เทพกระบี่ดาวเหนือ....ตอน สู่ยุทธภพ
แผนลอบสังหาร ......................................
สู่ยุทธภพ ......................................
อรุณรุ่ง ฟ้าสาง แสงอรุโณทัยจับขอบฟ้า หมู่นกกาเริ่มโผบินออกจากรัง สู่ท้องฟ้ากว้าง บนหน้าผาสูงชันมองไปเบื้องล่าง เป็นทะเลหมอกกว้างใหญ่ดูเวิ้งว้าง ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่พ้นขอบฟ้า สาดแสงส่องกระทบก้อนเมฆ บังเกิดเป็นภาพอันงดงามวิจิตรพิสดาร บุรุษหนุ่ม ท่วงท่าองอาจ รูปกายสูงใหญ่ เค้าหน้าคมเข้ม กำลังคร่ำเคร่งฝึกปรือ เพลงกระบี่อยู่อย่างขะมักเขม้น ตั่งแต่เช้าตรู่ฟ้าเริ่มสาง กระบวนท่าที่ฝึกมีเพียงกระบวนท่าเดียวคือ ชักกระบี่แล้วทิ่มแทงไปยังดวงอาทิตย์ที่กำลังโผล่พ้นขอบฟ้า สองตาคมประดุจเหยี่ยวเพ่งมองไปยังดวงอาทิตย์อย่างไม่ยอมกระพริบตา “พอได้แล้ว แชฮุ้น แสงอาทิตย์แผดแรงกล้ามากแล้ว ไม่เป็นผลดีต่อดวงตาของเจ้า สรรพสิ่ง มีคุณอนันต์ ย่อมมีโทษมหันต์ ... น้อยไปก็ไม่เพียงพอ มากเกินไป ก็อันตราย...ขึ้นอยู่เราจะรู้จักใช้มันอย่างไร ใช้ไปในทางใด” ชายชราที่นั่งอยู่บนโขดหินเบื้องหลังเอ่ยขึ้น สองอาจารย์กับศิษย์ หลังจากสกัดแผนการของมืออสนีบาตได้แล้ว ก็กลับมายังสถานที่พำนักเร้นกาย บนยอดเขาสูง และ มาฝึกปรือเพลงกระบี่บนลานหินแห่งนี้เป็นกิจวัตร “แสงอาทิตย์ยามเริ่มพ้นขอบฟ้า ช่วยฝึกปรือสายตาของเจ้าได้ แต่เมื่อมันแผดกล้าร้อนแรง มันกลับจะทำลายจนถึงขั้นทำให้เจ้าตาบอดได้…. “ ผู้ชราเอ่ยต่อ “เป็นอะไรไป... นับแต่กลับจากไปทำลายแผนการของมืออสนีบาตมหากาฬคราวนั้น รู้สึกเจ้า จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่มีสมาธิฝึกปรือเหมือนดังก่อน” “ขออภัยท่านอาจารย์ ข้า ฯ........... ไม่เป็นไร” “ไม่ต้องโกหก อาจารย์กับเจ้า มาตรแม้นอยู่ในฐานะอาจารย์กับศิษย์ แต่ข้า ฯเลี้ยงเจ้ามาแต่เล็กแต่น้อยความสัมพันธ์แทบไม่ต่างจากบิดากับบุตร โบราณกล่าวไว้ ไม่มีใดรู้ใจผู้บุตรยิ่งกว่าบิดา ....ในใจเจ้าคิดอันใด มีรึจะปกปิดข้าได้” “เอ้อ!...คือ ข้าฯ เพียงแต่......ครุ่นคิดถึงว่า เทพกระบี่ดาวเหนือจักใช้วิธีใดรีดเค้นความลับจากมืออสนีบาต และ ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแผนการคราวนั้น เท่านั้นเอง.....” “อืม ! ถ้าหากเจ้าครุ่นคิดเพียงนี้จริงๆ มันย่อมดีแน่.... แต่ใช่หรือไม่ว่า คนที่เจ้าอาวรณ์ หาหาใช่เทพกระบี่ดาวเหนือไม่ หากแต่เป็นบุตรีของมัน” “อาจารย์!” “พอ!...เจ้าไม่ต้องบ่ายเบี่ยง .......ข้า ฯ ก็ไม่บีบคั้นเจ้า... นับแต่โบราณกาล วีรบุรุษไม่อาจฝ่าด่านหญิงงาม.... เจ้า ไม่ใช่ปราชญ์ผู้บรรลุโสดาบัน ย่อมไม่อาจตัดคำรักออกจากใจได้… แต่เจ้าต้องท่องจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ “สตรีคือเภทภัย...