ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์ ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 18



ทศชาติชาดก เรื่อง พระเตมีย์
ผู้ยิ่งด้วยเนกขัมมบารมี ตอนที่ 18



จากตอนที่แล้ว พระเตมิยราชกุมารได้ทรงสดับคำกราบทูลขอให้เสด็จกลับพระนครจากสุนันทสารถีแล้ว ก็ไม่ได้ทรงยินดีด้วย เพราะมุ่งจะทรงผนวชเพียงอย่างเดียว จึงตรัสว่า “เราเป็นคนไม่มีเหย้าเรือน พระชนนีสละเราแล้ว พระชนกก็สละเราจริงๆ เราจะบวชอยู่คนเดียวในป่า ไม่ปรารถนากามคุณทั้งหลาย”

สุนันทสารถีได้ฟังพระดำรัสของพระราชกุมารแล้ว ก็มองไม่เห็นคุณค่าของการบวชว่าจะมีประโยชน์อะไร มองเห็นแต่ประโยชน์ที่เกิดแก่ประเทศชาติแบบโลกๆ ว่าถ้าหากพระราชกุมารกลับไปครองราชย์ ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรือง จึงกราบทูลให้พระราชกุมารกลับพระนครสืบไป

พระเตมิยราชกุมารทรงเห็นว่าสารถียังไม่เข้าใจ ในมโนปณิธานของพระองค์ว่าเป็นเช่นไร จึงได้ตรัสอธิบายว่า ที่เราต้องแสร้งทำเป็นง่อยเปลี้ยพิกลพิการตลอดมา เพราะเหตุที่เราระลึกชาติหนหลังได้ว่า ในปางก่อนเราเคยเป็นกษัตริย์ในพระนครนี้ ผลสุดท้ายกลับต้องไปตกนรกทุรนทุรายอยู่ถึงแปดหมื่นปี ดังนั้น เราจึงไม่ต้องการที่จะหวนคืนสู่พระนครอีก แต่จะขอบวชบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าแห่งนี้

เมื่อทรงเห็นว่าสารถียังไม่เข้าใจ จึงทรงอธิบายต่ออีกว่า ครั้งเรายังเป็นทารก พระชนกอุ้มเราให้นั่งบนตัก แล้วตรัสสั่งให้ฆ่าโจรทั้ง 4 คนด้วยเครื่องประหารต่างๆ กัน เราได้ฟังรับสั่งอันร้ายกาจนั้นแล้วก็สะดุ้งกลัว ไม่ต้องการเสวยราชสมบัตินั้นอีก สุนันทสารถีเอย ชีวิตนี้เป็นของน้อย มีความปลื้มใจเพียงนิดหน่อย เราจะอาศัยชีวิตอันนิดหน่อยนี้ก่อเวรใหม่เพิ่มขึ้น แล้วต้องไปตกสู่อบายทุกข์ทรมานตลอดกาลยาวนานทำไมเล่า



สุนันทสารถีเมื่อได้ฟังเหตุผลอย่างชัดเจนก็เข้าใจ เกิดความเลื่อมใสว่า แม้พระราชกุมารผู้เป็นรัชทายาทยังมีพระประสงค์จะทรงผนวช แล้วตัวเราจะอยู่ครองเรือนไปทำไม จึงกราบทูลว่า ขอพระองค์ทรงเป็นที่พึ่งของข้าพระบาทด้วยเถิด ขอพระองค์โปรดประทานอนุญาตให้ข้าพระบาทได้บวชตามพระองค์ด้วยเถิด

พระโพธิสัตว์ทรงสดับดังนั้นก็มีพระหฤทัยยินดี แต่ก็ทรงมีพระดำริว่า “หากเรายินยอมให้เขาบวชเสียแต่บัดนี้ ผู้คนทั้งหลายก็จะคิดว่า พระเตมิยราชกุมารได้หายสาบสูญไปพร้อมกับสุนันทสารถี เห็นทีว่าพระองค์คงจะถูกยักษ์จับกินเสียแล้วเป็นแน่


หากไม่มีผู้ใดกราบทูลให้พระชนกและพระชนนีทรงทราบความเป็นไปของเรา ทั้งสองพระองค์ก็คงจะไม่สร่างจากความเศร้าโศก การบวชของเราในครั้งนี้ก็จะไม่เกิดประโยชน์อันยิ่งใหญ่ เราควรที่จะบอกข่าวการบวชของเราแด่พระชนกพระชนนี พระพี่เลี้ยงนางนม และกุมารทั้ง 500 ผู้เป็นสหายของเราให้ได้ทราบ


เมื่อพระประยูรญาติของเราได้ทรงทราบแล้ว ก็จะทรงโสมนัสรีบเสด็จมา การที่เราจะแสดงธรรมโปรดพระชนกและพระชนนีให้ทรงพระเจริญในกุศลธรรมก็จะสะดวก การบวชของเราก็จะมีคุณค่ายิ่งใหญ่ไพศาล

