มธุรดา yuri บทที่ ๘/๑

บทที่๘/๑

รัญชน์และบุษบงกตมาถึงสนามบินเพื่อเตรียมขึ้นเครื่องเดินทางไปยังโมระเมื่อเช้าเธอตั้งใจจะทิ้งหินมาคีเอาไว้ที่โต๊ะหมู่บูชาที่บ้าน แต่พอมาถึงสนามบินสิ่งนั้นมาอยู่ในกระเป๋าเสื้อของเธอ โดยไม่บอกให้รู้ล่วงหน้า

“เยอะนะเยอะไปนิลยา”รัญชน์บ่นหินมาคีที่อยู่ในมือของเธอ

“นิดหน่อยน่า หยวนๆ นะพี่รัน”เสียงเล็กๆ ตอบมาอย่างนั้นและเงียบหายไป

รัญชน์ขึ้นเครื่องและรอเวลาให้เครื่องบินออกตามเวลาที่กำหนดเธอกับแม่นั่งคู่กัน เธอไม่ได้จ่ายเงินค่าตั๋วเพิ่มให้กับนิลยา เธอไม่แน่ใจว่านิลยาจะปรากฏกายให้ใครต่อใครเห็นแบบที่เธอเห็นหรือเปล่า

เมื่อวานหลังจากที่กลับมาถึงกรุงเทพฯรัญชน์พบว่าลอตเตอรี่ที่เธอซื้อมานั้นถูกรางวัล ไม่ใช่รางวัลธรรมดาแต่เป็นรางวันที่หนึ่ง เธอดูข่าวในตอนเช้าเห็นลุงคนที่เดินตามเธอไปที่แผงลอตเตอรี่อยู่ในข่าว ข่าวว่าลุงคนนั้นถูกรางวัลแจ๊กพ็อตพอรู้เรื่องอาการโรคหัวใจกำเริบ ต้องรีบหามตัวเข้าส่งโรงพยาบาล

เมื่อเช้าก่อนที่จะมาสนามบินเธอจึงแวะธนาคารไปขึ้นเงินแบบเงียบๆและแลกเงินเป็นเงินดอลลาร์ติดตัวเอาไว้

จากนั้นจึงไปที่ร้านขายเสื้อผ้าเด็ก ซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้กับนิลยาหลายชุด จะได้ไม่ต้องใส่เสื้อผ้าที่ไม่เข้ากันทำให้เธอรู้สึกขำทุกครั้งที่ได้เห็น

เครื่องบินทะยานขึ้นฟ้าแล้ว กำลังไต่ระดับเพื่อให้บินไปถึงโมระอย่างปลอดภัยอยู่ๆ สายตาของรัญชน์เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ตรงปีกเครื่องบิน

“เฮ้ย...แม่ๆ ดูอะไรนั่นสิ”รัญชน์ชี้ให้แม่ดูตัวแสบของเธอ ที่ทำท่ายืนเป็นโรสในเรื่องไททานิค

นิลยาอยู่ตรงบริเวณเหนือเครื่องบนปีกเครื่องบิน ฝั่งที่รัญชน์และแม่นั่ง

อยู่แถมยังใส่ชุดเซเลอร์มูนที่รัญชน์ซื้อมาจากร้านเสื้อผ้าเด็กเมื่อเช้าอีกด้วย

“ตายแล้ว... เล่นอะไรแบบนั้นหือนิลยา คนไม่ตกอกตกใจหรือไงกัน”

“ไม่มีใครเห็นหรอกค่ะน้าบุษ สนุกดีออก บินได้ด้วยออกมาเล่นด้วยกันสิน้าบุษ พี่รัน ข้างนอกสนุกดีจะตายไป”

คนโดนบ่นแทนที่จะสลดกลับยังร่าเริงยืนรับลมแรงๆอยู่ที่ปีกเครื่องบินอย่างไม่สะทกสะท้าน แถมยังทำท่าแปลงร่างอีกด้วย

“มนต์แห่งจันทรา จงสำแดงฤทธา ณ บัดนาว...” ร่ายรำเป็นเซเลอร์มูนภาคแปลงกาย แถมเริ่มกระโดดไปมาอยู่บนปีกเครื่องบิน

คนในเครื่องบินลำนั้นอกสั่นขวัญผวา อยู่ๆ สายฟ้าแลบตรงปีกเครื่องบินมีเสียงฟ้าร้องลั่นครืนๆ ทั้งๆ ที่เครื่องบินลำที่โดยสารมานั้นบินอยู่เหนือก้อนเมฆ

