ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 10 ![]() ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 10 จากตอนที่แล้ว พระราชบิดาราชมารดาทรงให้ทดลองด้วยสิ่งปฏิกูล โดยปล่อยให้พระราชกุมารทรงถ่ายหนักถ่ายเบาอยู่ในที่บรรทม กระทั่งฝูงแมลงวันรุมไต่ตอมพระองค์ จนแทบจะมองไม่เห็นพระกาย ถึงกระนั้นก็หาได้หวั่นไหวไม่ ทรงวางอารมณ์เป็นกลาง แม้พระราชมารดาจะตรัสวิงวอนสักเพียงใด ก็บรรทมนิ่งเหมือนไม่ได้ทรงสดับพระวาจานั้น ทรงอดกลั้นความโศกาอาดูรนั้นเสีย ในปีต่อมา ก็ทรงให้ทดลองพระราชกุมารด้วยถ่านเพลิง ด้วยการวางกระเบื้องเต็มด้วยไฟไว้ใต้พระแท่นที่บรรทม พระราชกุมารแม้จะถูกไฟสุมอยู่เบื้องล่าง จนร้อนไปทั่วพระสรีระ ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส แต่ก็มิได้ขยับพระหัตถ์หรือพระบาทเลย การทดลองครั้งหลังนี้ ทำให้พระราชกุมารทรงได้รับทุกขเวทนาหนักมากกว่าครั้งก่อนอีกหลายเท่า แม้พระราชบิดาพระราชมารดาก็ทุกข์ไม่น้อยไปกว่าพระโอรส ทรงทุกข์ร้อนแทนพระราชกุมารจนพระหฤทัยแทบจะแตกสลาย จึงแหวกฝูงชนเข้าไปอุ้มพระโพธิสัตว์ออกมาจากความร้อนของกองเพลิงนั้น เหล่าอำมาตย์ได้เพียรทดลองพระโพธิสัตว์ทุกวิถีทาง แม้เวลาจะผ่านไปถึง 15 ปี แต่ก็มิได้บังเกิดผลใดๆ เลย จึงได้ปรึกษากันว่า บัดนี้ พระราชกุมารของเราทรงเจริญวัยเป็นหนุ่ม มีพระชนมายุได้ 16 ชันษาแล้ว ไฉนเลยจะไม่ยินดีในสาวงาม เราจะทดลองพระราชกุมารด้วยเหล่านางสนมนักฟ้อน เชื่อว่าจะต้องได้ผลแน่ จึงพากันขึ้นกราบบังคมทูลพระเจ้ากาสิกราชให้ทรงทราบ พระราชาครั้นได้ทรงทราบแล้ว ก็ทรงดีพระหฤทัยเกิดความหวังขึ้นมาอีก จึงทรงรับสั่งให้ทดลองตามนั้น โดยตรัสว่า หากหญิงคนใดสามารถผูกพันพระราชกุมารไว้ด้วยอำนาจแห่งตัณหาได้ เราจะอภิเษกให้เป็นอัครมเหสีของพระราชกุมารในทันที จากนั้น จึงปล่อยให้เหล่าหญิงนักฟ้อนผู้เลอโฉมเฝ้าถวายการปรนนิบัติ ให้ทรงอภิรมย์เพลิดเพลิน ![]() แต่สำหรับพระโพธิสัตว์ผู้เปี่ยมล้นด้วยพระปัญญาธิคุณแล้ว ทรงพิจารณาเห็นหญิงเหล่านั้นเป็นเพียงอัตภาพที่รวมกันเข้าไว้อย่างวิจิตร ประสานขึ้นด้วยกระดูก ฉาบทาด้วยเนื้อและเลือด ร้อยรัดด้วยเส้นเอ็น มีหนังเป็นเครื่องห่อหุ้ม แพรวพราวด้วยอาภรณ์เครื่องประดับอันอลังการ แม้จะเป็นที่บันเทิงใจและใฝ่หาของผู้คนเป็นอันมาก แต่ย่อมไม่เป็นที่ต้องการของผู้แสวงหาฝั่งคือนิพพานเฉกเช่นพระองค์ เสมือนบ่วงที่พรานเนื้อวางกับดักล่อไว้ แต่พรานเนื้อนั่นเองที่ต้องคร่ำครวญเสียใจ เพราะเมื่อเนื้อเห็นบ่วงแล้ว ก็ผละหนี เนื่องจากไม่ปรารถนาที่จะติดบ่วงนั้น ครั้นทรงดำริเช่นนี้แล้ว พระกุมารจึงทรงตั้งสัจจาธิษฐานในพระหฤทัยว่า หากข้าพเจ้าจักได้ถึงฝั่งแห่งพระนิพพานในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า ขออานุภาพแห่งบุญบารมีที่ข้าพเจ้าสั่งสมมาดีแล้วนับภพชาตินับชาติมิถ้วน จงบันดาลให้หญิงเหล่านี้ อย่าได้แตะต้องสรีระของข้าพเจ้าเลย อธิษฐานดังนี้แล้ว ก็ทรงกลั้นลมหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นพระสรีระของพระโพธิสัตว์ก็กลับแข็งกระด้างขึ้นดุจท่อนไม้ หญิงเหล่านั้นเห็นพระสรีระของพระโพธิสัตว์แข็งกระด้าง ก็เกิดความหวาดกลัว ไม่กล้าที่จะแตะต้องพระสรีระของพระองค์ ทั้งสะดุ้งหวาดผวา พากันคิดว่า พระราชกุมารนี้ มีสรีระแข็งกระด้างต่างจากคนทั่วไป เห็นทีพระองค์คงจะเป็นยักษ์จำแลงมาเป็นแน่ ว่าแล้วก็พากันวิ่งหนีพระราชกุมารไป ด้วยความตื่นตระหนกและขลาดกลัว แม้อำมาตย์จะทดลองด้วยหญิงนักฟ้อน โดยให้สลับสับเปลี่ยนกันมาปรนนิบัติพระโพธิสัตว์เช่นนี้ ตลอดกาลยาวนานถึงหนึ่งปีเต็ม แต่พระโพธิสัตว์ก็มิได้ทรงหวั่นไหวเลย กลับทรงนิ่งเฉยดังเดิม เหล่าอำมาตย์จึงต่างพากันหวั่นวิตก ด้วยจนปัญญา เพราะยังไม่อาจหาวิธีอื่นใดที่จะทดลองพระกุมารให้ยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว เมื่อพระเจ้ากาสิกราชทรงโปรดเกล้าให้ทดลองด้วยวิธีต่างๆมากมายหลากหลายวิธี จนบัดนี้พระกุมารทรงเจริญวัยได้ 16 พระชันษาแล้ว แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จได้เลย จึงทรงโทมนัสด้วยอับจนพระหฤทัยเป็นยิ่งนัก แต่มิรู้จะทำประการใด ได้แต่ทรงนึกสิ้นหวังรำพรรณอยู่เพียงพระองค์เดียวว่า ตัวเราช่างมีกรรมแท้ ครั้นพอจะมีรัชทายาทกับเขาบ้าง ก็มากลายเป็นคนง่อยเปลี้ยไปเสียอีก เห็นทีว่าราชวงศ์ของเรา คงจะถึงคราวดับสูญเป็นแน่ ครั้นพระองค์ทรงดำริเช่นนั้นแล้ว ก็ให้ทรงร้าวรานในพระหทัย และยิ่งทรงดำริถึงคำทำนายของพราหมณ์โหราจารย์ว่า พระกุมารของพระองค์จะได้ครองความเป็นใหญ่เหนือทวีปทั้งสี่ ก็ให้ทรงขัดเคืองพระหฤทัยยิ่งขึ้นไปอีก จึงทรงรับสั่งให้เรียกตัวพราหมณ์ปุโรหิตเหล่านั้นมาเข้าเฝ้าโดยเร็ว แล้วพระองค์ก็ตรัสถามด้วยพระอาการพิโรธว่า เฮ้ย พวกโหราตัวดี เหตุใดเตมิยกุมาร ลูกเรา จึงมิได้เป็นไปตามคำทำนายของท่านเล่า พวกท่านพากันพยากรณ์ว่า ลูกเราจะได้ครองเป็นความใหญ่ในทวีปทั้งสี่...