2019 Hokkaido: เดินดูประวัติศาสตร์ฮอกไกโดที่ Historical Village of Hokkaido เดินเล่นกับหาที่กินลั้ลลามาหลายวันละ วันนี้เราน่าจะไปเพิ่มพูนความรู้ (รึเปล่า ? ) ที่ Historical Village of Hokkaido กันซักหน่อย พิพิิธภัณฑ์หมู่บ้านฮอกไกโด หรือ Historical Village of Hokkaido เดินทางไม่ไกลจากตัวเมืองซัปโปโร เดินทางก็ไม่ยาก จาก Shin Sapporo Station แล้วต่อด้วยรถบัสสาย 22 ประมาณ 15 นาที ที่นี่จะเป็นพิพิิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดใหญ่บ้ะเริ่มเทิ่ม เดินกันแบบหมดวันไปง่าย ๆ เลย อาคารสถานที่บำรุงรักษามีดีเทลรายละเอียดกันดีมาก โดยจัดแสดงประวัติความเป็นมาของฮอกไกโดตั้งแต่สมัยเมจิ ไทโช รุ่น คศ.1868 - 1926 แบ่งออกเป็น 4 โซนหลัก ๆ คือ เมือง หมู่บ้านชาวประมง หมู่บ้านฟาร์มและหมู่บ้านบนภูเขา และห่างออกไปประมาณ 10 นาที จะมีอีกพิพิิธภัณฑ์นึงชื่อพิพิิธภัณฑ์ฮอกไกโด Historical Museum of Hokkaido เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่แสดงประวัติ ซึ่งคราวนี้ไม่ใช่แค่หมู่บ้านละ แต่แสดงประวัติตั้งแต่สมัยยุคไดโนเสาร์กันเลยทีเดียว บอกมาแค่นี้ก็น่าสนุกแล้วเนอะ มาเริ่มวันกันแต่เช้าด้วยอาหารเช้าดีๆ ที่โรงแรม อาเฮียก็กินอะไรน่าเบื่อตามประสาเฮีย ขึ้นรถไฟมาลงที่ Shin Sapporo Station เพื่อจะต่อรถบัสสาย 22 ประมาณ 15 นาที ราคา 210 เยน รถบัสก็จะโล่ง ๆ ชิลล์ ๆ หน่อย มาถึงละ Historical Village of Hokkaido ถึงจะเป็นช่วงเมษา เริ่มเข้าฤดูใบไม้ผลิ แต่ที่นี่ก็ยังมีกองหิมะสุมอยู่ ถ้ามาเที่ยวหน้าหนาวนี่คงดูไม่จืด ศาลารอรถบัสเค้าน่ารักดี มองลงมาจากด้านหน้าอาคาร นี่ถ้าเป็นช่วง Peak รถน่าจะจอดกันเต็มลานเลยนะนี่ จะมีแผนที่แสดงโซนอาคารต่าง ๆ ถึง 60 กว่าอาคาร ญี่ปุ่นนี่มันญี่ปุ่นจริง ๆ มีตัวการ์ตูนในทุก ๆ ที่ เข้ามาข้างในละ จะมีอาคารหลากหลายมาก มีรถรางม้าลากอยู่รอบ ๆ ด้วย แต่ละอาคารเค้าจะมีป้ายบอกว่าเป็นอาคารอะไร โรงพัก Town Hall โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า ไปรษณีย์ ร้านอาหาร อะไรก็ว่าไป เข้าไปดูได้ทุกตึก เดินข้ามไปข้ามมาระหว่างตึก ก็จะต้องระวังเวลาข้ามถนนนิดนึง อาจโดนรถม้าเสยไปได้ ยืนดูมันลากแล้วก็สงสารม้าอยู่นะ ยิ่งอิตัวที่เห็นนี่ดูโวยวายอาละวาดเล็ก ๆ จนตอนหลังเหมือนต้องเปลี่ยนตัวโดนลากไปเก็บ น่าจะเป็นร้านขนม มีชั้นวางเกี๊ยะด้วย ร้านอาหาร มีห้องครัว ห้องนอนสมัยก่อน ห้องอาบน้ำ ถึงเป็นสมัยนู้นก่อนที่จะมีเครื่องทำน้ำร้อน คนญี่ปุ่นก็ต้องแช่น้ำในอ่าง ตามที่เห็นในการ์ตูนเคยอ่านเจอว่ามันจะมีเป็นแบบหม้อเหล็กที่เรียกว่า โกเอมงบุโระ ที่จะจุดไฟต้มน้ำกันอย่างนั้นเลย ออกจะได้ฟีลกระทะทองแดงหน่อย ๆ เนื่องจากหม้อต้มน้ำเป็นเหล็ก ก็เลยจะมีแผ่นไม้เพื่อกันไม่ให้คนโดนต้มจนสุกในหม้อด้วย แต่อินี่ไม่แน่ใจว่าเป็นแค่อ่างแช่ธรรมดาหรือเปล่า ส้วมก็มี ห้องแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ห้องครัว ห้องนั่งเล่น มีให้ผิงไฟจิบชาด้วย ส้วมชายแบบฉี่อัดผนัง เดินเข้าเดินออกแต่ละบ้าน แต่ละอาคารก็จะตกแต่งต่าง ๆ กัน รองเท้าสาน โรงพยาบาล โรงพัก เฮียไปชี้หน้าเค้า เดี๋ยวก็โดนจับหรอก อันนี้ไปรษณีย์ ร้านตัดผมดูไม่ต่างจากของไทยตามต่างจังหวัดไกล ๆ เท่าไหร่ หรือที่อินเดียก็ยังคงเป็นแบบนี้อยู่ ต่อมาเป็นร้านที่น่าจะเหมือนห้างสรรพสินค้าของเราสมัยนี้ อันนี้ในช่วง 1900 ต้นๆ ร้านขนม น่าจะมีขายจริงด้วยนะ จะกินให้หมดเลย โรงไม้ ทำเลื่อน มีสระน้ำให้นั่งพักเหนื่อย ถ้าช่วงหิมะตกแถวนี้คงจะสวยน่าดู หากาแฟอุ่น ๆ มานั่งจิบดูหิมะไปน่าจะฟินน์ แต่เรามาช่วงที่ชาวบ้านเค้าไม่ค่อยเที่ยวกัน ข้อดี คือไม่ต้องแย่งกันเที่ยวกับคนอื่น ๆ เพราะวันที่เราไปนี่ แทบไม่มีคนเลย เดินน๊านนานถึงจะเจอนักท่องเที่ยวซักคู่ ทำให้ลั้ลลาถ่ายรูปเล่นได้เต็มที่ แต่ช่วงนี้ร้านคิออสขายอาหารขายกาแฟมันปิดค่าท่านผู้ช๊มมมม เหลือแต่ร้านอาหารใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า คือต้องเดินจนรอบแล้วถึงเดินกลับไปได้น่ะ เพราะที่นี่มันก็ไม่ได้เล็ก ๆ เลย ชักจะหิวๆ แต่ก็เดินกันต่อ ตามข้างทาง มีดอกไม้ขึ้นด้วย น่ารัก เดินมาด้านหลังจนเจอโรงม้า ได้พักเหนื่อยแล้วน้าาา เดินไม่รอบ น่าจะขาดโซนหมู่บ้านชาวประมง เพราะไม่งั้นต้องเดินวนกันอีกไกล ก่อนกลับแวะร้านอาหาร เป็นเหมือนโรงอาหารใหญ่ ๆ หนาววววว เลยสั่งบะหมี่ร้อน ๆ มากิน ขนมก็น่ากินหลายอย่างเลย อันนี้แป้งทอด ๆ จิ้มซ็อส อินี่เหมือนขนมไข่เต่า รสชาติก็คล้าย ๆ กันนั่นแหละ ข้าวหมูทอดแกงกะหรี่ ตามด้วยขนม ตอนเดินออกมาฟ้าใสปิ๊งเลย เราจะไปต่อกันที่พิพิธภัณฑ์ฮอกไกโด นั่นคือรถบัสที่กำลังจะไปพิพิธภัณฑ์ฮอกไกโดที่เรากำลังจะไป พลาดไปแค่เสี้ยวนาที ไม่เป็นไร เดินก็ได้วะ เดินไปประมาณ 10-15 นาที แล้วแต่ว่ามีแรงสับขาขนาดไหน แต่วิวสวยอยู่นะ เดินมาตามถนนนี่แหละ ฟ้าสวย ๆ วิวหิมะข้างทาง อากาศดี ๆ ก็พอเดินได้อยู่ มาถึงละ เข้ามาก็เจอร้านกาแฟ นั่งพักเหนื่อยและอัพโซเชียลกันตามประสา กาแฟที่นี่มีทำลาเต้อาร์ทเป็นรูปกระดูกไดโนเสาร์ด้วย ได้คาปูชิโน่แอมโมไนท์มา แอมโมไนท์เป็นบรรพบุรุษของปลาหมึก เป็นสัตว์ทะเล ถึงแม้หน้าตามันจะเหมือนหอยก็เหอะ อิฉันรู้จักมันก็จากหนังสือโดเรมอน ที่เล่าว่าแอมโมไนท์ฟอสซิลเนี่ยมันมีอยู่ทั่วไป โนบิตะยังไปขุดหาได้เลย