“เฮ้อ... แม่ดูสิคนแตกตื่นกันทั้งลำ แก่นกะโหลกแบบนี้มีหวังเราสองคนปวดหัวตาย” รัญชน์รู้ว่าสาเหตุของการเกิดเหตุการณ์แปลกๆ มาจากนิลยาที่แปลงกายเป็นเซเลอร์มูนเล่นอยู่ด้านนอกเธอจึงไม่รู้สึกสะทกสะท้านกับสิ่งที่เกิดขึ้นผิดกับคนบนเครื่องบิน ที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ทำให้ไม่สามารถข่มตาหลับลงได้

“แม่ว่าน่ารักดีออกรัน นานๆ จะมีเด็กแก่นๆอย่างนี้อยู่ใกล้ๆ”

“โชคดีที่รันไม่ได้แก่นแบบนี้”

“น้อยไปสิ รันนั้นแหละตัวดี”

“จริงหรือแม่ ไหนแม่ว่ามาสิ รันแก่นตรงไหน รันออกจะเรียบร้อยน่ารัก ไม่เคยดื้อเลยสักครั้ง”

“รันจำได้ไหม มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณครูให้จับสัตว์ไปสตาฟ”

“จำได้สิคะ จำแม่นเลยด้วย รันไม่กล้าจับอะไรไปกลัวบาปส่วนเพื่อนๆ เอาจิ้งจก กบ คางคกไป แต่รันเอาหมัดหมาที่บ้านไป”

“นั่นแหละ เป็นเรื่อง รันตกวิชานั้น ครูฟ้องแม่ว่ารันแกล้งครู ไม่เอาสัตว์มาตามที่ครูบอก”

“แม่คิดดูสิคะ เอาอย่างอื่นไป น่าสงสารมันเห็บหมานี่แหละดีที่สุด ไงเราต้องฆ่ามันอยู่ดี”

“แล้วไม่คิดบ้างหรือ คนอื่นๆ เขาจะขยะแขยง”

“บ้านใครเลี้ยงหมาต้องมีกันทุกคนแหละค่ะแม่รันไม่เห็นจะรู้สึกอะไรเลย ดีเสียอีก เจ้าดิ๊กจะได้ไม่คัน”

“ดีของเรา อาจจะไม่ดีของคนอื่นก็ได้นี่ลูก จริงไหม”

“จริงค่ะแม่ รันเลยสอบตก ต้องสอบซ่อมเสียเงินเพิ่มด้วย ทำให้แม่ต้องทำงานหนักเพิ่มขึ้นอีก ขอโทษนะคะแม่”

“ไม่เป็นไรหรอกรัน มันผ่านไปแล้ว ที่แม่จะบอกลูกก็คือนิลยายังเป็นเด็ก ถึงรันจะคิดว่านิลยาอยู่บนโลกใบนี้มาก่อนที่รันจะเกิดแต่เด็กคือเด็ก ความคิดของเด็กมีแค่นั้นชอบเล่นไปวันๆ อย่าไปถือสาอะไรน้องเลยนะลูก”

“รันจะพยายามค่ะ แต่ถ้าดื้อมากๆไม่ไหวเหมือนกันนะคะแม่”

“เอาเถอะๆ ถ้าดื้อมากๆ แม่จะคอยเตือนเองก็แล้วกัน”

บุษบงกตหยุดคำพูดของเธอไว้เท่านั้น ณ ตอนนี้สายตาของสองแม่ลูกมองไปที่ปีกเครื่องบินยังคงเห็นนิลยาร่ายรำท่าทางเป็นเซลเลอร์มูนอยู่ตรงนั้นแถมยังปล่อยลำแสงออกเป็นทางยาว ราวกับกำลังต่อสู้กับสัตว์ประหลาดต่างดาวเป็นร้อยๆตัวเพียงลำพัง

ดินแดนโมระที่มองเห็นผ่านกระจกเครื่องบินทำให้รัญชน์เริ่มรู้สึกชอบดินแดนแห่งความเขียวขจีแห่งนี้

โมระเป็นประเทศที่มีภูเขาสูงล้อมรอบ ไม่ใช่ภูเขาธรรมดาๆทั่วไปอย่างที่รัญชน์เคยเห็น แต่มันคือภูเขาสูงเสียดฟ้า มีเมฆลอยเอื่อยๆระยอดเขาอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าบนยอดเขานั้นคือที่อยู่ของเหล่าทวยเทพในนิยาย