ดำริเช่นนี้แล้ว จึงทรงยับยั้งเขาไว้ก่อน ด้วยพระดำรัสว่า “สุนันทสารถี บัดนี้เธอยังไม่สมควรบวชอยู่กับเรา เพราะเธอยังเป็นหนี้หลวงอยู่ ฉะนั้นเธอจงนำราชรถกลับไปคืนเสียก่อน เธอควรที่จะกราบทูลพระราชบิดาและพระราชมารดาของเราให้ทรงทราบความจริงเสียก่อน

เมื่อเปลื้องความเป็นหนี้นั้น และกราบทูลให้พระประยูรญาติของเราทรงทราบความจริงแล้ว หากเธอยังมีความศรัทธาที่จะออกบวชตามเรา จึงค่อยกลับมาบวช เพราะคนผู้ไม่มีหนี้จึงจะบวชได้ การบวชโดยความเป็นไทอย่างนี้คนทั้งหลายก็จะไม่นินทา แม้ท่านผู้แสวงหาคุณธรรมทั้งหลายก็สรรเสริญ”

สุนันทสารถีฟังพระดำรัสแล้ว ก็ยังมีความหวั่นวิตกอยู่ว่า “หากพระเจ้ากาสิกราชและพระราชมารดาทรงทราบความจริงแล้ว พระองค์จะต้องเสด็จมาพบพระราชกุมารอย่างแน่นอน ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของเราในการนำเสด็จโดยไม่ต้องสงสัย

อีกประการหนึ่ง หากพระองค์ได้ทรงพบพระราชกุมารตามพระประสงค์ ก็จะเป็นความดีความชอบของเรา แต่หากว่าพระองค์เสด็จมาแล้ว แต่กลับไม่ทรงพบพระราชกุมาร พระองค์ก็คงจะต้องลงพระราชทัณฑ์แก่เราเป็นแน่ เราควรจะต้องทูลขอปฏิญญาจากพระราชกุมาร เพื่อมิให้พระองค์เสด็จไปที่อื่นเสียก่อน”




คิดดังนี้แล้วจึงกราบทูลว่า “ข้าแต่พระราชกุมาร ขอพระองค์ทรงโปรดกระทำตามคำวิงวอนของข้าพระบาทด้วยเถิด ข้าพระบาทยินดีที่จะกระทำตามพระบัญชา หากแต่ว่าพระองค์จะต้องทรงประทับอยู่ ณ ที่นี้ไปจนกว่าข้าพระบาทจะนำเสด็จพระราชบิดาและพระราชมารดามาถึง เพียงเท่านี้ ก็จะเป็นพระมหากรุณาธิคุณแก่ข้าพระองค์อย่างสูงสุดแล้ว พระเจ้าข้า”

พระโพธิสัตว์ตรัสรับรองว่า “ได้สิ สุนันทสารถี เราจะทำตามคำที่เธอขอ แม้ตัวเราเองก็ปรารถนาจะเห็นพระชนกพระชนนีเสด็จมาในที่นี้เช่นกัน ขอให้เธอรีบกลับไปเถิด แล้วจงแจ้งข่าวนี้ให้แก่พระประยูรญาติของเราให้ทรงทราบว่า เรายังมีชีวิตอยู่ อีกทั้งยังเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์ดีทุกอย่าง แล้วอย่าลืมกราบบังคมทูลพระชนกชนนีแทนเราด้วยว่า เราขอถวายบังคมพระบาทของทั้งสองพระองค์”

ตรัสดังนี้แล้ว ก็ทรงบ่ายพระพักตร์ไปสู่ทิศอันเป็นที่ตั้งของพระนครพาราณสี น้อมพระกายลงถวายบังคมพระชนกและพระชนนีด้วยเบญจางคประดิษฐ์อย่างนอบน้อม

ฝ่ายสุนันทสารถีน้อมรับพระดำรัสนั้นด้วยความปลื้มใจ กระทำประทักษิณพระกุมารแล้วจึงถวายบังคมตรงพระยุคลบาทของพระองค์อีกครั้ง จากนั้นจึงขึ้นสู่ราชรถ แล้วขับเข้าสู่พระนครพาราณสีโดยเร็ว





ฝ่ายพระนางเจ้าจันทาเทวี นับแต่ถูกพรากพระราชกุมารไปจากอ้อมอก พระนางก็เอาแต่กันแสงร่ำไห้ด้วยพระหฤทัยหมองเศร้า พระนางเจ้าทรงตรอมพระหฤทัย จนแทบจะไม่เสวยพระกระยาหารเลย กระทั่งพระกายเริ่มซูบซีด และนอกจากนี้ พระนางยังไม่ยอมตรัสสิ่งใดกับพระเจ้ากาสิกราชเลย จนท้าวเธอไม่ทรงสบายพระหฤทัยเป็นอย่างมาก

ตลอดวันที่ผ่านมา พระนางไม่เสด็จไปในที่ใดเลย นอกเสียจากประทับนั่งอยู่ตรงช่องพระแกลที่เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลา สายพระเนตรจับจ้องดูหนทาง ณ เบื้องล่าง คอยทอดพระเนตรการกลับมาของสุนันทสารถี ด้วยมีพระประสงค์ที่จะทราบข่าวของพระราชกุมารก่อนผู้ใด

แต่แล้วเมื่อสุนันทสารถีกลับมาถึงพระนครพร้อมด้วยราชรถที่ว่างเปล่า พระนางทรงทอดพระเนตรเห็นการกลับมาของเขาเพียงลำพังผู้เดียว ก็ยิ่งทรงกันแสง น้ำพระเนตรไหลนองพระพักตร์ รำพันด้วยความโศกเศร้าว่า

“นั่นนายสารถีมาถึงแล้ว ลูกรักของแม่ ป่านฉะนี้ เจ้าคงจะถูกเขาฝังทั้งเป็นเสียแล้วกระมัง โถ! เตมิยกุมารผู้เป็นศรีสง่าของแผ่นดิน บัดนี้ พวกศัตรูหมู่พาลต่างแคว้น เขาคงจะพากันหยามหยันเจ้าเป็นแน่”

ครั้นนายสุนันทสารถีก้าวลงจากราชรถได้เท่านั้น พระนางก็มิได้ทรงรีรอ รับสั่งให้สุนันทสารถีเข้าเฝ้าทั้งๆ ที่พระนางก็ยังทรงกันแสงอยู่

พระนางรีบตรัสซักถามด้วยพระหฤทัยที่เศร้าสร้อยว่า “ลูกเราเป็นใบ้หรือเปล่า เป็นง่อยหรือเปล่า เวลาเจ้าฝังลูกของเรา ลูกเราได้ร้องบ้างหรือเปล่า บอกเราสิ บอกมาเถิด สุนันทะ ขณะที่ท่านฝังลูกเราน่ะ ลูกเราขยับเขยื้อนมือเท้าบ้างหรือเปล่า บอกเราเถิด เราอยากจะรู้เหลือเกิน”




สุนันทสารถีได้ฟังพระดำรัสนั้นแล้ว ก็สุดแสนจะสงสารพระนาง รีบกราบทูลว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า ข้าพระบาทกำลังจะกราบทูล พระเจ้าข้า ขอได้ทรงโปรดพระกรุณา โปรดประทานอภัยแก่ข้าพระบาทด้วยเถิด ข้อที่ข้าพระบาทได้ฟังหรือได้เห็นมาเช่นไร ข้าพระบาทขอกราบทูลแด่พระแม่เจ้าตามความเป็นจริงทุกประการ พระเจ้าข้า”

พระนางเจ้าจันทาเทวีตรัสว่า “สุนันทะ เราให้อภัย เธอไม่ต้องกลัว ขอเธอจงพูดตามความเป็นจริงเถิด”

สุนันทสารถีจึงได้กราบทูลเรื่องราวทั้งหมดให้ทรงทราบว่า “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า ไม่น่าเชื่อเลย พระเจ้าข้า ว่าพระราชกุมารผู้ไม่ทรงขยับเขยื้อนพระกายมานานถึงสิบห้าปี แต่ทว่า บัดนี้พระองค์กลับมีพระกำลังเดินเหินอย่างแคล่วคล่อง ทรงมีพระอวัยวะสมบูรณ์ทุกส่วน พระรูปโฉมก็งามสง่า ทั้งพระดำรัสที่ตรัสก็ช่างไพเราะ น่าฟังยิ่งนัก พระเจ้าข้า”

“เธอว่าอย่างไรนะ นายสารถี” ท้าวเธอทรงไต่ถามด้วยความตื่นเต้นระคนความสงสัย ว่าที่นายสารถีกราบทูลนั้นจะเป็นความจริงไปได้อย่างไร เพราะตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ก็ทรงทดลองพระราชกุมารอย่างอุกฤษฏ์มาตลอด ก็ไม่เคยได้ทรงเห็นเธอเคลื่อนไหวพระหัตถ์และพระบาทเลย ยังทรงสงสัยอยู่ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร จึงตรัสถามย้ำเช่นนั้น ส่วนนายสารถีจะกราบทูลอธิบายต่ออีกอย่างไร โปรดติดตามตอนต่อไป

โดย : พระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย)



Create Date : 23 พฤศจิกายน 2550
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2550 17:57:00 น.
Counter : 887 Pageviews.

0 comments
เติมให้ความมี เติมให้ความไม่มี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 20:54:29 น.)
: หยดน้ำในมหาสมุทร 36 : กะว่าก๋า
(14 เม.ย. 2567 06:17:30 น.)
อยาก อยากได้ กฎที่ถูกที่ดี ปัญญา Dh
(14 เม.ย. 2567 05:37:27 น.)
สมบัติรูป สมบัตินามที่ถูกรูป ปัญญา Dh
(10 เม.ย. 2567 18:24:46 น.)
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Desertcity.BlogGang.com

เมืองทะเลทราย
Location :
Dubai   United Arab Emirates

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด