ทนายอ้วนชวนเที่ยว ... เวลาเดินช้าที่ .. น่าน - วัดต้นแหลง อ.ปัว จ.น่าน สถานที่ท่องเที่ยวแห่งถัดไปที่จะพาไปเที่ยวใน อ.ปัว จ.น่าน เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองปัวมานานกว่า 700 ปีแล้วครับ จะเป็นที่ไหน สำคัญอย่างไร โปรดติดตามได้ครับ วัดพระธาตุเบ็งสกัด อ.ปัว จ.น่าน วัดพระธาตุเบ็งสกัด ตั้งอยู่บ้านแก้ม หมู่ที่ 5 ตำบลปัว อำเภอปัว จังหวัดน่าน การเดินทางมาที่วัดพระธาตุเบ็งสกัด เมื่อเดินทางมาถึง อ.ปัว ผ่านธนาคารกสิกรไทย กลับรถตรงเกาะกลางเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทาง 1256 ทางเข้าตรงข้าม โรงเรียนวรนครเข้าไป ประมาณ 200 เมตร และแยกซ้ายอีก 200 เมตร อำเภอปัว จังหวัดน่าน เป็นอำเภอเล็ก ๆ ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขา เป็นดินแดนที่ประวัติศาสตร์ของเมืองน่านได้ถือกำเนิดขึ้น เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1825 (ปลายพุทธศตวรรษที่ 18 - พ.ศ. 1192 ) มีคนไตกลุ่มหนึ่ง (ในวิกิพีเดียใช้คำส่า “ไทย” แต่เจ้าของบล็อกคิดว่าไม่น่าใช้คำว่า “ไทย” เพราะจะสื่อความหมายผิดให้เข้าใจว่าเป็นคนในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แต่คำว่า “ไต” ที่เจ้าของบล็อกใช้หมายถึงกลุ่มคนที่ใช้ภาษาในตระกูล “ไต” แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มไหน) ภายใต้การนำของพระยาภูคา ได้ครอบครองพื้นที่ราบตอนบนของจังหวัดน่าน ตั้งศูนย์การปกครองอยู่ที่เมืองย่าง (เชื่อกันว่าอยู่บริเวณริมฝั่งด้านใต้ของแม่น้ำย่างใกล้เทือกเขาดอยภูคา ในเขตบ้านเสี้ยว ตำบลยม อำเภอท่าวังผา) เนื่องจากพบร่องรอยชุมชนในสภาพที่เป็นคูน้ำคันดิน กำแพงเมืองซ้อนกันอยู่ ต่อมาพระยาภูคาได้ขยายอาณาเขตของตนออกไป โดยส่งบุตรบุญธรรมสองคนไปสร้างเมืองใหม่ ทางตะวันออกบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ให้ขุนนุ่นผู้พี่ไปสร้างเมืองจันทบุรี (หลวงพระบาง) ให้ขุนฟองผู้น้องไปสร้างเมืองวรนคร หรือเมืองปัว หรือ “วรนคร” แล้วตั้งขุนฟองให้เป็นเจ้าเมืองปัว ก่อนที่พญาภูคาจะย้ายเมืองลงมาสร้างเมืองบริเวณที่ตั้งของพระธาตุแช่แห้ง ใช้ชื่อว่า “เวียงภูเพียงแช่แห้ง” จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นเมือง “นันทบุรีศรีน่าน” ตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระธาตุบ็งสกัดซึ่งปรากฏในสมุดข่อย กล่าวว่า … “เมื่อครั้งที่พญาภูคาต้องการจะสร้างเมืองขึ้นใหม่ให้แก่บุตรบุญธรรม จึงได้ให้ผู้คนไปหาชัยภูมิสร้างเมืองใหม่ จนกระทั่งได้ที่บริเวณแห่งหนึ่งซึ่งเป็นที่พอพระทัย แล้วสร้างเมืองขึ้นใหม่ ตั้งให้ขุนฟองเป็นผู้ครองเมือง ขนานนามว่า “เมืองวรนคร” พญาภูคาทรงมีความเลื่อมใสในพุทธศาสนา ประสงค์จะสร้างเจดีย์ไว้ใกล้กับเมืองใหม่ จึงได้ให้ผู้คนไปหาบริเวณที่เหมาะสมเพื่อสร้างเจดีย์ จึงพบบริเวณที่ดินเป็นลานกว้างมีบ่อน้ำอยู่ตรงกลางพญาภูคาได้เสด็จไปดูและนำไม้รวกแหย่ลงไปในบ่อนั้น ปรากฏว่าไม้ที่แหย่ลงไปขาดเป็นท่อน ๆ เมื่อเห็นอัศจรรย์จึงรับสั่งให้สร้างพระเจดีย์ครอบบ่อน้ำ พร้อมกับสร้างวิหารหลังหนึ่งอยู่ในแนวเดียวกับองค์เจดีย์ เมื่อสร้างเจดีย์แล้วเสร็จในปี พ.ศ.1826 จึงไดเชิญนายญาณะ อุปสมบทเป็นเจ้าอาวาส ทำพิธีฉลองพร้อมเมืองใหม่ ในตอนกลางคืนของงานฉลองนั้นได้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้น ปรากฏแสงไฟเรืองรองพุ่งออกมาจากยอดพระธาตุ เมื่อเห็นดังนั้น พญาภูคาจึงได้ตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่า “วัดพระธาตุเบ็งสกัด” หลังจากนั้นมาสมัยขุนฟองครองเมืองวรนคร ท่านก็ได้บำนุบำรุงวัดพระธาตุเบ็งสกัดจนสิ้นรัชสมัย” เราเดินไปชมพระวิหารกันก่อนนะครับ จากการหาข้อมูลหลายที่กล่าวว่าพระวิหารเดิมเป็นสถาปัตยกรรมไทยลื้อ พระวิหารหลังแรกสร้างเสร็จพร้อมองค์พระธาตุ ในพ.ศ. 1826 หรือเมื่อกว่า 700 ปีก่อน ภายหลังได้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบหลายครั้งจนเป็นรูปแบบที่เห็นในปัจจุบัน พระวิหารซึ่งสร้างอยู่ต่อกับองค์พระธาต สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันออก มีขนาดความยาว 5 ห้อง มีลักษณะเป็นทรงสูงแต่หลังคาจะกดต่ำแบบช่างล้านนาเดิม เป็นอาคารปิดทึบทรงโรง มีหลังคาทรงจั่ว โครงหลังคาสร้างลดชั้น ด้านหน้าลดหนึ่งชั้น ด้านหลังลดหนึ่งชั้น แต่ละชั้นมีผืนหลังคาสองตับ มุงด้วยแป้นเกล็ด (กระเบื้องไม้) ฐานอาคารตกแต่งด้วยลวดบัวแบบบัวคว่ำบัวหงาย ฐานและผนังก่ออิฐฉาบปูน ผนังเจาะช่องหน้าต่างเล็กแคบ หน้าวิหารมีลักษณะเป็น มุขโถงโล่ง ๆ ขนาด 1 ห้อง ลายทองประดับเสาพระวิหารและเพดาน ได้รับการบูรณะในสมัยของพญาอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 62 (พ.ศ. 2395 – 2435) ประตูด้านหน้าวิหาร เป็นประตูใหญ่กว้างและสูงประกอบด้วยลวดลายปูนปั้นผสมผสานระหว่าง ศิลปะเก่ากับใหม่ โดดเด่นด้วยโทนสีน้ำเงิน สีสันยอดนิยมในศาสนสถานของชาติพันธุ์ลื้อ หน้าบันของซุ้มประตูประดับปูนปั้นทาสีสดใสเป็นรูป “ราหู” บานประตูสลักภาพเทวดากับยักษ์ล้อมด้วยลายพรรณพฤกษา ... สังเกตนะครับว่ามีดอกไม้บานเป็นระยะๆ ... น่าจะเป็นลายดอก “โบตั๋น” ซี่งได้รับอิทธิพลมาจากจีน และเถาของต้นไม้เป็นลายวงๆเป็นช่วงๆ น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากลายเถาองุ่นจากเปอร์เซียครับ ภายในวิหาร ซึ่งภายในประกอบด้วยเสา เรียงสองแถว ตรงสู่แท่นฐานชุกชี เสาแต่ละคู่ประดับลายคำ ลวดลายเหมือนกันเป็นคู่ๆ โดยเสาคู่กลางมีลายที่ต่างออกไป หลังคาเป็นเครื่องไม้ ปิดฝ้าเพดาน พระประธานสร้างด้วยปูนปั้น เหนือองค์พระประดับฉัตร บนผนังด้านหลังประดับกระจกบานใหญ่สามบาน ..... การนำกระจกมาประดับตกแต่งอาหารก็น่าจะเป็รวัฒนธรรมตะวันตกนะครับ น่าจะมีการประดับกระจกในช่วงสมัยหลังๆ น่าจะตรงกับรัชกาลที่ 4 หรือ รัชกาลที่ 5 แล้ว ด้านข้างวางเครื่องสูง สื่อแสดงถึงพุทธานุภาพ รูปลักษณ์ของพระประธานเป็นศิลปกรรมแบบพื้นบ้าน แท่นพระเจ้า หรือ แท่นที่ประดิษฐานพระประธาน ได้รับการบูรณะในสมัยของพญาอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 62 (พ.ศ. 2395 – 2435) เป็นแท่นก่ออิฐฉาบปูน ประดับลายกระหนก หน้าแท่นพระประธานมีเชิงเทียน หรือ สัตตภัณฑ์ ส่วนองค์เจดีย์เป็นงานสถาปัตยกรรมของช่างชาวน่าน สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยของพญาภูคา ประมาณปี พ.ศ.1826 องค์พระธาตุได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ในสมัยของได้รับการบูรณะในสมัยของพญาอนันตวรฤทธิเดช เจ้าผู้ครองนครน่านองค์ที่ 62 (พ.ศ. 2395 – 2435) รวมถึงการสร้างกำแพงแก้วรอบองค์พระธาตุ เมื่อปี พ.ศ.2400 เจดีย์พระธาตุเป็งสะกัด หรือ เบ็งสกัด ความหมายของพระธาตุตามตำนาน หมายถึง สิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากบ่อดินที่ใช้ไม้แหย่ ลงไป แล้วไม้ขาดเป็นท่อน ๆ เหมือนมีอะไรมากัดให้ขาด และมีลำแสงเกิดขึ้น เจดีย์เป็นรูปทรงฐานระฆังคว่ำ เป็นมุมแปดเหลี่ยมลดหลั่น กัน เป็นชั้น ๆ ไม่มีลวดลายเป็นศิลปะแบบพะเยา หรือที่เรียกว่าเจดีย์ ทรงพะเยา ซึ่งมีมากที่พะเยา เชียงราย และบริเวณแถบภาคเหนือ ตอนบน ภายในองค์พระเจดีย์ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุซึ่งถือเป็นศูนย์รวมศรัทธาของชุมชน เป็นสถาปัตยกรรมของช่างน่าน วัดตั้งอยู่บนเนินสูงมองเห็นหมู่บ้านอยู่เบื้องล่าง ด้านหลังเป็นเนินเขา นับเป็นการเลือกสรรชัยภูมิที่ส่งให้วัดดูโดดเด่นเป็นสง่า หากมาช่วง ฤดูฝนจะมองเห็นนาข้าวเขียวขจีของหมู่บ้านเบื้องล่าง เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2487 กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนวัดพระธาตุเบ็งสกัดให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 61 ตอนที่ 65 ต่อมาในปี พ.ศ.2533 คณะกรรมการหมู่บ้านโดยนายสุชาติ พลจร ผู้ใหญ่บ้านแก้ม ได้ทูลเกล้าถวายฏีกาแด่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เพื่อขอพระราชทานจัดหาทุนทรัพย์ซ่อมแซมพระวิหารซึ่งชำรุดทรุดโทรมมาก จนกระทั่งปี พ.ศ.2536 กรมศิลปากร ได้ทำการตรวจสอบและทำโครงการบูรณะวิหารวัดพระธาตุเบ็งสกัด จนได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2538 ปัจจุบันมีการจัดงานนมัสการสรงน้ำพระธาตุเบ็งสกัดทุกปีในวันเพ็ญขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 เหนือ (ขึ้น 15 ค่ำเดือน 3) โดยมีการสร้าง “ฮางฮดน้ำ” หรือ รางรดน้ำพระธาตุเป็นรูปพญานาคขึ้น อยู่ด้านหลังพระธาตุ อีกช่องทางหนึ่งในการติดตาม “ทนายอ้วนพาเที่ยว” Chubby Lawyer Tour - ทนายอ้วนพาเที่ยว https://www.facebook.com/ChubbyLawyerTour/ Chubby Lawyer Tour ………………….. เที่ยวไป ............. ตามใจฉัน ขอบคุณที่แบ่งปัน
โดย: Kavanich96 วันที่: 1 เมษายน 2563 เวลา:2:33:45 น.
|
บทความทั้งหมด
|