บนยอดเขาแต่ละยอดที่โผล่พ้นมาจากปุยเมฆ ยังคงเห็นสีขาวของหิมะปกคลุมถึงฤดูนี้จะเป็นฤดูฝน หากยังมีหิมะแสดงว่าบนยอดเขาคงหนาวเหน็บไม่เช่นนั้นหิมะคงละลายเป็นน้ำไปนานแล้ว

จริงอย่างที่หวานเคยบอกเอาไว้ น้ำในโมระเกิดจากหิมะ ไม่ใช่มาจากฝนเธออาจเป็นคนนอกโมระ ที่รู้สึกว่าฝนดีกว่าหิมะตก เธอยังรู้ว่าตกมาแล้วจะมีน้ำปริมาณมากน้อยแค่ไหนแต่หิมะตกมากี่เดือนกี่ปีไม่รู้ กว่าจะกลายเป็นน้ำมันคงใช้เวลายาวนาน

เครื่องบินค่อยๆ ลงจอดในสนามบินเล็กๆ ที่อยู่ใจกลางหุบเขารัญชน์รู้สึกหูอื้อจึงกลืนน้ำลายลงคอ เพื่อให้หูปรับความดันในหูตัวของเธอให้เรียบร้อย

เมื่อเครื่องลงจอดสนิท รัญชน์กับแม่จึงลุกจากที่นั่ง ก่อนที่จะลุกเธอหันไปมองนิลยา สบตากับเด็กน้อยก่อนที่จะเดินลงไปยังสนามบินเล็กๆ แห่งนั้น

อากาศของโมระเย็นสบาย ทำให้รู้สึกสดชื่น ทั้งๆ ที่ตอนนี้ เวลาที่โมระน่าจะราวๆบ่ายโมง หากเป็นเมืองไทยคงร้อนจนไหม้

“โห...โมระน่าอยู่จังเนอะพี่รัน”เสียงเล็กๆ กระซิบที่ข้างหูของรัญชน์

เมื่อรัญชน์หันไปจึงพบว่านิลยาแปลงกายให้เล็กลงเกาะอยู่ที่บ่าข้างซ้ายของเธอ

“เฮ้ย...ไอ้บ้า ตกใจหมด”รัญชน์ตกใจที่เห็นนิลยาตัวเล็กกระจ้อยร่อย

“มาตัวโตๆ ก็ว่า มาตัวเล็กๆ ก็บ่น เอาไงแน่เพ่” นิลยาบ่นบ้าง

“มาแบบบอกให้รู้ล่วงหน้าก่อนจะดีที่สุด”

“มาแบบไหน ไหนว่ามาสิ จะได้ทำแบบนั้น”

“ส่งเสียงมาก่อนไง บอกว่าจะมาแบบโตๆ หรือแบบเล็กๆ บอกว่าอยู่ตรงไหนไม่ใช่อยู่ๆ โผล่มาแบบนี้ คนนะเว้ย... ตกใจมากๆ หัวใจวายไปทำไง”

“ก็ด้าย......”นิลยาลากเสียงยาวยืด “ต่อไปจะบอกล่วงหน้า โอเค้”

“เออ... เคก็เค ลงไปได้แล้วหนัก”

“ไม่ใช่ชัตเตอร์กดติดวิญญาณนะ จะได้เกาะหลังจนปวดคอนี่นิลยาบุตรีท่านกัณหา รับรองว่าไม่ใช่ภูตผี ปีศาจแต่อย่างใด”

“ใครคือท่านกัณหา” รัญชน์หันไปถามคนที่ยืนอยู่บนไหล่ของเธอ

“โอ๊ยๆ เชยระเบิดเลย ท่านกัณหาคือพญานาคไงท่านเป็นท่านพ่อของนิลยา”

“หา...” รัญชน์ลากเสียงยาว

“กัณหา ไม่ใช่หา เรียกท่านพ่อสั้นๆ แบบนั้นไม่ได้เดี๋ยวโดนดุเข้าใจไหม”คนตัวเล็กยกมือชี้นิ้วมาทางใบหน้าของรัญชน์ ราวกับคุณครูสั่งสอนนักเรียน

“ไม่ได้เรียกพญานาค ที่หา...เนี่ย เพราะตกใจต่างหาก”

“อ๋อ...เหรอ”คนตัวเล็กกอดอกพยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่รัญชน์พูด

“รีบๆ เดินหน่อยสิ ชักช้ายืดยาดจริงๆ เชียวร้อนนะขอบอก หิวน้ำด้วย คอแห้งจะแย่แล้วไม่รู้หรือไง”

“ทำไมไม่บินหรือเหาะไปก่อนล่ะ จะได้ไปกินน้ำในสนามบิน”

“ไปได้ไง ไม่ใช่ถิ่นเรา ขืนออกไปถูกเจ้าถิ่นกัดทำไงเล่า”

“อ้าว...แล้วที่อยู่บนไหล่พี่แบบนี้เจ้าถิ่นไม่กัดหรือไง”

“ฮึ...ไม่”

“ทำไมล่ะ”

“หินมาคีอยู่ในกระเป๋าเสื้อพี่นิลยาทำถูกต้องแล้วที่อยู่ใกล้ๆ หินมาคี เวลามีภัยจะได้หลบไปนอนในนั้น”

“แล้วกัน ลูกพญานาคแปลงกายเป็นลูกเต่าได้ด้วย”

“เดี๋ยวเถอะ จะไปฟ้องท่านปู่ตุลธร”

“ใครอีกล่ะ ญาติเยอะจริง”

“ท่านปู่ตุลธรเป็นท่านปู่ที่อยู่ในเมืองบาดาลคอยดูแลเมืองให้สงบสุข แต่ท่านเป็นเต่า”

“อ๋อๆ เข้าใจแล้ว อะ...ถึงแล้วจะกินน้ำอะไรว่ามา”

รัญชน์เดินเข้ามาถึงตัวอาคารสนามบิน จึงเอ่ยถามคนที่บอกว่าหิวน้ำและคอแห้ง

“อืม...น้ำไรดีน้อ” คนหิวน้ำทำท่านิ่งคิดอยู่พักใหญ่ก่อนที่จะบอกว่า

“อ๋อๆ ไวน์แดงหนึ่งขวด เบียร์แช่เย็นเป็นวุ้นหนึ่งเหยือก แล้วก็...”

“ไอ้บ้า... จะไปเอามาจากไหน ที่นี่สนามบินเอาน้ำเปล่าไปล้างคอก่อนก็แล้วกัน” ยังไม่ทันที่นิลยาจะพูดจบรัญชน์ก็พูดสอดขึ้นมา ด้วยความไม่พอใจ คนอะไร บ่นหิวน้ำ แต่ที่พูดๆมาทั้งหมดนั้นมันใช่น้ำเสียเมื่อไหร่

“ก็ได้ๆ ยังดีกว่าไม่มีน้ำกิน ชิ...คนเรารวยก็รวยยังจะงกอีก รู้งี้ให้ถูกแค่สองตัวล่างซะก็ดี มีเงินเป็นล้านเลี้ยงไวน์น้องแค่นี้ทำเป็นบ่น”

“เออๆ ไว้ไปถึงโรงแรมก่อนจะสั่งให้ เอาไปโหลนึงเลยเอ้า”

“เย้ๆ จริงๆ นะ ดีใจๆ พี่รันใจดีที่สุดในโลกเลย” ว่าจบคนตัวโตแค่คืบกระโดดหอมแก้มรัญชน์ยกใหญ่ จนรัญชน์รู้สึกจั๊กกะจี้

“พอได้แล้ว แม่ว่ารีบๆ เรียกแท็กซี่ไปโรงแรมเถอะจะได้พักผ่อน”

“ค่ะแม่ เห็นไหม หาเรื่องให้แม่ดุจนได้”

“เค้าเปล่าน้า ไปก็ได้ อย่าลืมนะถึงโรงแรมไวน์แดงหนึ่งโหล เย็นเจี๊ยบๆ เลยนะ เพ่...ราน...”จากนั้นคนขอของมึนเมาหายวับไปกับตา

รัญชน์เข้าใจว่านิลยาคงกลับไปอยู่ในหินมาคีในกระเป๋าเสื้อของเธอเพราะตอนนี้เธอรู้สึกว่ากระเป๋าเสื้อเหมือนมีอะไรดุ๊กๆ ดิ๊กๆ อยู่ในนั้น




Create Date : 23 พฤษภาคม 2556
Last Update : 23 พฤษภาคม 2556 19:05:14 น.
Counter : 354 Pageviews.

0 comments
: รูปแบบของความว่าง : กะว่าก๋า
(18 เม.ย. 2567 04:00:35 น.)
แพ้เนื้อจากการโดนเห็บกัด alpha-gal allergy สวยสุดซอย
(17 เม.ย. 2567 14:07:10 น.)
15 เมษายน 2567 คุกกี้คามุอิ
(15 เม.ย. 2567 04:15:53 น.)
๏ ... คืนฟ้าไร้ดาว ... ๏ นกโก๊ก
(14 เม.ย. 2567 09:49:36 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Ping-dow.BlogGang.com

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]