้ายุทธ์ กัน... พวกมันต่างเพียงแต่ไม่คัดค้านเท่านั้น หาได้สนับสนุนไม่”
“พวกมันประดานั้น แค้นแต่ไม่อาจลงมือสังหารเทพกระบี่ด้วยตนเองเท่านั้น เมื่อมีผู้เสนอหน้ามาลงมือ พวกมันไยต้องไปขัดขวางด้วยเล่า”
“เทพกระบี่ดาวเหนือ เคยสร้างความแค้นรุนแรง อันใดกับพวกแปดสำนักกระนั้นหรือ ไยพวกมันต้องเป็นเช่นนี้” ชายหนุ่มถามต่อด้วยความสงสัย
“อำนาจ ลาภยศ ทรัพย์ สมบัติ สามารถบันดาลให้คนกลายเป็นโหดเหี้ยม อำมหิตยิ่งกว่า ความแค้น ล้างญาติ พิฆาตบุพการีเสียอีก”
“เหล่าสำนักมาตรฐาน ที่อวดอ้างตัวเองเป็นวิญญูชน พร่ำพูดถึงแต่คำคุณธรรม แท้ที่จริง ในใจมันครุ่นคิดอันใด มีผู้ใดทราบ... เบื้องหลังความยิ่งใหญ่ของพวกมัน เปื้อนเลือดของผู้บริสุทธิ์มากมายเพียงไร ความเป็นวีรบุรุษของพวกมัน เขียนด้วยน้ำตาของผู้คนมากมายเพียงไหน... คุณธรรม ศีลธรรม ที่พวกมันเอ่ยอ้างถึง ก็เพื่อแต่งแต้มสีสันให้พวกมันดูดีในสายตาชาวโลก เท่านั้นเอง”
“เมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา การประลองยุทธ์ คัดเลือกตำแหน่งเจ้ายุทธ์ ที่จัดขึ้นทุกๆ สิบปี... ตำแหน่งเจ้ายุทธ์ ล้วนตกแก่ บรรดาตัวแทนจากแปดสำนักใหญ่ ที่สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นครองตำแหน่ง แล้วแต่ว่า ยุคไหน ตัวแทนค่ายสำนักใด มีการฝึกปรือสูงส่งกว่าสำนักอื่น”
“แต่ มาเมื่อห้าปีก่อน กลับเกิดมี ชายหนุ่มไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ไร้ค่าย ไม่บ่งบอกสำนักอาจารย์ อาศัยกระบี่คู่มือ เพียงเดียวดาย สยบบรรดาตัวแทนจากแปดสำนักใหญ่ ตลอดจนยอดฝีมือทั้งหลายที่เข้าชิงชัย ศิโรราบจนราบคาบ ทั้งหมดจึงพร้อมใจกัน ยกให้เขา เทพกระบี่ดาวเหนือ ขึ้นเป็นเจ้ายุทธ์ของยุคนี้”
“แปดสำนักใหญ่ ก็เหมือนน้ำท่วมปาก เมื่อพ่ายแพ้แล้ว จะไม่ยินยอมก็ใช่ที่ ด้วยศักดิ์ศรีสำนักคุณธรรมค้ำคออยู่ จำต้องพากันรับรองให้ เทพกระบี่ดาวเหนือ ขึ้นเป็นเจ้ายุทธ์ แต่ในใจพวกประดานั้น หาได้ยินยอมพร้อมใจอย่างแท้จริง ก็หาไม่ เมื่อมีผู้คิดแผนการลอบสังหารเจ้ายุทธ์ พวกมันไม่ยินดีจนบ้าคลั่ง ก็นับว่าน้อยไป เรื่องอันใด ที่พวกมันจะเสนอหน้าออกมาขัดขวางด้วยเล่า...เฮอะ! วิญญูชนจอมปลอม”
ชายหนุ่มขยับปากจะเอ่ยถามต่อ แต่แล้วก็ชะงักไว้ เมื่อแว่วเสียงฝีเท้าม้าจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหกตัว ห้อตะบึงมาจากนอกเมือง และเวลาชั่วอึดใจ ก็ปรากฏขบวนม้าพ่วงพีพันธ์ดี ฝีเท้าเยี่ยมจำนวนหกตัว วิ่งเรียงกันเข้ามาในเมือง และพากันมาหยุดลงที่หน้าเหลาผู้กล้า ม้าทั้งหก สี่ตัวขับขี่โดยบุรุษอายุราวสามสิบปีเศษ แต่งกายด้วยชุดผ้าต่วนเนื้อดี ตัดเย็บรัดรูปเค้าหน้าเหี้ยมหาญ ทั้งสี่มาตรแม้นใบหน้าไม่เหมือนกันเสียทีเดียว แต่ก็มองละม้ายคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ยิ่งเมื่อสวมใส่เสื้อผ้าด้วยเสื้อผ้าที่เป็นแบบเดียวกัน ยิ่งแทบจะมองเป็นคนเดียวกัน ทั้งสี่คนแบ่งเป็นสองคนอยู่หน้า อีกสองคนอยู่หลัง ส่วนม้าสองตัวกลาง ตัวหนึ่งขับขี่โดยชายฉกรรจ์อายุราวๆสี่สิบย่างห้าสิบปี เค้าหน้าสัตย์ซื่อถือมั่น แต่ดวงตากลับแฝงแววทระนงเด็ดเดี่ยวไม่ยอมคน บุคลิกนุ่มนวลชวนสนิทสนม มุมปากประดับรอยยิ้มน้อยๆ คล้ายดั่งจะผูกมิตรกับกับทุกผู้คน ส่วนม้าอีกตัว ขับขี่โดยดรุณีน้อยวัยใกล้ยี่สิบ ใบหน้ารูปไข่ ริมฝีปากบางรูปกระจับ แดงเอิบอิ่มดั่งแต้มชาด ผิวพรรณขาวผ่องราวจะเย้ยหิมะ สองตาเรียวสวย มองกราดไปทั่วบริเวณอย่างไม่แยแสสนใจผู้ใดอยู่ในสายตา บรรดาแขกเหรื่อ ที่ดื่มกินอยู่ในเหลาผู้กล้า และในร้านสุรา ต่างชะงักการดื่มกิน ลืมพูดคุยกันชั่วขณะ พากันเหม่อมองมายังกลุ่มอาคันตุกะผู้มาใหม่เป็นจุดเดียว ราวกับนัด จะมีก็แต่ ชายชราร่างผอม หลังงองุ้ม ท่าทางอมโรค ซึ่งนั่งดื่มสุราเพียงลำพังที่นั่งอยู่มุมในสุด ที่ค่อยๆ สอดมือเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงเอาเศษเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะ เป็นค่าสุรา พร้อมกลับค่อยๆเดินออกไปด้านหลังร้านอย่างลอบร้าน โดยไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกต
“บิดา เราเดินทางมาทั้งวันแล้ว หยุดพักที่นี่เถอะ ไว้รอพรุ่งนี้เช้าค่อยเข้าเมืองดีกว่า”
“ท่านประมุข ข้า ฯ เห็นด้วยกับคุณหนู หยุดพักที่นี่ก่อนเถอะ” ชายหนุ่มขับม้าคู่หน้าผู้หนึ่ง เอ่ยปากสนับสนุน พร้อมกับหันหน้ามามองผู้ประมุขเป็นเชิงสอบถาม
“เดี๋ยว! อย่าเพิ่ง ...ข้า ฯ รู้สึกว่ามีอันใดผิดปกติ” ชายฉกรรจ์หรือท่านประมุข เอ่ยปากเบา ๆ ริมฝีปากที่ปกติประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ยามนี้เม้มสนิท พร้อมกับสาดประกายสายตาเจิดจ้าเพ่งมองไปรอบๆบริเวณ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า.... เทพกระบี่ดาวเหนือเอย เทพกระบี่ดาวเหนือ สมแล้วที่เป็นประมุขยุทธภพ ไม่เสียทีจริงๆ ..น่าอายๆ”พร้อมกับเสียงดังวานปรากฏเงาคนไหววูบวาบ ปรากฎชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่สิบคน ทะยานกายลงมาจากชั้นบนของเหลาสุรา รายล้อมคนทั้งหกไว้ทุกทิศทาง ทั้งสิบคน รูปเค้าผิดแผกแตกต่าง ใช้อาวุธคนละชนิด แทบดูไม่ออกเลยว่า เป็นคนในเส้นทางเดียวกัน ชายคนที่ยืนประจันหน้ากับผู้เป็นประมุขของอีกฝ่าย ในมือถือดาบทองหัวตัดเล่มใหญ่ ผมยาวหยิกฟูเป็นกระเซิง ใส่เสื้อหนังเสือ หนวดเครายาวรุงรัง ท่าทางเหี้ยมโหด ส่วนที่เหลือแม้จะดูผิดแผกแตกต่างกันไป แต่หนึ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ท่าทางเหี้ยมโหด อำมหิต และ ความกระหายเลือดที่แสดงออกทางแววตาอย่างชัดเจน
“สิบอำมหิตแห่งหุบเขาคนโฉด... กลับดั้นด้นมารอข้าฯถึงที่นี่ นับว่าเสียคารวะแล้ว”ชายผู้เป็นประมุขหรือเทพกระบี่ดาวเหนือ เอ่ยปากอย่างไม่อนาทร ราวดั่งไม่แยแสคนทั้งสิบอยู่ในสายตา
“อันใดคือไม่เสียที อันใดคือน่าอาย”
“เฮอะ...ไม่เสียที คือไม่เสียที่ที่ข้าและน้องๆทั้งเก้าดั้นด้นมารอเจ้าอยู่นี่น่ะสิ... น่าอาย คือ พวกเราอุตส่าห์แฝงตัวอยู่ กลับไม่อาจหลบพ้นสายตาของท่านได้ เยี่ยมยอดสมคำร่ำลือจริง ๆ”
“สิบคนโฉด หากินอยู่นอกด่านไกลโพ้น ถ่อสังขารมาถึงนี่... คงมีใครว่าจ้างมาจัดการกับ ข้าฯ สินะ”
“เพ้ย! วาจาไร้สาระอย่าได้กล่าว นักฆ่าอย่างเรา ถือสัจจะวาจา มีหลักยึดถือของเรา ไม่มีทางเปิดเผยเอ่ยนามผู้ว่าจ้างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้น ก็คงไม่มีหน้าโลดแล่นอยู่บนเส้นทางนี้อีกแล้ว”
“เฮ้อ!”เทพกระบี่ดาวเหนือทอดถอนใจส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับเอ่ย “ไม่เสียทีเอย ไม่เสียที น่าอาย เอย น่าอาย ช่างน่าอายนัก”
“บัดซบ อันใดคือไม่เสียที แล้วอันใดคือน่าอายกันอีกเล่า”
“ไม่เสียที คือ พวกเจ้าไม่เสียทีที่เป็นกลุ่มนักฆ่าชั้นแนวหน้าที่มีชื่อเสียง ยึดมั่นในสัจจะวาจา และ ยึดมั่น เพียงนี้”
“แล้วอันใดน่าอาย”
“ที่น่าอายคือ เหล่าบรรดาผู้แอบอ้างตัวเองเป็นชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ กลับมีไม่น้อยที่ไม่รักษาสัจจะวาจา ไร้ซึ่งคุณธรรม นั่นสิ”……. “สิบคนโฉดก่อกรรมทำเข็ญ สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวยุทธ์ผู้รักสันติ ข้าฯหาโอกาสปลีกตัวไปเยือนหุบเขาคนโฉดยังไม่ได้ พวกเจ้ากลับดั้นด้นมาหาข้าฯถึงที่นี่ นับว่าสมคำ สวรรค์มีทางไม่ไป นรกทางตันกลับแส่เข้ามา จริงๆ”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า เทพกระบี่ดาวเหนือ ท่านพูดราวกับว่า คิดจัดการพวกเรานั้น มันง่ายดายดั่งยื่นมือคว้าส้มในลังไม่ปาน... พยัคฆ์ไม่ร้าย ไม่ข้ามลำห้วย พวกเราหากไม่มีที่ถือดี ก็คงไม่กล้ามาดอก…. จงยืดคอรอรับความตายเสียเถิด อาจบางที บิดาเกิดความปราณีไว้ชีวิตธิดาเจ้ายกให้เป็นราชินีแห่งหุบเขาคนโฉดก็ได้ ”
“หุบปากโสโครกเจ้า ศีรษะข้าฯ รออยู่นี่แล้ว อยากได้ก็มาลงมือตัดเอาเองเถอะ” จบคำ ก็ทะยานกายขึ้นจากอานม้า พร้อมชักกระบี่คู่ใจแทงปราดออกอย่างเร่งร้อนราวงูฉก พี่ใหญ่สิบคนโฉด ตวัดดาบหัวตัดออกประทะด้วยความเร็วราวประกายไฟ แต่ยังเชื่องช้าไปวูบหนึ่ง วูบเดียวที่ถึงแก่ชีวิต ดาบหัวตัดฟันคว้างไปอย่างว่างเปล่าไร้จุดหมาย เมื่อเทพกระบี่ดาวเหนือก้มศีรษะลงหลบเลี่ยงพร้อมกับปลายกระบี่ที่ชำแรกเข้าไปในลูกกระเดือกของพี่ใหญ่แห่งสิบคนโฉดจนทะลุออกด้านหลังลำคอก่อนจะดึงกลับอย่างรวดเร็ว ถลันกายลอดใต้วงแขนของมัน ฝ่ามือซ้ายกระแทกชายโครงของมันพร้อมกับดันร่างของมันเข้าหา ดาบอีกเล่มที่กราดฟันมาจากด้านข้าง โดยที่เจ้าของดาบไม่อาจหยุดยั้งไว้ได้ คมดาบจึงฟันเข้ากลางลำตัวมันอย่างรุนแรงแทบขาดเป็นสองท่อน ก่อนที่เจ้าของดาบจะทันชักดาบคืนกลับ ประกายราวสายฟ้าสว่างแวบ มันรู้สึกความเย็นที่ชำแรกเข้ากลางหว่างคิ้ว ก่อนที่ชีวิตของมันจะหลุดลอยไปพร้อมๆกับกระบี่ที่รวดเร็วปานงูฉกถูกดึงออกจากหน้าผาก ร่างมันล้มคว่ำลงทับบนร่างพี่ใหญ่ของมัน หมดโอกาสที่จะไปก่อกรรมทำเข็ญได้อีก... ชีวิตนักฆ่าอย่างพวกมัน ก็ต้องจบลงด้วยการถูกคนฆ่าเช่นกัน….เทพกระบี่ดาวเหนือสะบัดกระบี่ครั้งหนึ่ง คมกระบี่ขาวใสดุจดั่งน้ำค้างกลางหาว ไม่มีร่องรอยคราบเลือดแม้แต่หยดแต้ม ก่อนจะสอดเข้าฝักช้าๆ พร้อมกับมองไปรอบๆ อีกแปดคนโฉด ล้วนจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของ สี่องครักษ์กระบี่ และ หงสาอัคคีผู้เป็นบุตรีหัวแก้วหัวแหวน ของเทพกระบี่ดาวเหนือ จนหมดสิ้น นาม สิบอำมหิตแห่งหุบเขาคนโฉดก็ต้องถูกลบนามออกจากสารบบ บู๊ลิ้มในลักษณะนี้

พร้อมๆกับที่สิบคนโฉด ทะยานลงจากเหลาเข้ารายล้อมขบวนของเทพกระบี่ อีกด้านหนึ่งชายชราท่าทางอมโรคที่ลอบเร้นออกมาจากเหลาสุรา ก็ค่อยๆเดินลัดเลาะไปยังกองถังไม้สำหรับหมักสุราเปล่า ที่กองสุมอยู่ข้างถนน เมื่อไปถึง กลับพบว่า มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สองคิ้วคมเข้มดกดำ นั่งเหยียดขาอย่างสบายอารมณ์อยู่บนกองถังสุรานั้น
“นายท่านเชิญเถอะ ถังไม้สกปรก มีอันใดน่าเล่น หากท่านประสงค์จะดื่มสุรา ขอเชิญในร้าน”
“ท่านลุงก็เชิญเถอะ เบื้องนอกนี้ ลมพัดเย็นดี ข้าฯ สงสัยว่าจะดื่มมากเกินไป ขอนั่งรับลมเย็นสักครู่”
“ถ้าต้องการนั่งรับลม ขอเชิญด้านบน ลมเย็นสบายกว่าที่นี้ แถมยังมีมโหรีขับกล่อมนะท่าน”
“ข้าฯ เบื่อเสียงเพลงยิ่งนัก อย่าว่าแต่ นั่งอยู่ตรงนี้ ก็ยังได้ยินเสียงเพลงชัดเจนดุจเดียวกัน ไยข้าฯต้องถ่อร่างขึ้นไปถึงชั้นบนให้เสียเวลา เสียเงินทองด้วยเล่า”
ชายชราอมโรคหันไปมองวงต่อสู้ ก่อนจะหันกลับมาเอ่ยเสียงเครียด
“เฮอะ ในเมื่อไม่ดื่มสุรารับเชิญ อยากดื่มสุราจับกรอก ก็ไปของเจ้า” พร้อมกับยื่นมือขวาตะปบลงบนไหล่ซ้ายของหนุ่มน้อย กระชากหมายจะเหวี่ยงทิ้งไปดั่งกระสอบป่าน แต่ ร่างของหนุ่มน้อยกลับหนักอึ้งราวพระพุทธรูปหิน ไม่ขยับเขยื้อน ชายชราฉุกคิดว่าผิดท่า ถอยกายปราดพร้อมกับล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ล้วงเอาชุดไฟออกมากวัดแกว่ง กลับรู้สึกชาวูบที่แขนจนต้องปล่อยชุดไฟตกลงกับพื้น จากนั้นจุดทั่วร่างก็ถูกกระแทกอย่างรวดเร็วแม่นยำ ร่างของมัน คล้ายดั่งถุงลมถูกเจาะ ล้มระทวยลงกองกับพื้นดุจดินเหลวก้อนหนึ่ง
เป็นชายหนุ่ม ที่นั่งดื่มสุรากับอาจารย์นั่นเอง ชายชราท่าทางอมโรค แม้จะลอบเร้นออกจากเหลาสุรามาอย่างไม่มีใครทันสังเกต แต่ ก็หาได้รอดพ้นสายตาคมกล้าประดุจเหยี่ยวของสองอาจารย์กับศิษย์ไม่ ฝ่ายศิษย์จึงลอบเร้นมารอคอยมันอยู่ที่นี้
“ท่านลุงท่านนี้ ไม่ทราบหรือไร ถังไม้หมักสุราเหล่านี้ ล้วนเป็นเชื้อไฟอย่างดี หากถูกเผาไป คงยากจะดับได้ทัน ก็เป็นที่น่าเสียดายยิ่ง... จำต้องล่วงเกินแล้ว” กล่าวพลางก้มกายลงเก็บชุดไฟที่ยังไม่ทันได้จุดของชายชราอมโรค ขึ้นมาพิจารณาอย่างเพ่งพิศ
“คราวหน้า ได้แต่หวังว่าท่านคงไม่คิดทำอันใด ที่โง่เขลาเยี่ยงนี้อีก” กล่าวจบหันกายหมายจากไป
“หยุดก่อน หนุ่มน้อย ใจคอเจ้า จะไม่รอรับคำขอบคุณจากเราเลยหรือไร” เทพกระบี่ดาวเหนือนั่นเอง ที่พอเก็บกระบี่และเห็นว่าสิบคนโฉดไม่มีผู้ใดรอดชีวิตแล้ว จึงเดินมาด้านนี้
“ขอบคุณ” ชายหนุ่มยักคิ้วสงสัย “ เหตุใดท่านต้องขอบคุณข้าฯ ข้าฯ มิได้ทำสิ่งใด”
“ใช่ ท่านพ่อใยต้องไปขอบคุณเค้าด้วย ก็แค่รังแกคนชราอ่อนแอคนหนึ่ง สมควรโดนด่าประณามด้วยซ้ำ” เสียงเจื้อยแจ้วดั่งสกุณาระเริงไพร พร้อมกับร่างอ้อนแอ้นของหงสาอัคคี ที่โฉบปราดมายืนเคียงข้างผู้เป็นบิดา ริมฝีปากบนงอนเชิดจนแทบชนจมูก สะบัดหน้าค้อนควับ
เทพกระบี่ดาวเหนือ ขยี้ศีรษะธิดารักเบาๆอย่างเอ็นดู “เจ้าจะรู้อันใด”
“ข้าฯไม่เพียงต้องขอบใจเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าฯ แต่ยังต้องขอบคุณเจ้าแทนชาวยุทธ์และชาวบ้านแถบนี้ด้วย”
“กระบี่ทอง เจ้าไปดูแล้วบอกหงสาอัคคีทีรึว่า ชายชรานี่เป็นใครมาจากไหน แล้วมีอันใดเกิดขึ้น”
หนึ่งในองครักษ์รับคำเบาๆ ก่อนก้าวเข้าไปใช้ฝักกระบี่เขี่ยร่างชายชราให้พลิกหงายขึ้นมา เพ่งมองที่ใบหน้าชั่วขณะ ก่อนจะก้าวไปคว้าเอาลังไม้ลังหนึ่งมาวางไว้ข้างหน้าเทพกระบี่ดาวเหนือ จากนั้นจึงชักกระบี่แทงลังไม้ไปทีหนึ่ง ก่อนค้อมกายถอยไปยืนอยู่ด้านหลัง
“หงสา เจ้าดูสิว่า ผงฝุ่นดำดำที่ไหลออกมาจากรูกระบี่นั่นคือสิ่งใด”
“อะไรหรือท่านพ่อ”
“ผงถ่านดำๆนี่คือ ดินไฟ.... ส่วนชายชรานี่ ไม่ต้องดูก็รู้ว่ามันคือ มืออสนีบาตมหากาฬ แห่ง ตึกอสนีบาต ... ดินไฟที่มันใส่ไว้ในถังไม้เหล่านี้ เพียงพอที่จะระเบิดบริเวณแถบนี้จนแหลกเป็นจุณเลยทีเดียว… น่าแปลก หมู่ตึกอสนีบาต ทะนงตนเสมอมาว่าเป็นชาวยุทธ์ฝ่ายธรรมะ เหตุใดจึงร่วมทางมากับ สิบคนโฉด ที่ยุทธจักรหยามประณามเยี่ยงนี้.. และที่สิบคนโฉดมีที่ถือดี ก็คงเป็นด้วยทราบว่ามีมืออสนีบาตมหากาฬ เป็นกำลังหนุนนี่เอง”
“เอ๊ะ!ท่านพ่อ.... แล้ว มืออสนีบาตมหากาฬ ไม่กลัวตัวเองต้องตายเพราะอานุภาพระเบิดของตัวเองหรือไงท่านพ่อ”
“เด็กโง่...ในเมื่อมันเป็นผู้วางระเบิด มันย่อมต้องมีหนทางถอยเอาตัวรอดของมัน ที่เราไม่อาจคาดเดาได้เลย”
“แล้วสิบคนโฉดนั่น”
“พวกนั้นคงไม่รู้หรอกว่า ถูกจ้างให้มาตาย พวกมันเป็นแค่เป้าล่อ ให้พวกเราอยู่ในวิถีระเบิด เท่านั้นเอง สุดท้าย พวกมันก็คงไม่รอดเช่นกัน”
“โหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก ใครกันนะที่คิดแผนการที่ไร้มนุษยธรรมเยี่ยงนี้ได้”
“อยากรู้ ก็เค้นถามจากมืออสนีบาตดูสิ มันยังไม่ตายหรอก ข้าเพียงแต่ ทะลวงจุดมันทั่วร่าง ตอนนี้มันกลายเป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีพลังยุทธ์ใดใด อีกแล้ว... และ ข้าเกรงว่ามันจะจุดระเบิดได้อีก ก็เลยจี้จุดหลับมันเอาไว้” ชายหนุ่มเอ่ยบอก พร้อมกับหันหน้ามา
“หนุ่มน้อย เจ้าแซ่ใด มีนามว่ากระไร เป็นศิษย์ของค่ายสำนักใดกัน ข้าฯไม่เคยได้ยินว่ามีจอมยุทธ์รุ่นเยาว์คนใด ฝีมือสูงส่ง หน้าตาคมคายแบบเจ้ามาก่อน เจ้าเป็นทายาทของยอดคนท่านใดกันแน่”
“สี่ทะเลล้วนพี่น้องกัน ชื่อแซ่นั้นสำคัญฉันท์ใด... แผ่นฟ้าแผ่นดินกว้างใหญ่ พบพานไยต้องรู้จัก.....แต่เมื่อผู้อาวุโสเอ่ยถาม ผู้เยาว์ย่อมมิกล้าบ่ายเบี่ยง ผู้เยาว์ไร้แซ่ นาม แชฮุ้น เป็นเพียงเด็กกำพร้าเร่ร่อนในยุทธภพเท่านั้นเอง... ที่นี่ไม่มีธุระแล้ว ผู้เยาว์ขออำลา”
“เชิญเถอะ หากเจ้ามีความลำบากใด ก็ไปหาข้าฯ ที่หอเทพกระบี่ นะ... หวังว่าข้าฯคงมีโอกาสต้อนรับเจ้า”
“คงไม่หรอก... และคงจะดีกว่า หากจะไม่พบกันอีก” กล่าวจบพร้อมกับหันกาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด สายตาของเขา กลับอดมองไปยังร่างอ้อนแอ้นข้างกายเทพกระบี่ดาวเหนืออีกครั้งไม่ได้ เค้าหน้าหยิ่งยโสนั่น ริมฝีปากงอนเชิด.. แต่แววตากลับแสดงความอาวรณ์อย่างบอกไม่ถูก แชฮุ้น สะบัดหน้าคล้ายจะไล่ความฟุ้งซ่านให้ออกไปจากความคิด ก่อนจะหันกายก้าวเดินจากไป
“พวกเจ้าควบคุมตัวมืออสนีบาตให้ดี หาห้องพัก พวกเราจะพักที่นี่สักคืน พรุ่งนี้เช้า ออกเดินทางกลับหอเทพกระบี่ เมื่อถึงหอเทพกระบี่ค่อยเค้นถามมัน ข้าฯอยากรู้นัก ว่าใครกันที่วางแผนลอบสังหารข้าฯ” สี่องครักษ์รับคำพร้อมกันเบาๆ
“อ้อ! พวกเจ้าพอจะดูออกหรือไม่ แนวทางวิทยายุทธ์ของเจ้าหนุ่ม แชฮุ้น เป็นของค่ายสำนักใด”
“บริวารสายตาต่ำต้อย ไม่อาจคาดเดาออก ไม่กล้าออกความเห็น”
“อืม! เรื่องนี้ตำหนิพวกเจ้าไม่ได้หรอก แม้แต่ข้าฯเอง เห็นมันลงมือสยบมืออสนีบาต แม้นว่ามันใช้สองนิ้วจี้ออก แต่กระบวนท่าที่ใช้ เป็นท่ากระบี่ชัดๆ แต่กลับพานดูไม่ออกว่าเป็นแนวทางเพลงกระบี่ค่ายสำนักใด มีเพลงกระบี่ใด ที่ทั้งรวดเร็ว แม่นยำ และ ทรงอานุภาพปานนี้...?”
“อาจบางที มันเป็นศิษย์ยอดคนที่ซ่อนตัวเร้นกาย เพลงกระบี่ที่ใช้ เป็นเพลงกระบี่ที่สาบสูญจากการถ่ายทอด.... แต่ช่างเถอะ อย่างไรเสีย มันก็ได้ลงมือช่วยเรา คงไม่มีเจตนาร้าย... ดึกแล้ว ไปหาที่พักกันก่อนเถอะ” กล่าวจบหันกายก้าวนำหน้ากลับไปยังขบวนม้า หงสาอัคคี ก็รีบหันกายเดินตามบิดา แต่ก็ยังอดมองไปยังทิศทางไปของแชฮุ้นอีกแวบหนึ่งมิได้
ฟ้าดินแม้กว้างใหญ่ หากมีวาสนาย่อมได้พบพาน... จะอย่างไร ได้พบพานแล้ว ย่อมมีวาสนาอยู่บ้าง และหากไร้วาสนา นั่นจะทำอย่างไรได้



............




หมายเหตุ : เรื่องนี้... เคยลงไว้ในบล็อก เซียน_กีตาร์ ยังคงเขียนไม่จบ... อางบางที เรื่องนี้ มันไม่มีตอนจบก็เป็นได้...แต่ที่เขียนไว้ยังมีอีกหลายตอน จะทยอยนำกลับมาให้อ่านกันอีกรอบครับ






Create Date : 15 สิงหาคม 2553
Last Update : 15 สิงหาคม 2553 11:27:46 น.
Counter : 738 Pageviews.

10 comments
: รูปแบบของความว่าง : กะว่าก๋า
(18 เม.ย. 2567 04:00:35 น.)
เวลาที่หายไป - บทที่ 27 ดอยสะเก็ด
(16 เม.ย. 2567 20:17:49 น.)
๏ ... ขอฝน แทน พรวันมหาสงกรานต์ ... ๏ นกโก๊ก
(15 เม.ย. 2567 15:30:08 น.)
15/04/67 สมาชิกหมายเลข 4675166
(15 เม.ย. 2567 09:46:52 น.)
  

เซียนกระบี่แห่งลุ่มแม่น้ำวัง


โดย: เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง วันที่: 15 สิงหาคม 2553 เวลา:10:51:25 น.
  
สวัสดีวันหยุดค่ะพี่เซียน
ขอให้มีความสุขในวันพักผ่อนนะคะ
โดย: คนที่ใช่ ในวันที่ผิด วันที่: 15 สิงหาคม 2553 เวลา:11:34:22 น.
  
แวะทักทาย บ่ายนิดหน่อยค่ะ

สบายดีนะคะ

..
โดย: สุนันยา วันที่: 15 สิงหาคม 2553 เวลา:12:46:10 น.
  
สวัสดีค่ะคุณพี่
ดีใจจังเปิดบ้านแล้ว



ขอให้สุขภาพแข็งแรงค่ะ
โดย: redclick วันที่: 15 สิงหาคม 2553 เวลา:15:07:32 น.
  
ดี ดี เอามาลงแหม ซอบเจ้า
โดย: tuk-tuk@korat วันที่: 15 สิงหาคม 2553 เวลา:16:41:06 น.
  
อ่านนิยาย..
ราวกับตัวละครออกมาโลดแล่นเลยค่ะ

น่าเสียดายหากไม่มีตอนจบ

ดีใจที่บลอกนี้ยังไม่ปิดนะคะ

โดย: อิ่ม_Aim วันที่: 15 สิงหาคม 2553 เวลา:16:46:46 น.
  
หวัดดีครับท่านเซียน
...หากมีวาสนาคงได้พบพาน....

โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 15 สิงหาคม 2553 เวลา:21:02:25 น.
  
แอบมาเข้าฝันคนแถวนี้..
โดย: Opey วันที่: 16 สิงหาคม 2553 เวลา:3:20:09 น.
  
อรุณสวัสดิ์์ค่ะ
โดย: redclick วันที่: 16 สิงหาคม 2553 เวลา:6:59:47 น.
  
ทำงานเปล่าค่ะ..สงสัยกำลังยุ่งแน่ๆ..

Have a nice day !

โดย: Opey วันที่: 16 สิงหาคม 2553 เวลา:9:52:16 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Swordsman.BlogGang.com

เซียนกระบี่ลุ่มแม่น้ำวัง
Location :
กรุงเทพฯ  Qatar

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด