►►►"เช...ในตัวคุณ"◄◄◄ ลำดับเหตุการณ์หลักๆในการเดินทางของ เออร์เนสโต เกเวรา เดลา เซอรา นักศึกษาแพทย์วัย 23 ในภาพยนตร์ดังแห่งละตินอเมริกา เรื่อง The Motorcycle Diaries มีดังนี้ 4 มกราคม 1952 บัวโนสไอเรส, อาร์เจนตินา เริ่มออกเดินทางของ 2 หนุ่มกับ 1 มอเตอร์ไซด์ สิ่งที่เราสองคนมีเหมือนกัน คือการไม่ชอบอยู่นิ่ง จิตวิญญาณ และความรักต่อการเดินทาง ? กล้าไหม ที่จะเริ่มต้น 13 มกราคม 1952 มิรามา, อาร์เจนติน่า ต้องแยกจากแฟนสาว หัวใจของผมเหมือนลูกตุ้มที่แกว่งไปมา ระหว่างชิชินา และการเดินทาง ไม่รู้พลังอะไรที่ทำให้ผมตัดสินใจจากดวงตา และอ้อมแขนคู่นั้นของเธอ ? กล้าไหม ที่จะพรากจากสิ่งหรือบุคคลอันเป็นที่รัก 15 กุมภาพันธ์ 1952 ลาโก ฟรียาส, อาร์เจนตินา ขณะก้าวข้ามพรมแดนสู่ประเทศชิลี สิ่งใดหนอที่เราทิ้งไว้เบื้องหลังตอนข้ามพรมแดนมา ความรู้สึกขณะนั้นเหมือนแตกออกเป็นสอง อาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่จากมา และตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะได้พบเจอ ในดินแดนใหม่ ? กล้าไหม ที่จำต้องจาก และพร้อมไหม? ที่จะพบกับโลกใหม่ 26 กุมภาพันธ์ 1952 ชิลี เริ่มขัดสน ขาดแคลนเสบียงอาหาร ธรรมเนียมเก่าแก่ของอาร์เจนตินา ห้ามดื่มขณะท้องว่าง และเพราะไม่มีเงินสักแดง เราจึงหาซื้ออาหารไม่ได้ และจำต้องปฎิเสธไวน์ของพวกคุณ ? กล้าไหม ที่จะเอ่ยปากขอ... กับคนแปลกหน้าโดยไร้สิ่งตอบแทน 11 มีนาคม 1952 ทะเลทรายอาตากามา, ชิลี พบความจริงของโลกอันโหดร้าย ใบหน้าของพวกเขาเศร้าและหดหู่ ทั้งคู่เล่าถึงเพื่อนๆที่หายตัวไปอย่างลึกลับ และว่ากันว่า ร่างของพวกเขาจมอยู่ใต้ท้องทะเล นั่นเป็นคืนหนึ่งที่ยะเยือกที่สุดในชีวิตผม แต่มันก็ทำให้เข้าใกล้สิ่งหนึ่งที่น่าประหลาด นั่นคือมนุษยชาติ ? กล้าไหม ที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือผู้ยากไร้ 15 มีนาคม 1952 เหมืองชูคิกามาตา, ชิลี เผชิญหน้ากับบททดสอบทางจิตใจ เมื่อออกจากชูคิกามาตา พวกเรารู้สึกว่าโลกกำลังเปลี่ยนไป หรืออาจเป็นตัวเราเองที่เปลี่ยนไป ยิ่งเราเดินทางลึกเข้าไปในเทือกเขาแอนดิส มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้พบกับชาวท้องถิ่นที่ไร้บ้าน ในแผ่นดินของตัวเอง มากเท่านั้น ? กล้าไหม ที่จะยอมรับความจริง ความอยุติธรรมทั้งหลายแหล่ 5 เมษายน 1952 มาชูพีคชู, เปรู เมื่อการล่มสลายของบางเผ่าพันธุ์มาเยือน อินคามีความรู้เรื่องดาราศาสตร์ การผ่าตัดสมอง คณิตศาสตร์ และอื่นๆอีกมากมาย ขณะที่พวกบุกรุกชาวสเปนมีแค่ดินปืน อเมริกาวันนี้จะเป็นอย่างไรนะ ถ้าสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น? เป็นไปได้มั้ย ที่ผมจะรู้สึกโหยหาโลกที่ผมไม่เคยรู้จักมาก่อน ? กล้าไหม ที่จะเรียนรู้และเข้าใจ ทั้งผู้รุกรานและผู้พ่ายแพ้ 8 มิถุนายน 1952 อาณานิคมโรคเรื้อนซัน ปาโบล, เปรู มิตรภาพขณะเป็นอาสาสมัครรักษาโรคเรื้อน พวกเราเชื่อ และการเดินทางครั้งนี้ก็ยืนยันความเชื่อนี้ ว่าการแบ่งแยกทวีปอเมริกาเป็นชาติต่างๆนั้น เป็นเรื่องเหลวไหล จากเม็กซิโกถึงช่องแคบแมคเจลแลน เราเป็นพวกเดียวที่เป็นลูกผสม เพราะฉะนั้น เพื่อปลดปล่อยตัวเราเองจากความใจแคบของการแบ่งแยก ผมขอดื่มให้กับเปรูและสหรัฐอเมริกา ?กล้าไหม ที่จะพยายามเท่าทันและรู้จักชีวิตให้มากขึ้น 26 กรกฎาคม 1952 การากัส, เวเนซุเอลา บทท้ายสุดของการเดินทางครั้งสำคัญของชีวิต การเดินทางรอบอเมริกาเปลี่ยนตัวผมไปมากกว่าที่คิด ผมไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปอย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เคยเป็น ?กล้าไหม ที่จะได้รู้จักคุณค่าของตัวเอง (อ้างอิงในทุกเครื่องหมายคำพูดจาก สตาร์พิค ฉบับ 646 มกราคม 2548) ทั้งหมดเป็นการบันทึกเรื่องราวครั้งสำคัญ ของนักศึกษาแพทย์ ผู้ที่ต่อมากลายเป็นตำนานนักปฎิวัติในคิวบาผู้ยิ่งใหญ่ นาม เช เกเวรา (คำว่า เช ในภาษาอาเจนตินา หมายถึง เพื่อน) ที่มีเรื่องราวการเมืองต่อเนื่องมากมาย แต่ในที่นี้มีประเด็นที่น่ากล่าวถึงมากกว่า คือ ถ้าไม่คำนึงถึงว่าต่อมาเขาไม่ได้เป็น somebody ล่ะ หรือเป็นเพียง nobody เด็กหนุ่มธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง แล้วอยู่ในประเทศไทยอีกด้วย ลองคิดดูเล่นๆว่า ถ้าชายหนุ่มคนหนึ่ง ไม่ยอมเรียนหนังสือหนังหาให้จบ แต่นำมอเตอร์ไซด์ 1 คันพร้อมเพื่อน 1 คน ขี่รถท่องเที่ยวตามแผนว่าจะเดินทางไปเรื่อยๆ รอบประเทศแถบเอเชียด้วยกัน อย่างมาเลเซีย กัมพูชา ลาว เวียดนาม จีน ฯลฯ ชนิดค่ำไหนนอนนั่น หรือถ้าให้ดีก็สมมุติให้เป็นช่วงเวลาเดียวกับของเชเลย ประมาณปีพ.ศ. 2495 บอกญาติพ่อแม่-พี่น้องว่าจะไปท่องเที่ยว เปิดโลกให้กว้างสัก 7-8 เดือน คิดว่าจะมีใครเข้าใจและสนับสนุนบ้างไหม? แบบบอกว่า ดีมากเลย ไปเลยสิ ผมว่าจะมีแต่คนบ่นว่า เป็นบ้ารึเปล่า...เนี่ย ไม่ยอมเรียนให้จบ เอาแต่เที่ยวเตร่ไปเรื่อยๆ ฉะนั้นคงไม่ต้องกล่าวถึงคำว่า กล้าไหม? ข้างต้น ว่าจะทำได้สักกี่ข้อ เพราะแค่กล้าแรกที่จะเริ่มต้น ก็ดูจะสาหัสสากรรณ์เสียแล้ว คงไม่ต้องกล่าวถึงความกล้าในข้ออื่นๆให้มากความ (แม้ในภาพยนตร์ความกล้าที่ดูจะโดนใจมากสุดคือ ตอนยอมผิดสัญญากับแฟนสาวโดยนำเงินที่ฝากไปซื้อของ ไปช่วยเหลือผู้ที่สิ้นไร้ไม้ตอกมากกว่าตนแทน ) หรือถ้ามีจริงๆกล้าไปได้ไกลถึงข้อไหนดีละ ลองเดาดู เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะโดยทั่วไปผู้คนส่วนใหญ่ มักมองในเหลี่ยมมุมด้านเดิมๆที่คิดเพียงว่า จะได้ประโยชน์โภชน์ผลอะไรกับการเดินทาง ที่ดูเลื่อนลอยไร้แก่นสารแบบที่ว่า เป็นการหายใจทิ้งไปวันๆรึเปล่า... (ในภาพยนตร์ก็มีคำถามจากสองสามีภรรยา ที่ต้องเดินทางไกลมาหางานทำในเหมืองแร่เพื่อเลี้ยงชีพ ย้อนถามกลับเชว่า คุณเดินทางเพื่ออะไร? ซึ่งเชตอบไปก็พบเพียงความไม่เข้าใจในดวงตาของผู้ถาม) แล้วทุกอย่างก็มีอันเปลี่ยนแปลงไป ตามกาลเวลา เมื่อโลกแคบเข้าความกล้าบ้าบิ่นมีมากขึ้น ความกล้าแบบเชเริ่มมีเป็นข่าวให้ได้ยินอยู่บ้าง เช่น การปั่นจักรยานรอบโลก ขับรถตุ๊กตุ๊กรอบโลก ฯลฯ มันเปรียบเสมือนความเป็นเช มีอยู่ในทุกผู้ทุกคน และพร้อมจะถูกนำออกมาใช้ ผมเคยได้ยินหลายคนในยุคปี 2000 เล่าให้ฟังว่า เวลาของชีวิต ควรหมดไปกับสามสิ่ง คือ การหาเงินเพื่อเลี้ยงชีพ การทำงานให้องค์กรการกุศล และการเดินทางท่องเที่ยว ข้อแรกนั้นเป็นปัจจัยพื้นฐานของทุกคนต้องมีอยู่แล้ว ข้อสองนั้นเป็นการให้คิดถึงผู้อื่น ซึ่งจะได้เห็นคุณค่าของเพื่อนร่วมโลก (เช่นเดียวกับที่เชได้พบขณะช่วยเหลือผู้ป่วยโรคเรื้อน) สำหรับข้อสุดท้ายการเดินทาง ถ้าเอาระดับยิ่งใหญ่เลยนั้นคงเคยได้ยินกันมาว่า ทุกๆมหาบุรุษ(เช่น ศาสดาในทุกศาสนา, เหมาเจ๋อตุง ตลอดจน จิตร ภูมิศักดิ์ ถึง เช กูเวรา) มักเริ่มต้นด้วยการเดินทาง แต่ถ้าระดับปฐมเบื้องต้นเลย ก็เป็น การเดินทางได้ช่วยเติมเต็มให้ชีวิตด้านหนึ่ง อย่างเช่น การแบกเป้เดินทางไกลในป่า ถือเป็นการปฎิบัติสมาธิและฝึกสติอันดีเยี่ยม และแน่นอนว่า ชีวิตมนุษย์เรามีหลายด้าน เพราะแค่ลูกเต๋าธรรมดายังมีตั้ง 6 ด้านแล้ว เราคงไม่มั่วตกอยู่แต่ในกรอบวังวนด้านเดิมๆของชีวิตไปตลอดชีพ โดยไม่ยอมกล้าจะกระโจนออกนอกกระลา นอกกรอบ เพื่อค้นหาด้านอื่นๆของชีวิตบ้าง เพราะเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ คือ การได้พบคุณค่าที่แท้จริงของตัวเอง ถึงตอนนี้ความกล้าอย่าง เช...ในตัวคุณ พอจะสะดุ้งตื่นบ้างรึยัง.. ขอขอบตุณที่มาของเรื่องราวดีๆนี้ โดยผู้เขียน นามปากกา : STILLWATER |
บทความทั้งหมด
|