เด็กสาว ภาพแรกที่เห็น............. คือความเป็นจริงที่กองอยู่ตรงหน้า สายตาหลายคู่ จับจ้องมาที่เราเหมือนสื่อความหมายบางอย่าง บางอย่างในสายตาหลายๆคู่ มือน้อยๆ มือหนึ่ง เอื้อมมาจับเบาๆที่แขน พร้อมกับคำพูดบางคำที่เอยจากปากน้อยๆนั้น ..............พี่....พี่ชื่ออะไร ฉันยิ้มให้เด็กน้อยตรงหน้า แล้วเอื้อมไปจับไหล่เบาๆ พร้อมกับบอกชื่อของตัวเอง พอเด็กน้อยรู้ชื่อ ก็ยืนจ้องหน้าสักพัก แต่พอฉันส่งยิ้มและทักทายด้วยคำพูดอ่อนโยน เด็กน้อยก็ยิ้มกว้าง สดใส เป็นมิตรขึ้นมาทันที เด็กหลายๆคน ก็เอาแต่ยืนมอง พอสักพักทุกคนก็เริ่มเดินมาคุยด้วย หลังจากนั้นไม่ถึงสิบนาที รอบๆตัวฉันก็เต็มไปด้วยเด็กๆ พวกเค้าอยากให้ฉันเล่นด้วย อยากให้ฉันพูดคุย อยากให้ฉันยิ้มให้ อยากให้ฉันหัวเราะ เวลาที่ฉันนั่งเฉยๆ แล้วทำหน้าบึ้ง พวกเค้าก็จะเงียบ และมองอย่างสงสัย มีหลายๆสิ่งที่พวกเด็กๆเองอยากให้ฉันทำ และเกือบทุกอย่าง ล้วนแต่อยากให้เป็นความสุขทั้งสิ้น ทั้งเสียงเพลง เสียงหัวเราะ รอยยิ้ม แววตาที่สดใส มิตรภาพดีดี คำพูดที่อบอุ่น และความอ่อนโยนที่หยิบยื่น ..........อาจเป็นเพราะ ในช่วงชีวิตที่เค้ามีอยู่ สิ่งที่ฉันให้เค้าในวันนั้น ในความจริง อาจจะไม่มีโอกาสสัมผัสเลยก็ได้ และก็เป็นสิ่งที่พวกเค้าโหยหา มาตลอด .........มีเด็กสาวคนหนึ่งที่ฉันพยายามเข้าไปคุยด้วย เค้าอายุ 16 แล้วล่ะ เป็นวัยรุ่นเต็มวัย และกำลังศึกษาที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง โดยได้รับทุนอุปการะจากครอบครัวอุปถัมภ์ที่แคนนาดา เค้าจะส่งทุนการศึกษามาให้เธอทุกปี เด็กสาวที่เก็บตัวเงียบ ไม่พูดคุย ได้แต่ส่งยิ้มน้อยๆมาให้ ช่วงหนึ่ง หลังจากที่เด็กๆพักทานข้าว ฉันถือจานข้าว 1 จาน ของตัวเอง กับอีก 1 จาน สำหรับเธอ ไปนั่งข้างๆ แล้วยื่นให้เธอ มือนั้นเอื้อมมารับ และขอบคุณ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าวที่ฉันให้ โดยไม่มีคำพูดใดๆหลุดจากปากเธออีกเลย คืนนั้นฉันขอพักกับเด็กๆที่เรือนพัก ใช้เวลาในการนอนที่นั่น 1 คืน และฉันเอง ได้มีโอกาสไคยกับเด็กสาวเมื่อตอนกลางวันอีกครั้ง เธอนั่งเขียนสมุดบันทึก อยู่ที่ระเบียงหน้าเรือนนอน คำพูดแรกที่เธอเอ่ยถามเราก็คือ ............พี่ยังไม่นอนอีกหรอ แล้วไม่ลำบากหรือไงที่มานอนที่เรือนนอนกับเด็ก ฉันยิ้มให้แล้วบอกว่า .............ไม่หรอก สนุกดีจ้ะ คงเป็นครั้งแรกของเธอมั้งที่อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสได้คุยกับใครสักคน ฉันมองหน้าเด็กสาวเหมือนอยากรับรู้ และเปิดรับในสิ่งที่เค้าเป็น เธอบอกว่า ก่อนจะมาอยู่ที่นี่ เธอเคยมีพ่อมีแม่ มีครอบครัว มีวันเวลาดีดี มีเพื่อน มีใครๆอีกมากมาย แต่ชีวิตก็พลิกที่วันหนึ่ง เพื่อนที่โรงเรียนเมื่อสองปีก่อน ชวนเธอเสพยา และเพราะว่าอยากจะลอง พร้อมๆกับความรู้เท่าไม่ถึงการ ชีวิตเธอเลยแตกสลาย ไปกับยาพวกนั้น จนหมดสิ้น พอพ่อ กับ แม่รู้เรื่อง ก็เอาแต่โทษเธอ และทรมานสารพัด ทั้งมัด ตี ให้อดข้าว ถึงแม้ว่า เธอจะบอกว่าเธออยากเลิก เธอสำนึกผิดสักกี่ครั้ง ก็ตาม ก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกเลย พอวันหนึ่งเธอถูกส่งเข้าสถานบำบัด จากอาจารย์ที่โรงเรียน ที่อยากให้เธอเลิกยา แต่สิ่งที่เจ็บปวดสำหรับเธอมากที่สุดคงไม่ใช่เพราะว่าเธออยากยา หรือความลำบากในการเลิกยาหรอกนะ แต่เป็นเพราะความเจ็บปวด จากครอบครัวมากกว่า ที่ตลอดระยะเวลา 5 เดือน เธอไม่เคยเห็นหน้าพ่อกับแม่ หรือญาติคนไหน แม้กระทั่งเพื่อนซักคนที่จะมาเยี่ยมหรือถามข่าวคราว เธอบอกฉันว่า .......ในตอนนั้นหนูก็ไม่หวังอีกแล้วนะพี่ เพราะยังไงที่ผ่านมา พ่อกับแม่ก็ไม่เห็นว่าหนูเป็นลูกอีกแล้วตั้งแต่วันที่เค้ารู้เรื่องที่ติดยา เค้าพูดกับหนูว่า.....เค้าจะไม่สนใจ หนูจะไปไหนก็เชิญ หนูไม่ใช่ลูกเค้า ไม่ใช่ลูกเค้า..... คำถามที่เธอถามเราแล้วก็เงียบไปก็คือ ................หนูไม่คู่ควรเป็นลูกเค้าใช่ไหมคะพี่............. เราพยายามปลอบและให้กำลังใจเธอจนสุดความสามารถ แม้จะไม่รู้ว่า จะช่วยเธอไดไหม.................... เธอยังเล่าอีกว่า ก่อนจะมาที่นี่ ทางสถานบำบัด ได้ติดต่อไปที่บ้าน แต่ไม่มีใครตอบรับมา เธอเลยขออาจารย์ที่โรงเรียนลาออก และได้รู้จักพี่คนหนึ่งที่นี่ จึงขอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่วันนั้น จนตอนนี้เกือบสองปี เธอได้เริ่มต้นเรียนใหม่อีกครั้ง โชคดีที่เธอได้รับความช่วยเหลือ จากศูนย์และเพื่อนๆพี่ๆที่อยู่ด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผูกติดกับชีวิตของเธอเรื่อยมา ก็คือ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในครั้งหนึ่งในชีวิต แต่ทำให้คำว่าครอบครัวของเธอแตกสลาย จนป่านนี้เธอยังไม่รู้เลยว่า พ่อกับแม่ของเธอจะยังนึกถึงเธอไหม แต่เธออยากเจอเค้าสองคนอีกสักครั้ง แต่เธอก็รู้ว่า ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไรอีกเลย ไม่มีด้วยซ้ำ................. ความเจ็บปวดแสนสาหัสที่เก็บจมไว้ในจิตใจมันทำให้เธอรู้สึกแย่ไดทุกๆวันที่วิ่งผ่าน และก็ไดแต่หวังภาวนาว่าโชคชะตาจะเห็นใจให้เธอมีโอกาสดีดีสักครั้ง และเธอยังบอกว่า ตั้งแต่วันนั้นเธอไม่เคยละเลยโอกาสสักครั้งในชีวิต เพราะเธอรู้ดี ว่าทุกอย่างอาจไม่มีวันหวนคืนได้อีก และอาจจะไม่มีสิทธิ์ขอได้อีก ถึงแม้ว่าวันนั้นเธอจะอ้อนวอนขอมันก็ตาม เสียงสะอื้นเบาๆและตัวเธอเริ่มสั่นเทา เมื่อเธอเล่าเรื่อง ฉันได้แต่นั่งกอดเธอเบาๆ และคำปลอบโยนบางคำ พอที่จะช่วยบรรเทา บาดแผลฉกรรที่ยังฝังรากลึกในใจของเด็กสาวให้จากลงบ้าง...สักนิดก็ยังดี เธอบอกฉันว่า.....ขอโทษที่ทำให้เครียดไปด้วย ฉันยิ้มให้เธอ แล้วส่ายหัวเบาๆ บอว่า ไม่หรอก แต่ความจริงแล้ว ไม่เลยเธอไม่ได้ทำให้เราเครียดเลยสักนิด ที่จริงแล้ว ฉันอยากจะขอบคุณเธอด้วยซ้ำ ที่ทำให้ฉันคิดได้ว่า .......บางอย่างในชีวิตถ้าผ่านแล้วก็จะผ่านไป ไม่มีทางกลับคืนมาอีก โอกาสก็เหมือนกัน ไม่มีทางแก้ตัว เมื่อวันที่มันสายไปแล้ว แต่บางครั้งคนบางคนต้องการสักครั้งเพื่อแก้ตัว เราอยากให้เค้าเป็นอย่างไร ถ้าเราไม่หยิบยื่นโอกาสให้สักครั้ง แล้วเค้าจะมีเวลานั้น ในการกระทำได้อย่างไร ..........ขอบคุณเด็กน้อยที่สอนให้ฉันรู้ว่า ทุกนาทีชีวิตมีค่า ขอบคุณเด็กสาวคนนั้น ที่ทำให้ฉันรู้ว่า ความหมายของโอกาสไม่ได้หามาได้ง่ายๆ และคุณค่าของลมหายใจที่มีอยู่มีค่าแค่ไหน........................... ![]() ดีจังครับ อยากเข้าไปให้ความสุขกับเด็กๆเหล่านั้นบ้าง
![]() โดย: PutterZ (ToppuT
![]() คนเราทุกคน เมื่อเดินทางก็ต้องกับอุปสรรคด้วยกันทั้งนั้น หกล้มด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่เราเองว่าจะเลือกที่จะจมอยู่กับอดีตที่เศร้าหมองหรือจะมองไปที่อนาคตที่สดใส เราอยากจะบอกว่าอดีตไม่สำคัญปัจจุบันเราทำเพื่ออนาคต คตินี้คือคติที่เรายึดถือมาตลอด สู้ๆนะครับ
![]() โดย: tone IP: 125.26.31.200 วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:20:51:16 น.
อุปสรรคมีไว้ให้ข้ามและฝ่าฟัน
ที่สำค้ญกำลังต้องมีไว้ข้าง ๆ ตัวเองเสมอ โดย: maxpal
![]() เพลงซึ่งมาก มาก ครับ
โดย: ืnawin13 IP: 222.123.121.166 วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:19:38:17 น.
|
บทความทั้งหมด
|