สุดร้ายคือน้ำใจหญิง” เจ้ามิอาจเชื่อถืออิสตรีมากเกินไป คนที่จะเสียใจคือตัวเจ้า จำเอาไว้ให้ดี” “ส่วนที่เจ้าสงสัย ไม่ว่าเจ้าจะอยากทราบจริงหรือไม่ ข้าฯก็จะบอกให้ทราบ...” “ในยุทธภพตอนนี้ เกิดคำร่ำลือไปทั่วว่า เทพกระบี่ดาวเหนือ เป็น คนของพรรคอสูร ที่แอบแฝงเข้ามาเพื่อยึดครองยุทธภพ และวางแผนการณ์จะยึดครองแผ่นดิน... คำร่ำลือที่น่ากลัว แพร่กระจายไปทั่วแผ่นดินอย่างรวดเร็วดุจไฟไหม้ฟาง” “ชาวยุทธ์จำนวนไม่น้อย งมงายเชื่อถือคำร่ำลือ บรรดาผู้ที่ไม่พอใจเทพกระบี่ดาวเหนือเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งช่วยกระพือข่าว เสริมแต่งจน เทพกระบี่ดาวเหนือ กลับกลายเป็นดาวมฤตยูที่ชั่วช้าสามานย์ไปแล้ว... แปดสำนักใหญ่ นอกจาก เสียวลิ้ม บู๊ตึง ที่วางตัวไม่ข้องแวะกับเรื่องรายนี้ แล้ว อีกหกสำนัก ต่างแสร้งเป็นคลางแคลงต่อข่าวลือ นัดชุมนุมชาวยุทธ์ เพื่อขอคำตอบจากเทพกระบี่ดาวเหนือ ในเพ็ญเดือนเก้า ซึ่งก็คือเดือนหน้านี้เอง... เห็นว่า หากไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจ จะบีบคั้นให้ เทพกระบี่ดาวเหนือลงจากตำแหน่งประมุขยุทธภพ บางคนถึงขั้น จะบังคับให้เทพกระบี่ดาวเหนือ ทำอัตวินิบาตกรรม ฆ่าตัวตายเพื่อลุแก่โทษ” “แล้วความจริง เป็นจริงเช่นคำเล่าลือนั้นหรือไม่เล่า ท่านอาจารย์” “เฮอะ!... ถ้าจริงเช่นนั้น ตอนนั้น ข้า ฯ ก็คงไม่พาเจ้าไปทำลายแผนการของมืออสนีบาตให้เสียเวลาเปล่าดอก” “ด้วยเพลงกระบี่และพลังยุทธ์ ของเทพกระบี่ดาวเหนือ ที่เพียงลำพังตัว สยบ ยอดฝีมือของแปดค่ายสำนักใหญ่ จนราบคาบ หากเป็นคนของพรรคอสูรจริง บวกด้วยฝีมือของสี่อสูรพิทักษ์กฎ ยุทธจักรยามนี้ จักมีใครเล่า ที่จะรับมือได้... ไม่เห็นมีความจำเป็นอันใด ที่ต้องแฝงตัวเข้ามาประลองยุทธคัดเลือกเป็น ประมุขยุทธจักร ให้เสียเวลา ยุทธภพก็อยู่ในอุ้งมือของเขาอยู่แล้ว” “แล้ว เหล่าชาวยุทธ์ ไม่มีใครสังเกตความจริงข้อนี้ออกเลยหรือท่านอาจารย์” “เฮ้อ! ในสุรา ย่อมมีน้ำเปล่าปะปนอยู่ แต่ก็ ไม่ทำให้ สุรา กลายเป็นน้ำบริสุทธิ์ ไปได้ ในบู๊ลิ้ม ย่อมมีคนที่มองเห็นความจริงข้อนี้ แต่เหล่านั้น บ้างไม่แยแสสนใจ ปล่อยให้ มันเป็นไป ... ดั่งเช่น เสียวลิ้ม บู๊ตึง... “และท่านอาจารย์” ชายหนุ่มเอ่ยแทรกขึ้น “ใช่! .... ที่ผ่านมา อาจารย์เอง ก็เช่นกัน...” นิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ “อีกส่วนหนึ่ง แม้คิดได้ แต่ก็ไม่มีอิทธิพลอำนาจใดใด ที่จะไปขัดขวางหรือต่อกรกับเหล่าประดานั้น ก็ได้แต่มองดูเหตุการณ์ปล่อยให้มันเป็นไป เท่านั้นเอง..แต่ ได้ข่าวว่า มีหลายสำนัก ที่จงรักภักดีต่อเทพกระบี่ดาวเหนือ หรือ เคยได้รับบุญคุณจากเทพกระบี่ดาวเหนือ กำลังพยายามรวมตัวกันเพื่อต่อต้านอยู่.... ยุทธภพยามนี้ เรียกได้ว่าแบ่งแยกเป็นสามฝ่าย..