อันตราย !! จากการรับประทานยาปลูกผม
เชื่อว่าหลายคน ๆ คนที่ประสบปัญหาผมร่วง ผมบาง และศีรษะล้าน อาจเคยมีความคิดอยากลอง หรือเคยใช้ยาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้มาก่อน จากการสำรวจผลลัพธ์จากผู้ใช้งานจริง บางรายก็ได้ผลดี และบางรายก็เกิดอาการแพ้พร้อมกับอาการระคายเคืองหนังศีรษะอย่างรุนแรง และมากไปกว่านั้นคือ เพศชายบางรายถึงขั้นเกิดการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ (Erectile Dysfunction) และเมื่อหยุดใช้ยาเส้นผมก็กลับมาร่วง และร่วงหนักมากว่าเดิม ดังนั้นก่อนตัดสินใจเลือกใช้วิธีรักษาด้วยยาจึงควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียด เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพของตนเองในระยะยาวด้วยนะคะ ยาปลูกผมที่ได้รับอนุญาตให้ใช้รักษาอาการผมร่วง ผมบางในปัจจุบัน มีด้วยกัน 2 ชนิด คือ ไมนอกซิดิล (Minoxidil) และ ฟิแนสเทอร์ไรด์ (Finasteride) ไมนอกซิดิล (Minoxidil)ไมนอกซิดิล (Minoxidil) แบบรับประทาน เดิมทีเป็นยาใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูง มีหน้าที่ออกฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดแดงขยายตัว เพื่อช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลง และมีข้อบังคับว่าจะต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์เท่านั้น ต่อมา มีการพบว่ายานี้ส่งผลให้ผู้ป่วยบางราย มีขนยาวขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และทำให้เส้นผมงอกในผู้ป่วยที่ศีรษะล้าน จึงมีการนำไปผลิต เป็นลักษณะแบบยาทาเฉพาะที่ ฤทธิ์ของ Minoxidil ที่ส่งผลต่อกลไกการทำงานของระบบเลือดในร่างกายไมนอกซิดิล (Minoxidil) จะออกฤทธิ์กระตุ้นการเปิดช่องของเกลือโพแทสเซียม (Opening of potassium channel) ทำให้เกิดการขยายตัวของหลอดเลือดที่หนังศีรษะ ช่วยให้มีเลือดไปเลี้ยงเซลล์รากผมมากขึ้น ส่งผลให้เส้นผมสามารถเจริญเติบโตขึ้นได้ ขนาดของยาที่แพทย์อนุญาตให้ใช้ไมนอกซิดิล (Minoxidil) แบบรับประทาน 50 มิลลิกรัมต่อวัน เป็นขนาดของยาที่ใช้ในการรักษาความดันโลหิตสูง ซึ่งแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้ในการรักษาผมร่วง ผมบาง หรือศีรษะล้าน ไมนอกซิดิล (Minoxidil) แบบทาเฉพาะที่ ความเข้มข้น 2-5% ใช้ทาบนหนังศีรษะที่แห้งวันละ 2 ครั้ง นานประมาณ 1 ปี จึงเริ่มเห็นผล ผลข้างเคียงที่ได้จากการรักษา
ฟิแนสเทอร์ไรด์ (Finasteride)ฟิแนสเทอร์ไรด์ (Finasteride) เป็นยาที่ใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโต (Benign prostatic hyperplasia/ BPH) ในเพศชาย ช่วยลดอาการปวดปัสสาวะในช่วงกลางคืน (Nighttime urination) ทำให้การไหลของปัสสาวะ (Urine flow) ดีขึ้น ลดปริมาณฮอร์โมนเพศชาย (Dihydrotestosterone/ DHT) ในร่างกายที่เป็นสาเหตุของการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก (Prostate) และการเกิดศีรษะล้าน (Male pattern baldness) ฤทธิ์ของ Finasteride ที่ส่งผลต่อกลไกการทำงานของระบบเลือดในร่างกายฟิแนสเทอร์ไรด์ (Finasteride) จะออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ 5-แอลฟารีดักเตส (5-alpha reductase) ซึ่งเป็นเอนไซน์ที่มีหน้าที่เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายจากเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ไปเป็นไดไฮโดรเทสโทสเตอโรน (Dihydrotestosterone) สารเคมีที่ส่งผลต่อการทำงานของเซลล์ต่อมลูกหมากและทำให้เซลล์รากผม (Hair follicle) ฝ่อ ขนาดของยาที่แพทย์อนุญาตให้ใช้ฟิแนสเทอร์ไรด์ (Finasteride) รับประทาน 5 มิลลิกรัมต่อวันสำหรับเพศชาย นาน 1 ปี จึงเริ่มเห็นผลลัพธ์ ห้ามใช้ในเพศหญิง สตรีมีครรภ์ และสตรีที่ต้องให้นมบุตร ผลข้างเคียงที่ได้จากการรักษา
ยาปลูกผม คืออีกหนึ่งทางเลือกสำหรับการแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง ซึ่งบางคนมองว่ายาปลูกผมนั้นหาซื้อง่าย และราคาถูก แต่แน่นอนว่า…ขึ้นชื่อว่ายา อาจทำให้เกิดอาการแพ้หรือเกิดอาการระคายเคืองผิวขั้นรุนแรง และเมื่อใช้ไปนาน ๆ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพแน่นอนค่ะ เพราะทำให้ตับทำงานหนัก และเสี่ยงต่อภาวะตับวายเฉียบพลัน (Acute liver failure) อีกด้วย ในปัจจุบันหากมีความต้องการที่จะปลูกผม มีวิธีที่ปลอดภัยกว่าการกินยา โดย J HAIR ได้คิดค้น และเลือกสารสกัดอย่างใส่ใจ บำรุงเส้นผม ด้วย สารสกัดสุดลงตัว สมดุล แข็งแรง ด้วยสารสกัดธรรมชาติ
หากคุณกังวลเกี่ยวกับผมร่วง หรือมีปัญหาในการปลูกผม สามารถปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านเส้นผมของ J hair ได้ง่ายๆ แค่เพียง คลิก
a |
บทความทั้งหมด
|