ซึ่งจริง ๆ มันก็มีอยู่ทั่วไป อยู่ทั่วโลก บนเขาก็มี แสดงว่าสมัยก่อนน้ำทะเลมันสูงมากจนท่วมเขา หรืออีกทฤษฎี น้ำทะเลอาจจะไม่ได้สูงขนาดนั้น น้ำทะเลอยู่เท่าเดิมกะตอนเนี้ยะ เพียงแต่ตอนที่อุกกาบาตพุ่งชนโลก อาจทำให้น้ำกระฉอกตูมซะสูงจนกระจายไปทั่วสัตว์น้อยใหญ่ก็กระฉอกตามขึ้นเขาไปด้วย ทำให้บนเขาทั่วโลกเจอฟอสซิลสัตว์ทะเลกันเยอะแยะ แล้วมันก็ตายสูญพันธุ์กันหมด แต่ยังไงซะทฤษฎีนี้ก็อย่าเชื่อให้มากนะฮะ เพราะมันเป็นของอิฉันที่พึ่งคิดได้เมื่อกี้นี้เอง เข้าไปดูพิพิธภัณฑ์ซะหน่อย แมมมอธใหญ่ม่วกกกกก งามันใหญ๊ใหญ่ เค้าว่ามันจะใช้งาขุดอาหารใต้หิมะขึ้นมา น่าสงสาร น่าจะหาของกินยากทีเดียวเชียว ต้องขุดลึกขนาดไหนละพ่อ ชอบที่นี่ตรงที่มีชิ้นส่วนพวกกระดูกไดโนเสาร์แบบให้จับได้ด้วย พิพิธภัณฑ์มักเป็นอะไรที่ให้ดูแต่ตา ห้ามจับ ให้อ่านให้ดูได้อย่างเดียว บางทีเลยออกจะน่าเบื่อไปหน่อย ของอันนี้เขียนไว้เลยว่า Please touch เอ๊ะ..แต่พอเลื่อนมาดูรูปมุมซ้ายล่าง เพิ่งเห็นว่ามีป้ายห้ามจับ คืออิหยังว่ะ แต่ไม่รู้ล่ะ จับไปแล้ว อุปกรณ์มนุษย์ถ้ำยุคหินสมัยโบราณ เป็นอุปกรณ์สมัยยุคโจมง Jomon ยุคโจมงเป็นยุคหิน ทั้งยุคจะเป็นช่วง 300-14000 ปีก่อน คศ. ซึ่งจะมีช่วงที่มีวัฒนธรรมร่วมกับรุ่นเมโสโปเตเมียกับวัฒนธรรมลุ่มน้ำไนล์ ตามข้อมูลจากวิกิ บอกว่ายุคนู้นนนนานมากละ แผ่นดินญี่ปุ่นน่าจะยังคงเป็นแผ่นดินที่ติดกับแผ่นดินใหญ่ ไม่ได้แยกมาเป็นเกาะเหมือนสมัยนี้ กลุ่มมนุษย์ยุคโบราณก็เดินกันมาเรื่อย ๆ จากทางไซบีเรียทางจีนมาอยู่ที่ญี่ปุ่น มนุษย์ยุคโจมงเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ผลิตเครื่องปั้นดินเผาและผลิตอาวุธหินไว้ล่าสัตว์กันได้ เมื่อผลิตเครื่องปั้นดินเผา ก็เริ่มปรับวิถีชีวิตให้อยู่ติดที่กันมากขึ้นกว่ารุ่นบรรพบุรุษที่ย้ายถิ่นฐานตามสัตว์ที่จะล่า โดยยุคท้ายๆ ก็จะเริ่มทำกสิกรรมเกษตรกรรมกัน อันนี้เป็นตุ๊กตาดินเผา ตุ๊กตาปั้น เป็นของทำเลียนแบบของในยุคโจมงเช่นกัน สมัย 3000-4000 ปีก่อน คศ. ซึ่งก็คือ 6000 ปีที่แล้ว ยุคนั้นนิยมปั้นตุ๊กตาน่าดู อาวุธต่าง ๆ ในสมัยนั้น แล้วก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ รูปชนเผ่าชาวไอนุ อ่านเรื่องของชาวไอนุแล้วสงสาร ออกจะคล้ายอินเดียนแดงที่โดนคนเมกันมาบุกยึดที่อยู่เลย เพราะคนไอนุก็เป็นชนพื้นเมืองที่โดนชาวญุี่ปุ่นกดขี่ข่มเหงพอควร อิฉันไปอ่านเจอเรื่องชาวไอนุในพันทิปและหลาย ๆ บทความมา ดูน่าสนใจดี ขออนุญาตจับแป๊ะชนแกะหลาย ๆ บทความนำมาแปะให้อ่านกันตรงนี้นะคระ พื้นที่อาศัยของชาวไอนุส่วนใหญ่อยู่ในเกาะฮอกไกโด รวมไปถึงเกาะเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างญี่ปุ่นและรัสเซีย โดยอยู่ที่นี่มานาน จนกระทั่งมีการพูดว่า "ชาวไอนุอยู่ที่นี่หลายแสนปีก่อนที่บุตรแห่งพระอาทิตย์จะมา” ชาวไอนุในอดีตยึดมั่นในวัฒนธรรมประเพณีของตัวเอง จนทำให้ถูกรัฐบาลญี่ปุ่นสมัยเอโดะหมายหัวและบังคับต่าง ๆ นานา ปัจจุบันมีประชากรชาวไอนุอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นประมาณสองหมื่นกว่าคน แต่ส่วนใหญ่เป็นประชากรที่ยากจนและไม่ได้รับการศึกษา วัฒนธรรมของชาวไอนุ คือการสังเวยหมี หญิงสาวกับรอยสัก และรองเท้าหนังปลา ชาวไอนุเป็นชนเผ่าที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติ พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้านั้นแปลงกายมาเป็นพืช สัตว์ และสิ่งอื่นๆ ในธรรมชาติเพื่อปกปักรักษาและให้ชีวิตแก่มนุษย์ ซึ่งอิฉันดูแล้วก็ไม่ได้ต่างจากอินเดียนแดงซักเท่าไหร่ พิธีกรรมที่สำคัญของชาวไอนุคือ “iyomante” ซึ่งเป็นการส่งวิญญาณของสัตว์กลับคืนสู่สวรรค์ จัดขึ้นเป็นประจำในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ชาวไอนุจะทำพิธีบูชายัญหมี (หรือบางครั้งก็เป็นนกฮูก) โดยการจับลูกหมีมาเลี้ยงดูอย่างดีจนมีอายุได้ 2 ปี จากนั้นจึงทำพิธีส่งพวกมันกลับคืนสู่สวรรค์เพื่อเป็นการส่งข้อความถึง “บิดาแห่งหมีผู้ยิ่งใหญ่บนท้องฟ้า” เนื้อและหนังของหมีจะถูกนำมาใช้เป็นอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ส่วนกะโหลกศีรษะจะถูกนำไปเป็นเครื่องสักการะบูชาเพื่อระลึกถึงพระเจ้า ถัดมาในเรื่องของรอยสัก หญิงชาวไอนุจะเริ่มทำการ “สัก” ตั้งแต่อายุ 12 ปี รอบริมฝีปาก มือ และแขน เมื่อสักจนครบถ้วนภายในเวลา 3 ปี หญิงชาวไอนุวัย 15 หรือ 16 ปี ก็พร้อมที่จะออกเรือน รอยสักของหญิงชาวไอนุจะต้องทำการสักโดยผู้หญิงด้วยกันเท่านั้น ในยุคเอโดะรัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกกฎหมายห้ามสักและถือว่ารอยสักเป็นเครื่องหมายของความรุนแรง เพราะมีการใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวของกลุ่มอาชญากรรม การแต่งงานของหญิงชาวไอนุบางครั้งก็ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ แต่ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับความพอใจของหนุ่มสาว เมื่อชายหนุ่มชาวไอนุต้องการจะสู่ขอหญิงสาวที่หมายปองเขาจะเดินทางไปเยือนบ้านของฝ่ายหญิง ผู้หญิงจะเสิร์ฟข้าวมาในถ้วย ฝ่ายชายจะทานข้าวครึ่งถ้วยและส่งกลับคืนให้หญิงสาว ถ้าเธอทานต่อจนหมดหมายความว่าเธอยอมรับ แต่ถ้าคว่ำข้าวที่เหลือลงหมายความถึงการปฏิเสธ นอกจากนี้ในพิธีแต่งงานก็จะมีการทานข้าวคนละครึ่งถ้วยเพื่อเป็นสัญญารักเช่นกัน ชุดพื้นเมืองของชาวไอนุทำมาจากหนังและขนของนก รวมไปถึงหนังของหมี กวาง จิ้งจอก แมวน้ำ สุนัข และสัตว์อื่นๆ หรือแม้กระทั่งหนังของปลาอย่างแซลมอนและปลาเทราต์ นอกจากนี้ยังมีชุดสีขาวที่ทำจากพืชอย่างต้นข้าวไรย์หรือต้นเอล์ม เครื่องแต่งกายของชาวไอนุจะใช้วิธีการปะติดและเย็บปักถักร้อย เมื่อผ้าฝ้ายได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้นในญี่ปุ่นก็มีการเย็บปักอย่างละเอียดและซับซ้อนมากขึ้นตามไปด้วย ชาวไอนุมีภาษาพูดเป็นของตัวเองแต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร พวกเขาถ่ายทอดวัฒนธรรมการพูดด้วยการเล่าเรื่องราวผ่านรุ่นสู่รุ่น สถานที่หลายแห่งในฮอกไกโดมาจากภาษาของชาวไอนุเช่น ซัปโปะโระ (แม่น้ำที่แห้งและใหญ่) มุโระรัง (พื้นที่ลาดเอียงขนาดเล็ก) ทะเลสาบโทยะ (ชายฝั่งของสระน้ำ) คนเชื้อสายไอนุเอง ลึกๆลงไปก็คงแบบเดียวกับที่ชาวสก๊อตรู้สึกกับอังกฤษ มีเรื่องเล่าออกแนวประชดเล็ก ๆ ว่า ที่ชาวญี่ปุ่นเรียกตนเองว่า นิฮง = สองท่อน,สองชิ้น นั้น ก็เพราะในสมัยก่อนชาวญี่ปุ่นแลกเปลี่ยนสินค้ากับชาวไอนุ ก็จะเอาเปรียบโดยนับสินค้าให้ตัวเองเกิน โดยนับ ชิ้นแรก, 1, 2, 3,... หมดแล้วก็นับเกินอีก... 'ชิ้นสุดท้าย' ชาวญี่ปุ่นก็จะได้เกินไปสองชิ้นเสมอ ดังนั้นชื่อเรียกตนเองของชาวญี่ปุ่นจึงมีที่มาจากจำนวนสินค้าที่โกงไปสองชิ้นนั่นเอง (ข้อมูลเรื่องชาวไอนุนี่อิฉันนำมาจากพันทิพและหลาย ๆ บทความนะคระ หากผิดพลาดประการใดต้องขออำภัย) เอารูปหญิงสาวกับรอยสักมาให้ดู สักปากกันอย่างงี้ เกร๋ ๆ หน้าตาชาวไอนุจะต่างจากคนญี่ปุ่นที่เป็นมองโกลอยด์ แต่ก็มีหลายทฤษฎีแหละ ว่า มีบ้างที่ว่าชาวญี่ปุ่นเป็นลูกผสมระหว่างไอนุกับชาวยาโยอิ แต่บางทฤษฎีก็บอกไม่ใช่เลย เครื่องดนตรีที่สำคัญของชาวไอนุคือเครื่องสายอย่าง “mukkuri” และ “tonkori” ตัวอย่างบ้านเรือนของชาวฮอกไกโดในสมัยก่อน บ้านเป็นฟาง หน้าหนาวนี่คงดูไม่จืดเลย การเดินทางโดยรถรางในสมัยก่อน ข้าวของสมัยก่อน ซึ่งบางอย่างก็เหมือนยังเห็นในไทยอยู่แว้บๆ โซนเกือบสุดท้ายจะมีสัตว์ฮอกไกโดให้ดู หมีกับแซลมอน จิ้งจอกสมัยนี้ชอบมาคุ้ยขยะนะฮะ จิ้งจอกเนี่ย อิฉันชอบมาก มันน่ารักดี บ้านป๊าม๊าอาเฮียที่อังกฤษในสวนหลังบ้านก็ชอบมีจิ้งจอกโผล่มา ป๊าชอบเอาไก่สด ใส่จานไว้ให้มัน สมัยสาว ๆ อิฉันชอบไปแอบส่องเฝ้าจิ้งจอกมากินไก่ สิงโตทะเลตัวโค่ดใหญ่ กลับบ้านมานอนเลื้อย พอดึก ๆ ค่อยออกไปหาข้าวหน้าเนื้ออร่อย ๆ ราคาย่อมเยากินกัน เดี๋ยวบล็อกหน้าพาไปลานแสดงศิลปะกลางแจ้งฮะ
ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 13 สิงหาคม 2563 เวลา:3:41:04 น.
|
บทความทั้งหมด
|