แต่บัดนี้ อย่าว่าแต่ลูกเราจะสามารถปกครองทวีปทั้งสี่เลย แม้จะครองตนให้รอดปลอดภัย ก็ยังไม่อาจจะทำได้ เราขอถามพวกท่านตรงๆ สักทีเถิด ว่าครั้งนั้น พวกท่านทำนายส่งเดชไปกระนั้นหรือ จงรับสารภาพมาโดยดี อย่าได้ชักช้า ฝ่ายโหราจารย์เหล่านั้น เมื่อทราบว่าพระราชาทรงกริ้วพวกตน ก็พากันตัวสั่นงันงกด้วยเกรงกลัวต่อพระราชอาชญา หัวหน้าโหราจารย์ไม่รอช้า รีบกราบบังคมทูลพระราชาไปว่า ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า พวกข้าพระบาทได้กราบทูลว่าพระราชกุมารจะได้เป็นใหญ่ในภายภาคหน้า เช่นนั้นจริงๆ พระเจ้าข้า พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น ก็ทรงพระพิโรธหนัก ที่โหราจารย์ตอบไม่ตรงคำถาม จึงตรัสสำทับอีกว่า ท่านอาจารย์ ท่านตอบคำถามไม่เข้าท่าเอาเสียเลย เสียแรงที่เราเคารพนับถือและไว้เนื้อเชื่อใจ เราถามท่านว่า เหตุใดลูกของเราจึงไม่เป็นไปตามคำทำนายของท่าน มิใช่ถามว่าท่านทำนายไว้อย่างไร เพราะเรื่องนั้นใครๆก็ย่อมจำได้ แต่คำถามที่เราต้องการรู้นี่สิ ท่านจะว่าอย่างไร ![]() เหล่าโหราจารย์ได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ต่างนิ่งอึ้งไปตามๆกัน ไม่รู้ว่าจะกราบทูลพระราชาอย่างไรดี เพราะอันที่จริงแล้ว ที่พวกตนได้ถวายคำพยากรณ์แด่พระราชาไปในครั้งนั้น ก็เป็นไปตามตำรับตำราที่พวกตนได้ร่ำเรียนมาโดยแท้ มิได้ประสงค์ที่จะเอาใจพระราชา หรือเพราะปรารถนาลาภสักการะเลยแม้แต่น้อย แต่เหตุไฉนจึงมาผิดไปจากตำราอย่างไม่น่าเชื่อ เรื่องนี้ก็สุดวิสัยที่พวกตนจะรู้ได้ ในที่สุด โหราจารย์คนหนึ่ง ผู้มีปฏิภาณว่องไว จึงได้กราบทูลพระราชา โดยที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน ว่า ขอเดชะ พระอาญามิพ้นเกล้า ขึ้นชื่อว่าบุพนิมิตทั้งปวงที่พวกข้าพระบาทไม่รู้ไม่เห็นนั้น ย่อมไม่มีเลย...พวกข้าพระบาทย่อมรู้เห็นเป็นจริงทุกประการ แม้แต่เรื่องที่พยากรณ์ถวายพระองค์ในครั้งนั้น ความจริงพวกข้าพระบาททราบแต่ต้นแล้วว่า พระราชกุมารนี้เป็นกาลกิณี.. โหราจารย์เห็นพระราชาอยู่ในอาการตกพระทัย จึงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จึงได้ตัดสินใจกราบทูลพระราชาต่อไปว่า ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า พระราชกุมารนี้เป็นผู้ที่พระองค์และพระมเหสีทรงปรารถนายิ่งนัก...ครั้นสมปรารถนาแล้ว การที่ข้าพระบาทจะทำนายไปตามจริงว่า พระราชกุมารนี้เป็นกาลกิณี ก็เกรงยิ่งนักว่า พระองค์จะทรงโทมนัส ด้วยเหตุนี้พวกข้าพระบาทจึงมิได้กราบทูลข้อเสียหายให้ทรงทราบ จะควรมิควรประการใด แล้วแต่พระองค์จะทรงโปรดเถิด พระเจ้าข้า เมื่อโหราจารย์ท่านนั้นได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า พอเอาตัวรอดไปได้อย่างน้ำขุ่นๆ ก็สังเกตดูอาการของพระราชาว่าจะทรงมีท่าทีอย่างไร ฝ่ายพระราชาทรงสดับคำทูลนั้นแล้ว เมื่อทรงตรองดูก็เห็นว่ามีเหตุผลอยู่ พระองค์จึงทรงคล้อยตามคำของโหราจารย์นั้น จึงตรัสถามว่า เมื่อลูกเราเป็นกาลกิณีเช่นนี้ แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไปเล่า จงพูดต่อไปเถิดท่านอาจารย์ ธรรมดาว่าคนที่มีปกติพูดเท็จ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม มักจะอ้างว่าเป็นเพราะความจำเป็นบีบบังคับจึงต้องพูดเช่นนั้นเพื่อเอาตัวรอด โดยมิได้คำนึงถึงความเดือดร้อน และจิตใจของผู้อื่นเลยว่าจะเป็นอย่างไร ![]() โหราจารย์ท่านนี้ก็เช่นกัน ครั้นเห็นว่าการทูลตอบนอกตำรา กลับได้ผลอย่างไม่น่าเชื่อ ก็เลยยกเมฆทูลแนะนำเรื่องชั่วร้ายแบบส่งเดชต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระยศยิ่งฟ้า ถ้าพระองค์ยังทรงเลี้ยงพระกุมารผู้เป็นกาลกิณีไว้ภายใต้ร่มเศวตฉัตรต่อไป ไม่ช้าแผ่นดินนี้ก็จะเกิดอาเพศ...อันตรายอย่างใหญ่หลวงจะบังเกิดขึ้นกับพระชนม์ชีพของพระองค์เอง พระราชบัลลังก์ของพระองค์ก็จะล่มสลาย และแม้แต่พระชนม์ชีพของพระอัครมเหสีก็จะสิ้นไป พระเจ้าข้า และข้าพระบาทจำต้องขอพระราชทานโอกาส กราบทูลแด่พระองค์อีกว่า อาเพศทั้ง 3 ประการนี้ จะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ฉะนั้น หากพระองค์ยังทรงลังเลพระหฤทัย ไม่ทรงรีบกำจัดพระราชกุมารเสียโดยเร็ว ก็จะไม่ทันการณ์ พระเจ้าข้า พระเจ้ากาสิกราชทรงสดับถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น โดยมีพระราชกุมารเป็นเหตุแล้ว ก็ทรงเชื่อสนิทว่าจะต้องเป็นไปตามคำของโหราจารย์ทุกอย่าง แต่จะทรงตัดสินพระทัยรับสั่งให้กำจัดพระโพธิสัตว์โดยพลันก็คงไม่ได้ เพราะยังมีพระนางเจ้าจันทาเทวีผู้เป็นพระมารดา ซึ่งมีสิทธิ์ในพระราชโอรสเสมอกันอยู่อีกพระองค์หนึ่ง ดังนั้น พระเจ้ากาสิกราชจะทรงตัดสินพระทัยอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) |
บทความทั้งหมด
|