รอเวลาประจัญหน้ากันในเพ็ญเดือนเก้านี้....” “อืม!.... แล้วคำเล่าลือนี้ มันเริ่มต้นมาจากที่ใดกัน” “หึ หึ หึ... ทั้งหมด สืบเนื่องจากเจ้าส่วนหนึ่ง” “เป็นไปได้อย่างไรกัน ศิษย์นับจากกลับมา ก็ไม่เคยออกสู่ยุทธภพ ไม่ข้องแวะกับใคร คร่ำเคร่งฝึกปรือเพลงกระบี่อยู่ที่นี้ จะเกี่ยวข้องกับศิษย์ได้อย่างไรกัน ?” “ก็เจ้าสยบมืออสนีบาตเอาไว้ ไม่ได้สังหารมัน ปล่อยให้ เทพกระบี่ดาวเหนือ คุมตัวมันกลับไปหอเทพกระบี่ ใช่หรือไม่” แชฮุ้น พยักหน้าเล็กน้อยเป็นความหมายว่ายอมรับ “นั่นแหละ... ตึกอสนีบาต พบว่า มืออสนีบาต ถูกจับไป ไม่ว่ามืออสนีบาตจะยอมเปิดปากพูดหรือไม่ จะมากจะน้อย เทพกระบี่ดาวเหนือ ต้องเพ่งความสงสัยมายังตึกอสนีบาตเป็นแน่แท้ หมู่ตึกอสนีบาต จึงชิงลงมือก่อน โดยการใช้แผนทำลายชื่อเสียง ตัดกำลังหนุน และ หาแนวร่วมเพื่อกำจัด เทพกระบี่ดาวเหนือเสียก่อน... และ ดูท่าพวกมันจะทำได้สำเร็จเสียด้วยสิ... อย่างน้อยก็ก่อให้เกิดคลื่นปั่นป่วนขึ้นในยุทธจักร” “เอาละ สายมากแล้ว... เจ้ารีบหาอาหารรองท้องเสียก่อน แล้วจึงค่อยออกเดินทาง” “ออกเดินทาง ? เราจะไปไหนกัน” “ไม่ใช่เรา... แต่เป็นเจ้า” “ข้า !.. อาจารย์จะให้ศิษย์ไปที่ใด แล้วเหตุใด อาจารย์จึงไม่ไปด้วยเล่า” “ข้าเอง ก็คงต้องไปเช่นกัน เพียงแต่คราวนี้ เราสองต้องแยกย้ายกันออกเดินทาง เจ้ามีกิจของเจ้า ข้ามีภาระของข้า.. เจ้าต้องรีบเดินทางไปที่หอกระบี่ เพื่อหาทางยับยั้งการประทะกันของทั้งสองฝ่ายให้ได้... ทุกอย่างให้พลิกแพลงไปตามสถานการณ์ ... จะทำอะไร ให้คำนึงถึงสถานการณ์ใหญ่ อย่าเอาอคติ ความรัก ความชอบส่วนตัวเป็นเครื่องตัดสิน” “พลังฝึกปรือและเพลงกระบี่ของเจ้า ยามนี้ไม่ด้อยไปกว่าข้า ขาดแต่เพียงประสบการณ์ในการต่อสู้ ซึ่งนั่นเจ้าต้องไปเสาะหา สั่งสมเอาเอง .. ข้าก็คงได้แต่เพียงให้คำแนะนำเท่านั้น เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี ระหว่างท่องยุทธภพ มีข้อห้ามที่หลีกเลี่ยงได้พึงหลีกเลี่ยง คือ หนึ่ง ไม่อาจตอแยแส่หาเรื่อง หรือยุ่งเกี่ยวเรื่องไร้สาระ สอง ไม่บังควรคบหาสหายแปลกหน้า สาม ห้ามเล่นพนันกับคนแปลกหน้า สี่ อย่าได้ตอแย เพาะอริบาดหมางกับ หลวงจีน นักพรต ขอทาน ห้า ไม่พึงเปิดเผยทรัพย์สินในที่สาธารณะ หก อย่าได้หลงเชื่อคำพูดผู้อื่นโดยง่ายดาย และเจ็ด สำคัญที่สุดห้ามไม่ให้คบค้าสนิทสนมกับสตรีแปลกหน้าเด็ดขาด... “ศิษย์จะจดจำไว้” แชฮุ้นรับคำเบา ๆ “ไปเถอะ รับประทานอาหาร แล้วออกเดินทาง” สายวันนั้น อาจารย์และศิษย์ที่อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนาน ก็ต้องแยกย้ายกันลงจากเขา เข้าสู่ยุทธภพ ... นี่เป็นครั้งแรก ที่ แชฮุ้น ต้องดำรงชีวิตโดยไม่มีอาจารย์อยู่เคียงข้าง ออกคลุกคลีในวงนักเลงเพียงลำพัง ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเดียรัจฉาน เมื่อเติบโตถึงวัยสมควร ก็ต้องออกจากอ้อมอกพ่อแม่ ออกจากรังเสาะหาสร้างเส้นทางของตนเอง ย่อมไม่อาจซุกอยู่ใต้ปีกของบิดามารดาได้ตลอดไป/.
หมายเหตุ : เรื่องนี้... เคยลงไว้ในบล็อก เซียน_กีตาร์ ยังคงเขียนไม่จบ... อาจบางที เรื่องนี้ มันไม่มีตอนจบก็เป็นได้...แต่ที่เขียนไว้ยังมีอีกหลายตอน จะทยอยนำกลับมาให้อ่านกันอีกรอบครับ
|