Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
27 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 

โฮโจ อุจิเทรุแห่งยุคเซ็นโกกุ : สู่พี่ชายใจดีใน“Mirage of Blaze”

โฮโจ อุจิเทรุแห่งยุคเซ็นโกกุ : สู่พี่ชายใจดีใน“Mirage of Blaze”



หากจะร่ำความถึงเหล่า “ดารารับเชิญ” ในยุคเซ็นโกกุของ “Mirage of Blaze” ตั้งแต่ต้นจนจบ คงจะยืดยาวเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น บทความนี้ก็ออกจะมาจากความเห็นแก่ตัวของผู้เขียนอย่างเราเสียนิดหน่อย(หรือมาก?) ที่คงจะหยิบยกมาเฉพาะ “ดารารับเชิญ” แห่ง “Mirage of Blaze” ที่อยากจะเขียนถึงอย่างซึ้งใจในบทบาทของเขาและเธอผู้นั้น

และในครั้งนี้ ท่านที่ได้รับเกียรติ คือ...

“โฮโจ อุจิเทรุ”
หนึ่งในทายาทของตระกูลยิ่งใหญ่ในคันโต,โอดาวาระ




โอ้! นี่ก็คือ “ท่านอุจิเทรุ”แห่งตระกูลโฮโจ ซึ่งนับเป็นตระกูลที่ได้รับการกล่าวขวัญในประวัติศาสตร์ยุคเซ็นโกกุอย่างโชกโชนทั้งในด้านความเหี้ยมในการตั้งตนเป็นใหญ่ จุดสำคัญคือ “โฮโจ โซอุน” (หรือนามเดิม “อิเสะ ชินคูโร่” หรือ “อิเสะ นางาอุจิ” ) ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งตระกูลโฮโจ พื้นเพเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ แต่ในสามชั่วอายุคน เขาและคนในตระกูลสามารถสร้างอาณาจักรที่โดดเด่นขึ้นมาได้ โดยการหักหลังและทำลายล้างผู้ซึ่ง“ดีกว่า”

ในความเป็นจริงแล้ว “โฮโจ โซอุน” ผู้ก่อตั้งตระกูลนี้ เป็นเพียงซามูไรพเนจรชั้นต่ำที่โค่นล้มผู้ปกครองคนเก่าในดินแดนของตน แล้วใช้ชื่อเก่าของตระกูลที่เคยมีอยู่เป็นชื่อตระกูลของตัวเอง ( ด้วยเขาต้องการจะสืบทอดประวัติที่น่าภาคภูมิใจของตระกูล “โฮโจ” (เก่า) ซึ่งในอดีตเคยเป็นตระกูลโชกุนที่นำสันติสุขและความมั่งคั่งมาสู่ญี่ปุ่น และเคยต่อสู้ขับไล่กองทัพมองโกลมาแล้ว )

โฮโจ โซอุน ตัดสินใจที่จะขยายอาณาเขตของตัวเอง เริ่มจากลอบสังหารขุนนางเจ้าที่ดินเพื่อนบ้าน แล้วเข้าควบคุมเขตโอดาวาระ จากนั้นเขาก็เข้ายึดจังหวัดซางามิและมุซาชิ และขยายอาณาเขตไปในที่ราบสูงคันโต จนกระทั่งพวกตระกูลอุเอสึงิกำลังสับสนวุ่นวายกันอยู่ จึงบุกเข้ายึดปราสาทของพวกนั้นที่เมืองเอโดะ ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่า (โตเกียวในปัจจุบัน) อุจิทสึนะ ลูกชายของโซอุน และอุจิยะสึ หลานชาย ได้ต่อสู้กับพวกตระกูลอุเอสึงิเรื่อยมา และเอาชนะพวกนั้นได้ในปี ค.ศ. 1542 ที่ปราสาทคาวาโกเอะ

ด้วยยุทธศาสตร์การปกครองของโฮโจทั้ง 4 ชั่วอายุคน ทำให้ดินแดนคันโตและโอดาวาระเจริญรุ่งเรืองมิใช่น้อย โดยเฉพาะตำนานแห่งความสามารถที่ปรากฏโดดเด่นทั้งรุ่นทวด ( โฮโจ โซอุน ) , รุ่นปู่ ( โฮโจ อุจิสึนะ ) , รุ่นพ่อ ( โฮโจ อุจิยะสึ ) และรุ่นลูก ( บุตรทั้งเจ็ดแห่งโฮโจ คือ อุจิมะสะ , อุจิเทรุ , อุจิคุนิ , อุจิโนริ , อุจิชิเงะ , อุจินาโอะ และอุจิฮิเดะ [“อุเอสึงิ คาเงโทร่า”] )

ย้อนถึงประวัติความเป็นมาของ “โฮโจ อุจิเทรุ” หรือ “โอชิ อุจิเทรุ” เกิดในปี ค. ศ. 1539 เป็นบุตรชายคนที่สองของ “โฮโจ อุจิยะสึ” และต่อมาถูกส่งไปเป็นบุตรบุญธรรมในตระกูล “โอชิ” ผลงานเด่นของอุจิเทรุ คือ การบุกยึดทาคิยามะ และปราสาทฮาชิโอจิแห่งจังหวัดมุซาชิได้เป็นผลสำเร็จ

อุจิยะสึผู้เป็นบิดาได้กล่าวยกย่องอุจิเทรุว่า เขาเป็นคนที่มีความสามารถเหนือกว่าอุจิมะสะผู้พี่ชาย เพราะเขามีบุคลิกที่น่าเคารพนับถือ รวมทั้งความสามารถที่โดดเด่นอย่างยิ่งในด้านชั้นเชิงทางการทูต

ในปี ค.ศ. 1569 อุจิเทรุร่วมด้วยอุจิคุนิ ผู้น้องชายสามารถพิชิตชัย “ทาเคดะ ชินเง็น” ผู้มีสมญานาม “พยัคฆ์ไร้พ่ายแห่งคาอิ” ในการศึกที่ “มิมาเสะโทเงะ” ในบั้นปลายชีวิตอุจิเทรุนั้น เมื่อ “โฮโจ อุจิมะสะ” ได้สืบตำแหน่งไดเมียวแทนที่บิดา อุจิเทรุได้เข้ามาทำงานสนับสนุนพี่ชายในฐานะ “ผู้รับใช้แห่งโฮโจ” โดยดำรงตำแหน่ง “มุซึโนะคามิ”

ในช่วงที่ “โอดะ โนบุนางะ” เรืองอำนาจยิ่งนั้น อุจิเทรุได้ชี้นำให้อุจิมะสะผูกไมตรีกับฝ่ายโอดะ หากแต่แท้จริงแล้ว “โฮโจ” และ “โอดะ” ร่วมมือกันแต่เพียงในนามเพื่อทำศึกกับทาง“ทาเคดะ”ในฤดูใบไม้ผลิ ปี 1582 เท่านั้น ต่อมาอุจิมะสะก็เริ่มไม่เชื่อใจในเจตจำนงของโนบุนางะ ที่รุกรานเข้ามาในเขตโคซุเกะ เหตุนี้ทำให้อุจิมะสะตัดขาดความเห็นชอบที่อุจิเทรุเคยแนะนำให้เขาเข้าพวกกับโอดะ กลายเป็นความร้าวฉานระหว่างโฮโจและโอดะ ตราบจนถึงจุดเปลี่ยนเมื่อโนบุนางะเสียชีวิตลงในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1582

เมื่อโทโยโทมิ ฮิเดโยชิช่วงชิงอำนาจสืบความยิ่งใหญ่ต่อจากโอดะ ( อย่างหน้าไม่อายทั้งที่ทายาทโอดะยังอยู่ ) ดินแดนโอดาวาระของโฮโจ ต้องผจญกับฮิเดโยชิ ด้วยการตัดสินใจของอุจิมะสะที่ประกาศสงครามกับฮิเดโยชิอย่างอหังการ์

การต่อสู้ระหว่างฮิเดโยชิและตระกูลโฮโจที่โอดาวาระนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นศึกที่รวมสุดยอดขุนพลและซามูไรฝีมือระดับพระกาฬมากที่สุดในยุคเซ็นโกกุเลยทีเดียว แต่การศึกนี้ใหญ่หลวงนัก แม้แต่พันธมิตรของโฮโจอย่าง “ดาเตะ มาซามุเนะ” ผู้นำแห่งเซ็นไดฉายานาม “มังกรตาเดียวแห่งโอชู” คาดได้ถึงผลแพ้ชนะ ต่อมาจึงแปรพรรคไปอยู่กับฮิเดโยชิ จนปราสาทโอดาวาระถูกปิดล้อมและฝ่ายโฮโจเจรจาขอยอมแพ้ กล่าวกันว่าฮิเดโยชิเมินเฉยต่อสาส์นยอมจำนนที่ทางโฮโจส่งมา ซึ่งเป็นเชิงบีบให้อุจิมะสะ และอุจิเทรุตัดสินใจกระทำการ “เซ็ปปุคุ” ( หรือพิธีการ “ฮาราคีรี” [การคว้านท้อง] ซึ่งเป็นการปลิดชีพตนเองอย่างเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และการทำฮาราคีรีก็จงใจจะให้เป็นเช่นนั้น ผู้กระทำจะต้องคว้านท้องตัวเองให้เปิดออก ด้วยการเฉือนมากกว่าหนึ่งครั้ง การคว้านท้องตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่น่าสยดสยอง จนกระทั่งพวกซามูไรต้องเปลี่ยนวิธีการ ให้เหลือแค่การแทงท้องตัวเองครั้งเดียวโดยผู้กระทำพิธี ทันทีที่ทำการเปิดแผลแรก เพื่อนหรือบริวารที่ไว้วางใจจะช่วยปลดปล่อยความทรมาน โดยการฟันทีเดียวให้หัวขาด แม้การช่วยฟันคอจะช่วยปลดเปลื้องความเจ็บปวด แต่การคว้านท้องตัวเองในตอนแรก ก็ต้องใช้การควบคุมตนเองอย่างมหาศาลสำหรับผู้กระทำพิธีฮาราคีรี <== รู้อย่างนี้แล้วก็...โธ่! ท่านอุจิเทรุของหงส์ ท่านคงทรมานใจกายก่อนตายมากแน่ๆ เลย )

การที่อุจิมะสะและอุจิเทรุต้องตัดสินใจจบชีวิตของตนลงด้วยการกระทำเซ็ปปุคุในปี ค.ศ. 1590 นั้น ก็เพื่อเผื่อเหลือทางรอดให้กับตระกูลโฮโจ ที่ถูกกองทัพฮิเดโยชิปิดล้อมปราสาทโอดาวาระอันเป็นฐานที่มั่น และทำให้โฮโจพ่ายแพ้หมดทางโต้ตอบ และเมื่อนายเหนือหัวแห่งโฮโจสิ้นลง ฮิเดโยชิจึงประนีประนอมต่อการยอมจำนนของโฮโจ ยินความมาว่าทายาทแห่งโฮโจที่เหลือรอดจากการศึกปราสาทโอดาวาระในครั้งนี้ คือ อุจิคุนิ , อุจินาโอะ และอุจิโนริ ( รู้สึกนามของคนตระกูลโฮโจ จะนิยมขึ้นต้นพยางค์แรกด้วยคำว่า “ อุจิ” นะนี่ ) ซึ่งอุจิโนริผู้นี้ ก็คือคนที่ไปเจรจายอมจำนน หลังการเซ็ปปุคุของอุจิมะสะและอุจิเทรุ โดยสามารถทำให้ฮิเดโยชิยอมต่อคำขอสวามิภักดิ์ของฝ่ายโฮโจ ต่อมาเขาจึงได้รับศักดินา 10,000 โกคุ ในจังหวัดคาวาชิ

เป็นอันว่าท่าน “โฮโจ อุจิเทรุ” ได้เสียชีวิตลงในศึกปราสาทโอดาวาระ สรุปช่วงชีวิตระหว่างปี ค.ศ. 1539-1590 รวมสิริอายุได้ 51 ปี มรณะด้วยการเซ็ปปุคุ ซึ่งถือว่าเป็นวิถีความตายแห่งเกียรติยศอันสูงส่งตามหลักการ “บูชิโด” [วิถีนักรบ]

จบความรู้ทางประวัติศาสตร์ไปแล้ว มาจะกล่าวบทไปถึงเรื่องราวของ “โฮโจ อุจิเทรุ” ที่ปรากฏตัวใน “Mirage of Blaze” ภาค TV Series ในช่วงท้ายๆ เรื่อง ภาพแรกที่ได้ยลโฉมเขาอย่างชัดเจนสายตา คงเป็นตอนที่ “โองิ ทาคายะ” ประชดตัวเองหลังมีปากเสียงกับจิอากิ ชูเฮย์ (หรือผู้สถิตร่างก็คือ “ยาสุดะ นากาฮิเดะ”แห่งยุคเซ็นโกกุ) แล้วไปนั่งซึมเศร้าโดดเดี่ยวผู้เดียวดายจุดบุหรี่แล้วมองบุหรี่ไหม้เล่นๆ จนไปมีเรื่องเจ็บตัวกับนักเลงที่ผ่านมา ทาคายะสลบอยู่ริมทาง เสี่ยโฮโจ อุจิเทรุเข้ามามองดูพลันกล่าวประมาณว่า
“เจ้าไม่ใช้พลังเพราะความใจดี หรือเพราะแค่ต้องการถูกซ้อมกันแน่ เป็นเวลา 400 ปีแล้วนะ (หมายถึงพรากจากกัน) น้องชายข้า...“ซาบุโร่”



จากนั้นแล้ว “โฮโจ อุจิเทรุ” ก็เอาเสื้อนอกของตนมาคลุมบนร่างของทาคายะ แล้วก็อุ้มพาไปพักที่บ้านเขา [เอ่อ...ฉากนี้มัน...เหตุใดเราต้องต้องปลื้มถึงขนาดบรรยายละเอียดเพียงนี้ด้วยเนี่ย เขาเป็นพี่น้องแท้ๆ กันนะ ก็แค่อุ้มกับโดนอุ้ม!....แต่มาดของท่านอุจิเทรุในตอนนั้น เหมือน....อาเสี่ย...อุ้มเด็กเลยอ่ะ!...เท่ห์ไปอีกแบบ อันนี้ก็ทำให้เรานิยมชมชอบ “โฮโจ อุจิเทรุ” ขึ้นมาอย่างท่วมท้น ชนิดนึกไปก็อยากจะมีพี่ชายอย่างเขาเสียจริงๆ

ภาพแรกที่ฉายบทบาท “โฮโจ อุจิเทรุ” ออกมาในฉากนี้ ทำให้มองดูแล้วช่างเป็นท่านชายที่อ่อนโยน นุ่มนวล และมีความเป็นผู้ใหญ่ใจดีอยู่มาก บวกกับบุคลิกภาพที่ค่อนข้างสงบนิ่ง สุขุม เยือกเย็น ท่วงทีของเขาที่ปรากฏออกมาในคราแรกๆ เช่นนี้ ทำให้เราติดกับภาพลักษณ์ในทางบวกของเขาอย่างมาก ส่งผลให้ดูไป เคลิ้มปลื้มไปจนหน้าแดงเลยเรา



ส่วนที่ว่าด้วยเรื่องความมีมารยาทและจรรยางามอย่างลูกผู้ดีหรือชนชั้นสูงนั้น ก็ไม่น้อยหน้าไปกว่านาย “นาโอเอะ โนบุซึนะ” พระเอกคนดังของเราเท่าใดนัก เมื่อกล่าวถึงจุดนี้ เราว่าทั้งท่าน “โฮโจ อุจิเทรุ” และ “นาโอเอะ โนบุซึนะ” นั้นต่างมีเสน่ห์ที่กลืนกินกันไม่ลงจริงๆ ( แต่ท่าน “โฮโจ อุจิเทรุ” อาจแพ้ให้กับ “นาโอเอะ โนบุซึนะ” ที่ความหื่น เอ้ย! ความ...ความคิดอ่านที่ลึก...ลึก...และลึกซึ้งที่มีต่อทาคายะ ซึ่งด้านนาโอเอะนี่....ลึก!...มากกว่าที่อุจิเทรุคิดอย่างแน่นอน เอาเป็นว่า “โฮโจ อุจิเทรุ”ในเรื่องนี้ เขาไม่มีนโยบายทำอุตสาหกรรมในครัวเรือนก็แล้วกันนะ )

สิ่งที่เรามองเห็นและคิดฝันไปในภาพแรกของเขานั้น แต่นานๆไปในบางครั้งสถานการณ์ของ “โฮโจ อิจุเทรุ” ก็เหมือนจะไม่เป็นอย่างที่คิดฝันในคราแรกพบเสียทีเดียว กล่าวได้ว่าเราตีความตรรกะ , อารมณ์ , เหตุผล , มาตรฐานทางความคิดและการตัดสินใจของเขาในภาคอนิเมได้ยากยิ่ง เพราะเป็นฉบับที่ย่นย่อเนื้อเรื่อง “Mirage of Blaze” ลงอย่างมาก ( ไม่รู้ภาคนิยายจะให้เหตุผลกับแต่ละการกระทำของ “โฮโจ อิจุเทรุ” ว่าอย่างไรบ้าง? )

การกระทำของ“โฮโจ อิจุเทรุ” มีความขัดแย้งอยู่หลายจุดด้วยกัน เปิดประเด็นแรกมาให้ภาพพี่ชายที่รักและห่วงใยน้องชายอย่างอ่อนโยนจริงใจ แต่ไปๆมาๆ กลับตัดสินใจเอาน้องที่เขาเคยปฏิบัติด้วยว่ารัก ไปเป็นเหยื่อบูชายันต์เพื่อแผนการในสงครามมืด (ที่จะย้อนเอาศึกยุคเซ็นโกกุมาปรากฏในโลกปัจจุบัน) ซึ่งก็ดูจะขัดกับแววตาพี่ชายแสนดีอยู่เหมือนกัน



แม้จะด้วยแรงบีบคั้นจากคำหลอกของ “โฮโจ อุจิมาสะ” ว่าเป็นคำสั่งโดยตรงจากท่านพ่อ (โฮโจ อุจิยะสึ) หรือจะเพราะเจ้านินจารักษาบ้านโฮโจอย่าง “ฟูมะ โคทาโร่” เขาบอกว่านี่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดก็ตาม แต่ก็มีเหตุผลมากมายที่สามารถจะลิขิตให้เขาไม่ต้องใช้การตัดสินใจแบบนี้ลงไป หากเขามีความคิดที่จะรักและปกป้องน้องชายตนเองอย่างสุดชีวิตจริงๆ

ทว่า...ในช่วงเวลานั้น....ณ ตอนนั้น เขากลับทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับภาพลักษณ์อันน่าประทับใจที่เราเคยมีให้ในฐานะพี่ชายแสนดีในตอนต้นเรื่อง ( ตอนนั้นคิดว่าอยากจะมีพี่ชายแบบ “เขา” ใช่ไหม ? แต่ตอนนี้ชักกลัวขึ้นแล้ว )



อีกนัยหนึ่งเราค่อนข้างผิดหวัง (แล้วจะหวังไว้ก่อนทำไมนี่เรา) กับที่ว่า “โฮโจ อุจิเทรุ” น่าจะเป็นบุคคลที่รุ่งเรืองความสามารถเหมือนในประวัติศาสตร์ แต่ในเรื่อง “Mirage of Blaze” การณ์กลับกลายเป็นว่า “โฮโจ อุจิเทรุ” นี่ล่ะ....เป็นคนที่ถูกหลอกมากที่สุดในเรื่องเลยเชียว เฮ้อ!...น่าเสียดาย(+ น่าสงสาร)

ลองตรองดูอีกคราหนึ่งจะพบเห็นว่า “โฮโจ อุจิเทรุ” นี่ทั้งถูกโคทาโร่อำพรางเรื่องสำคัญในเบื้องลึก รวมทั้งเบียดบังให้เขาโน้มเอียงมาเห็นด้วยกับแนวความคิดที่จะบูชายันตร์น้องชายแท้ๆ นอกจากนี้ก็ยังถูกท่านพี่อุจิมะสะหลอกอ้างคำสั่งจากท่านพ่ออุจิยะสึอีก สุดท้ายตกม้าตายเพราะคำลวงของ “นาโอเอะ โนบุสึนะ” เข้าอีกกระบวนหนึ่ง เป็นอันจบกลยุทธแบบฉบับ “โฮโจ อุจิเทรุ” ลงอย่างสิ้นไร้ไม้คมเสียนี่กระไร คิดๆ ไปก็น่าเห็นใจเขาอยู่ไม่น้อย ที่เจอแต่คนหลอกลวงทั้งชีวิตเลยอย่างนั้น



ในเรื่องนี้ที่ว่าด้วยดารารับเชิญ “โฮโจ อุจิเทรุ” ขอกำนัลด้วยคอเลคชั่นแห่งบทบาทในฉากตอนที่เรารับชมแล้ว รู้สึกปลื้มต่อถ้อยคำของ “โฮโจ อุจิเทรุ” เป็นอย่างมากแล้วกันนะ ก็มีรายนามฉากดังต่อไปนี้



ฉากรำลึกความหลังครั้งยังมีชีวิตในโลกยุคเซ็นโกกุของทั้งสองพี่น้องโฮโจ ซึ่งน่าจะเป็นช่วงก่อนที่ “โฮโจ ซาบุโร่”( หรือในประวัติศาสตร์ที่บันทึกนามไว้ว่า “โฮโจ อุจิฮิเดะ” ) จะถูกส่งไปเป็นบุตรบุญธรรมของฝ่ายตรงข้าม (กล่าวว่าไปแคว้นเอจิโกะ คงหมายถึงไปอยู่กับ “อุเอสึงิ เคนชิน” บิดาบุญธรรมผู้ซึ่งเปลี่ยนนามเขาจาก “โฮโจ ซาบุโร่” ให้มาใช้ชื่อใหม่ว่า “อุเอสึงิ คาเงโทร่า”) “โฮโจ อุจิเทรุ” กล่าวกับน้องชายของเขาว่า

“ในสมัยสงคราม สิ่งที่มีรูปร่างสามารถมอดไหม้เป็นเถ้าถ่านหรือจางหายไปได้อย่างง่ายดาย ข้าได้สอนเจ้าเป่าขลุ่ยและวิชายิงธนูมาได้หลายปีแล้ว ข้าอยากให้เจ้าเก็บไว้เป็นที่ระลึกจากข้า เพราะสิ่งนี้จะอยู่กับเจ้าไปตลอดชีวิต…”

ซาบุโร่รับคำโดยดี อุจิเทรุนึกสะท้อนใจที่พวกเขาต้องส่งน้องไปต่างแดนจึงกล่าวขึ้นอีกว่า

“เจ้าไม่โกรธเกลียดพวกเราบ้างเลยหรือ?....คำว่า “บุตรบุญธรรม” อาจฟังดูนุ่มนวล แต่ที่จริงแล้ว เจ้าก็ไปเป็น “เชลย” นั่นเอง ...ข้าเจ็บปวดแทนเจ้าจริงๆ ”

ซาบุโร่กล่าวตอบพี่ชายทั้งรอยยิ้มที่ดูมั่นคงเข้มแข็งว่า

“ไม่หรอก ข้าไม่เคยโกรธพวกท่านเลย ข้ารู้ดีว่าไม่มีใครที่จะทุกข์ใจได้มากเท่ากับท่านพ่ออีกแล้ว เพื่อท่านพ่อ เพื่อตระกูลโฮโจ ข้าจะไปเอจิโกะ”

อุจิเทรุเบือนสายตามายังท้องทะเลแห่งโอดาวาระเบื้องหน้า พลันกล่าวอย่างด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นและอ่อนโยนว่า

“ท่านพ่อเปรียบดั่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไพศาล ท่านดูแลพวกเราพี่น้องอย่างเสมอภาคกันทุกคน เราได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ด้วยท่านพ่อที่เข้มงวด แต่ก็รักพวกเราเป็นอย่างมาก....ในฐานะเชลย เจ้าจะต้องเผชิญกับการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน ในเวลาเช่นนั้น ขอให้เจ้านึกถึงท้องทะเลแห่งโอดาวาระ ข้าเชื่อว่านั่นจะสามารถปลอบโยนจิตใจเจ้าได้บ้าง”

อีกฉากหนึ่งนี่ก็เป็นที่กริ๊บกริ้วสำหรับเราเป็นอย่างยิ่ง เพราะความน่ารักของทาคายะที่พูดบรรยายความรู้สึกเสียรุนแรงเหลือเกิน มาดูกันกับความเร่าร้อนของทาคายะในตอนนี้

ภาพตัดกลับมาในโลกปัจจุบัน เป็นช่วงที่ทาคายะอยู่ในบ้านของโฮโจ อุจิเทรุ แรกเริ่มพวกเขาสนทนากันแบบสบายๆ โดยโฮโจถามถึงอาการบาดเจ็บที่ทาคายะถูกพวกนักเลงรุมซ้อม ทาคายะก็บอกว่าไม่เป็นไร พร้อมขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง รวมทั้งขอบคุณที่ช่วยพามาพักที่นี่ ขณะพูดไป ทาคายะก็จดๆจ้องๆ หยิบซองบุหรี่ที่เป็นสาเหตุของการทะเลาะวิวาทเมื่อคืนนั้นขึ้นมาดูไปพลาง อุจิเทรุซึ่งกำลังรินน้ำดื่มอยู่ ก็หัวเราะยิ้มเล็กน้อยก่อนบอกว่า ก็เขาเป็นฝ่ายพาทาคายะมาจากข้างถนนเองนี่นะ ไม่ลำบากอะไรหรอก เพราะเขาทิ้งทาคายะไว้อย่างนั้นไม่ได้ และแล้วอุจิเทรุก็บอกให้ทาคายะติดต่อไปบอกทางบ้าน พอถึงตรงนี้ก็ให้บรรยากาศที่มืดมนอยู่บ้าง ลองมาดูแล้วกันนะว่าหมองหม่นอย่างไร



อุจิเทรุ : พ่อแม่เธอคงเป็นห่วง ทำไมไม่โทรไปหาพวกเขาหน่อยล่ะ?

ทาคายะ : ฉันไม่มีพ่อแม่ที่จะเป็นห่วงหรอก พ่อฉันเป็นคนที่แย่มาก สำหรับฉัน...ที่นั่นเหมือนเป็นสนามรบมากกว่าบ้าน ฉันคิดอยากจะปกป้องน้องสาวให้ได้เท่านั้น จึงทำให้ตัวเองกลายเป็นเด็กเลว เพื่อที่ฉันจะสามารถสู้กับพ่อได้ แต่จริงๆ แล้ว ฉันก็ยังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง พอ “เขา” คนนั้นยอมเสี่ยงชีวิตปกป้องฉันอย่างนั้น ฉันก็เลยเข้าใจผิด ฉันเริ่มคิดว่าบางทีฉันอาจจะเชื่อใจเขาได้

อุจิเทรุ : เธอพูดถึงใครกันรึ? เจ้าของซองบุหรี่นี่หรือเปล่า?

ทาคายะ : ฉันดีใจที่มี “เขา” คอยดูแล....แต่ “เขา”....มันบ้า!... “เขา” พยายามปกป้องฉันจากทุกอย่าง ไม่ให้ฉันมีอันตราย “เขา” เหมือนกับปีกของนกตัวใหญ่ โอบประคองรอบตัวฉันเพื่อปกป้อง พอ“เขา”ทำอย่างนั้น เด็กนิสัยเสียอย่างฉัน ก็เลยไม่อยากจะเสียความอบอุ่นเช่นนั้นไป ฉันแค่ต้องการซุกอยู่ในปีกที่โอบไว้เท่านั้น...( พลางคว้าแก้วน้ำคลอน้ำแข็งยกขึ้นดื่มอย่างรวดเร็ว แล้วปาแก้วนั้นทิ้งจนแตกกระจายไปอย่างไม่ใยดี [โอ้!...หนูทาคายะตอนนี้ อารมณ์พลุ่งพล่านรุนแรงจริงหนอ] )...ให้ตายสิ! ฉันกลายเป็นคนอ่อนแอเสียแล้ว “เขา”ทำดีกับฉัน ทำไม “เขา” ต้อง...( หยุดพูดไปกึกหนึ่ง แล้วภาพก็รีเพลย์ความทรงจำมาถึงฉากนั้น...ณ โรงแรม...)



( อย่าเพิ่งไปคิดลึก ! ตะลึง ตึงๆ กับภาพที่...เพราะแม้เจ้านาโอเอะทำท่าจะ...แต่ยังไม่ทันได้สัก...ก็โดนหนึ่ง “เพี๊ยะ” ซะก่อนนั่นแล )...

ทาคายะ : “เขา” ต้องการทำอะไรกันแน่!?...
( พูดพลางสองมือของทาคายะก็เข้าไปจับบีบสองต้นแขนของอุจิเทรุไว้ซะแน่น ยื่นหน้ามาใกล้อุจิเทรุอีกด้วย อุจิเทรุก็หน้าถอดสีชนิดตกใจ+แปลกใจรุนแรงประมาณว่า “อะไรฟะ ! จู่ๆ ของขึ้นสูงซะจนเฮียรับมุขไม่ทันแล้วนะ” )...



ทาคายะ : “เขา” ต้องการอะไรจากฉัน!?…“เขา”เกลียดฉันรึ!?...( ผละจากการจับยึดอุจิเทรุออก ก็ไปมองดูทะเลนอกชานพักหนึ่งแล้วว่าต่ออีก...)...ไม่!...ไม่!...ไม่ใช่ตัวฉัน...“เขา”บอกว่า“เขา”มองเห็นคาเงโทร่าในตัวฉัน และฉันเป็นแค่เพียงตัวแทนสำหรับเขาเท่านั้น “เขา”ไม่เข้าใจความอ้างว้างของฉัน ฉันกลัวว่า“เขา”จะทอดทิ้งฉันไป...ฉันไม่เข้าใจ“เขา”เลย...

ว่าพลางแล้วทาคายะก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นเสียจนตัวโยน เราว่ามันเป็นการร้องไห้ที่เขาคงไม่เคยแสดงออกให้คนอื่นได้เห็น อุจิเทรุเองมีสีหน้าตื่นตระหนกกับท่าทีของทาคายะมาก แต่เขาที่มองเห็นทาคายะร้องไห้ขนาดนั้น ก็น้อมตัวนั่งลงเข้ามาโอบกอดร่างที่สั่นเทาของทาคายะเอาไว้



ในขณะนั้นเอง ทาคายะเปล่งวาจาสั่นเครือ ด้วยพลังน้ำเสียงที่คล้ายจะบ่งบอกได้ทั้งรักและแค้นเคือง คำนั้นก็คือ...“นาโอเอะ!”...

จริงอยู่ว่าภาพลักษณ์บุคลิกภาพภายนอกของโฮโจ อุจิเทรุนั้นค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ที่น่าเชื่อถือได้ รูปกายที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นคล้ายนาโอเอะ (คิดไปเองรึเปล่านี่เรา แต่เราว่าคล้ายนะในแว้บแรกที่ออกมาเนี่ย ) แต่อย่างไรก็เป็นคนอื่นที่อยู่ไกลตัว เพราะเป็นการรู้จักกันครั้งแรกเท่านั้น...หากแต่!...การพบกันครั้งแรก ....ความน่าจะเป็นคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน ! กลับไม่ใช่เงื่อนไขที่จะเก็บกักความในใจอันปวดร้าวของทาคายะไว้ต่อหน้าอุจิเทรุได้ เขาระเบิดปัญหาทุกอย่างของตนออกมาให้อุจิเทรุรับรู้ อย่างชนิดที่อุจิเทรุเองก็คงจะแปลกใจเช่นกันที่พบกันครั้งแรก หนุ่มน้อยทาคายะก็พร่ำพูดถึงเบื้องลึกในภูมิหลังของตัวเองอย่างไม่ปิดบังเลยแม้แต่น้อย

ทาคายะระบายความในใจต่ออุจิเทรุชนิดหมดเปลือก ซ้ำยังยินยอมให้เขาได้ยินเสียงร่ำไห้และให้เขาได้เห็นหยดน้ำตารวมถึงท่าทางที่ทั้งกราดเกรี้ยวและอ่อนแอในทีเดียวอีกด้วย อุจิเทรุจึงได้รู้เรื่องราวของทาคายะมากพอสมควร ชนิดไม่ต้องสืบให้เหนื่อยแรง ( ก็เจ้าตัวเล่นบอกออกมาเองหมดเลยนิ) โดยเฉพาะการพูดถึงความร้าวฉานระหว่างเขาและนาโอเอะ ซึ่งแม้แต่นาริตะ ยูซุรุ เพื่อนสนิทที่รู้ใจทาคายะที่สุด ก็ยังไม่เคยได้ยินความดังนี้ออกมาจากปากทาคายะเลย อันนี้ก็ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่านากาฮิเดะและฮารุอิเอะจะได้ฟังเรื่องนี้มากเท่ากับอุจิเทรุในตอนนี้ด้วย...การณ์จึงน่าเหลือเชื่อเหนือความคาดหมายว่า “ทาคายะยอมเผยปัญหาให้อุจิเทรุฟังอย่างหมดใจ ทั้งที่อุจิเทรุเป็นแค่คนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น! แต่กับคนใกล้ตัวและเพื่อนสนิทกลับไม่เคยได้รับฟังความในใจของทาคายะแบบนี้เลย !”

แต่!...เป็นไปไหมได้ว่าทาคายะอาจจะรู้สึกคุ้นชินกับอุจิเทรุในฐานะพี่น้องแท้ๆ แล้ว ด้วยแรงสัมผัสแห่งเงาจิตความทรงจำในนามของ “อุเอสึงิ คาเงโทร่า” หรือก็คือ “โฮโจ ซาบุโร่” เพราะการที่เขาไว้วางใจชายคนนี้โดยไม่ได้ระแวดระวังความลับส่วนตัวเลยสักนิด ย่อมไม่น่าจะมาจากเหตุผลที่ธรรมดาในเชิงว่าอุจิเทรุคือคนที่อยู่ใกล้ตัวในช่วงเวลาสับสน หรือเป็นคนที่ช่วยเขามาจากข้างถนนและให้ที่พักพิงแก่เขาเพียงแค่นั้น เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเป็นตรรกะให้ทาคายะไว้วางใจคนอื่นได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น คงมีเพียงเหตุผลแห่งการที่พวกเขาทั้งสองคน แท้จริงแล้วก็คือผู้ร่วมสายเลือดเดียวกันมาในยุคเซ็นโกกุ จึงทำให้รู้สึกว่า “เขา” ที่พบกันเพียงครั้งแรกนี้ คือคนที่สามารถจะรับฟังความในใจของฉันทุกอย่างได้ นั่นเป็นหนึ่งฉากประทับใจ(+ ประหลาดใจ) ของเรา ที่ดูแล้วช่างเหมือนว่า “เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ”

อีกตอนหนึ่งเป็นฉากที่พวกเขาสองพี่น้องในฐานะผู้ครองร่าง มาสนทนากันที่ริมฝั่งโอดาวาระอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่พลัดพรากกันมานานร่วม 400 ปี



อุจิเทรุ : ทำไมเจ้าไม่กลับมาล่ะ?
ทาคายะ : กลับรึ?
อุจิเทรุ : ทำไมเจ้าไม่กลับมาหาเรา? นี่คือบ้านเกิดของเจ้า ... 400 ปีก่อน เจ้าถูกส่งไปเป็นบุตรบุญธรรมที่เอจิโกะ จบชีวิตตนเองในต่างแดน ไม่เคยกลับมาบ้านที่โอดาวาระ เจ้าอยากจะกลับมาหาครอบครัวไม่ใช่หรือ? ... กลับบ้านเถอะ ทุกคนรอเจ้าอยู่ กระทั่งท่านพ่อก็ด้วย ท่านได้ขอโทษเจ้าในใจเสมอมา
ทาคายะ : ท่านพ่อรึ?
อุจิเทรุ : ใช่...ท่านพ่อรักพวกเราทุกคนเท่าเทียมกัน...ซาบุโร่ , เจ้าคงจำได้ว่าความรักของท่านพ่อนั้นลึกซึ้งเพียงไหน เจ้าเป็นบุตรของท่านพ่อนะ เราเป็นบุตรของตระกูล “โฮโจ” ทิ้งอดีตอันขมขื่นไปเสีย และกลับมาสู่ตระกูล “โฮโจ”... มาสิ...



น้ำคำอันนี้ชวนให้ซึ้งใจ ไม่ว่าใครได้ฟังวาจาเช่นนี้ ย่อมหวนคิดถึง “บ้าน” และอดที่จะเชื่อใจผู้พูดเสียมิได้ เป็นการชักชวนให้น้องชายกลับ “บ้าน” ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นในถ้อยทีแห่งคำพูดนั้นเป็นที่สุด ซึ่งจุดนี้ทำให้ประเมินได้ว่า “โฮโจ อุจิเทรุ” ในเรื่องช่างมีวาทศิลป์ที่ยอดเยี่ยม ทำให้ทาคายะเองที่ค่อนข้างจะมีพื้นฐานหวาดระแวงไว้ใจคนอื่นยาก ก็พลันยอมศิโรราบมอบมือวางลงบนถ้อยคำที่หยิบยื่นมาให้นั้นอย่างเหมือนจะเชื่อถือในตัวเขา หากแต่ถ้าไม่ใช่เพราะสัมผัสถึงอะไรบางอย่างที่เป็นสื่อพลังพิเศษ อันทำให้ทาคายะสะดุ้งเฮือกถอยกลับออกมาอย่างหมาพองขนที่วางท่าทีระวังคนร้ายเสียยังไงยังงั้น ถ้าไม่มีจุดนี้เหนี่ยวรั้งเอาไว้ ทาคายะอาจยอมตามอุจิเทรุไปแล้วก็เป็นได้

สำหรับเราซึ่งป็นผู้ชม คำพูดแบบเดิมๆ ที่ว่าด้วยเรื่องความรักของท่านพ่อเป็นเช่นไรนั้น ฟังดูเหมือนจริงมากมาย แต่ก็ให้ความเคลือบแคลงได้เช่นกัน เพราะเมื่อเรื่องแต่ละประเด็นมาร้อยเรียงกัน ทำให้คิดได้ว่า หากเขารักลูกเท่าเทียมกัน เหตุใดจึงยอมส่งตัว “โฮโจ ซาบุโร่” ไปในนาม “บุตรบุญธรรม” ให้กับฝ่ายตรงข้ามครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งเหตุนี้แท้จริงแล้วก็ไม่ต่างจากเห็น “ซาบุโร่” เป็นเพียง “บรรณาการ” แก่ศัตรู หรืออีกนัย ก็คือ “ตัวประกัน” หรือเรียกง่ายๆ ว่า “เชลย” อย่างที่อุจิเทรุเคยว่าไว้ .... ตามบทสนทนาที่ได้ยกมานี้ นี่ไม่ใช่การส่งเขาไปเป็นตัวประกันเป็นครั้งแรก หากแต่ก่อนหน้านี้ เขาก็เคยไปเป็น “บุตรบุญธรรม” ของฝ่าย “ทาเคดะ ชินเง็น” มาแล้วด้วยเช่นกัน ( ตามประวัติศาสตร์มีกล่าวอยู่เช่นกันว่า อุจิเทรุก็ถูกส่งไปเป็นบุตรบุญธรรมในตระกูลโอชิ และอุจิคุนิก็ถูกส่งไปเป็นบุตรบุญธรรมในตระกูลฟูจิตะ ... เอ!? ...ทำไมโฮโจถึงนิยมธรรมเนียมส่งบุตรไปให้ตระกูลอื่นกันล่ะนี่ หรือว่าลูกมากไปเลี้ยงไม่ไหว [แอบคิดขำๆ อย่าเครียด!] ก็น่าห่วงนะ ลูกที่ไปอยู่ตระกูลอื่นนี่เขาจะเหงาใจขนาดไหน ยังไงก็ไม่ใช่“บ้านเกิด”ของพวกเขานี่นา )

[เอ่อ...เราขอนอกประเด็นนิดนึง อย่างนี้ “ซาบุโร่” หรือ “คาเงโทร่า” ก็คล้ายกับ “ลิโป้” ที่เตียวหุยขนานนามว่า “ไอ้ลูกสามพ่อ” น่ะสิ...อดคิดโยงไปถึงสามก๊กมิได้ เพียงแต่คาเงโทร่าคงจะไม่มีนิสัยคล้ายลิโป้ก็เท่านั้นเอง และสถานการณ์แบบ “ลูกสามพ่อ” ของลิโป้และคาเงโทร่าก็ต่างกัน ลิโป้ยอมเป็น “ไอ้ลูกสามพ่อ” เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ในขณะที่คาเงโทร่าอดทนต่อการเป็น “ลูกสามพ่อ” เพื่อวงศ์ตระกูลและแว่นแคว้น]

นอกจากนี้ ตามมูลเหตุตำนานเซ็นโกกุนั้น ซาบุโร่เองก็ต้องประสบกับบาดแผลทั้งทางร่างกายและจิตใจเพราะนโยบายนั้นของครอบครัว“โฮโจ”ด้วยเช่นกัน เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อที่รักลูกอย่างมากมายอย่างที่อุจิเทรุพรรณนาไว้สวยหรู ไฉนเขาจึงยอมให้ “ โฮโจ ซาบุโร่ ” ผู้เป็นบุตรต้องรับเคราะห์กรรมครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ด้วย ซึ่งอันนี้ก็ทำให้ไม่สู้จะเข้าใจความรักลูกของ “โฮโจ อุจิยะสึ” เท่าไรนัก

ย้อนมาถึงตัว “โฮโจ อุจิเทรุ” คำพูดของเขาในฉากเรืองแสงสีทองแห่งท้องฟ้า ณ ทะเลโอดาวาระนี้ น่านับถือตรงที่เป็นถ้อยคำน่าอบอุ่นใจ(คลายหวัด?) แต่ครั้นฉายภาพมาในตอนท้ายๆ ของการเชิญชวน เมื่อเขายื่นมือมาต่อหน้าทาคายะ (หรือก็คือซาบุโร่ในอดีต) ใบหน้าของอุจิเทรุในตอนนี้ กลับเปลี่ยนรูปลักษณ์ขัดแย้งกับคำพูดที่อบอุ่นจริงใจนั้นเหลือเกิน เห็นสีหน้าและแววตาไม่น่าไว้ใจอย่างนี้ ไม่ต้องมี “Sense”พิเศษแบบที่ทาคายะแว้บขึ้นมา แค่มองดูผิวเผินก็รู้สึกได้ว่าอย่ากลับไป “บ้าน” กับเจ้านี่เลยดีกว่า ท่าทางแฝงพิรุธชัดเจนชอบกลจริงๆ

อันนี้เสมือนกับเริ่มเผยความร้ายกาจมานิดๆ (รึเปล่า?) พอมาถึงฉากนี้ที่ว่าด้วยเรื่องการเจรจาให้ซาบุโร่เป็นเครื่องสังเวยบูชายันตร์อันจะนำมาซึ่งพลังของการสร้างศาสตราวุธใหม่ทางไสยเวท เพื่อเป็นกุญแจสู้สงครามมืด อุจิเทรุคัดค้านอย่างหนักหน่วง ท่วงทีที่เหมือนจะร้ายต่อน้องชายจึงแลดูอ่อนลง การปฏิเสธเพื่อปกป้องวิญญาณของโฮโจ ซาบุโร่อย่างถึงที่สุด ประโยคหนึ่งที่หลุดออกมาจากปากเขา พร้อมกับสีหน้าและแววตาที่แสดงออกถึงความละอายและความเจ็บปวด นั่นก็คือ ช่วงที่เขากล่าวขึ้นมาว่า

“เพื่อเหตุผลเดียวกันนี้ เมื่อ 400 ปีก่อน เรายังใช้ซาบุโร่ไม่พออีกหรือ!?”

ถ้อยคำเช่นนี้ย้ำให้เห็นว่า ใจจริงนั้น อุจิเทรุเขามิได้มีเจตนาประสงค์หรือยินดียินร้ายในการช่วงใช้น้องให้เป็นประโยชน์ทางการเมืองอย่างไร้จิตสำนึก และเขาเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะปกป้องน้องที่เขารักมาก แต่ข้ารับใช้ของอุจิมะสะกลับใช้ไม้ตายอ้างถึงว่านี่เป็นคำสั่งจากอุจิยะสึผู้พ่อ ทำให้อุจิเทรุเริ่มสั่นคลอนความตั้งใจจะปกป้องน้องที่ตนห่วงใย

ครั้นอยากจะยืนยันคนที่พอจะเห็นด้วยกับเขาก็ไม่มีใคร ด้วยแม้แต่โคทาโร่ซึ่งเป็นคนข้างกายก็ยังสนับสนุนให้ทำตามคำบอกจากอุจิมะสะ แม้เราจะคลางแคลงความรักน้องชายของอุจิเทรุอยู่บ้าง แต่ความลังเลที่เกิดขึ้นในตัวเขา ณ ตรงนี้ ก็ทำให้เราพอจะซึมซับรับรู้ได้ว่า “โฮโจ อุจิเทรุ” ไม่ใช่คนไร้หัวใจซะทีเดียว เขาพยายามแล้วที่จะปกป้องน้อง เพียงแต่น่าเสียดายตรงที่เขายังทำไม่ถึงที่สุด จึงทำให้การณ์ดำเนินไปตามแผนของอุจิมะสะผู้พี่นั่นเอง

แต่...ยัง....ยังหรอก...แผนของอุจิมะสะสำเร็จไม่ได้เด็ดขาด เพราะนายเอกจะมีอันเป็นไปก่อนพระเอกจะมาช่วยได้อย่างไร



แน่นอนว่า “นาโอเอะ โนบุทซึนะ” ผู้นี้ เมื่อได้รับสัญญาณอันตรายจากคาเงโทร่า เขาทิ้งความบาดหมางที่ยังค้างคาใจ ตรงไปค้นหาเงาร่างของคาเงโทร่าหรือทาคายะทันที เมื่อได้พบโฮโจ อุจิเทรุ เรื่องที่เขาเก็บวิญญาณน้องไว้ในกระจก “สิทซึกะ” จึงผ่านหูนาโอเอะ นาโอเอะโกรธมาก ถึงกับระบายอารมณ์ใส่อุจิเทรุในฉากนี้ขึ้นมา ลองมาดูท่านชายทั้งสองปะทะคารมกันดีกว่า




นาโอเอะ : (จ้องมองทาคายะที่นอนแน่นิ่งด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยเป็นห่วงจับใจ ) ...ท่านคาเงโทร่า
อุจิเทรุ : ข้าได้ผนึกวิญญาณของซาบุโร่ไว้ในกระจกสึทซึกะแล้ว ( นาโอเอะเปลี่ยนหน้าเศร้า หันแววตาไปทางที่เสียงพูดดังขึ้น สีหน้าเข้มถมึงทึง ) ...เขายังไม่ตายหรอก เขาได้รับการคุ้มครองด้วยพลังสวรรค์ของฮะโคเนะ กอนเง็น ( น่าจะเป็นเทพองค์หนึ่งแห่งสรวงสวรรค์ ) แต่กระทั่งพระเจ้าก็ยังไม่สามารถเก็บร่างไร้วิญญาณไว้ได้ตลอดกาล เขาจะอยู่ได้อีกสามวันเป็นอย่างมาก
นาโอเอะ : เอาเขากลับมา !
อุจิเทรุ : เป็นไปไม่ได้หรอก เจ้าต้องใช้กระจกชาย “สึทซึกะ” ( กระจกที่ใช้เก็บวิญญาณคือ “กระจกหญิง” ส่วนกระจกที่ใช้ปลดปล่อยวิญญาณ คือ “กระจกชาย” ) เพื่อที่จะปลดปล่อยวิญญาณที่ผนึก และกระจกนั่นก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
นาโอเอะ : ท่านเรียกตัวเองว่าพี่ชายรึ?
อุจิเทรุ : ข้าคือพี่ชายของคาเงโทร่า ,ซาบุโร่ ไม่ใช่พี่ชายของร่างเนื้อนี้ (หมายถึงร่างกายที่เป็น “โองิ ทาคายะ” ) ตราบใดที่วิญญาณของซาบุโร่ปลอดภัย ข้าก็ไม่สนใจอย่างอื่น
นาโอเอะ : อย่าเห็นแก่ตัวนักเลย! มันอาจเป็นช่วงชีวิตที่แสนสั้น แต่ก็เป็น 17 ปีที่ไม่สามารถมีอะไรมาแทนที่ได้ ! เป็นชีวิตที่มีค่าเท่ากับชีวิตของเขาในนาม “อุเอสึงิ คาเงโทร่า”...ข้าจะไม่ยอมยกโทษให้กับคนที่เหยียบย่ำชีวิตผู้อื่นอย่างท่าน!
อุจิเทรุ : เจ้าไม่ใช่รึ?...ที่เป็นคนเหยียบย่ำเขา...

( จบประโยคนี้แบบน้ำเสียงเชือดนิ่มๆ จากปากอุจิเทรุ นาโอเอะถึงกับสะดุ้งเฮือก ถลึงตาสั่นเทา แวววาวอย่างไร้ถ้อยคำจะโต้แย้ง เพราะอุจิเทรุกล่าวแทงใจจี้ตรงจุดเขาเข้าแล้วนั่นเอง )



อุจิเทรุ : ... แต่ไม่เป็นไร เจ้าไม่สามารถทำอะไรได้โดยไม่มีกระจกสึทซึกะ อย่างที่รู้ พวกของ “ฟูมะ” ดูแลบ้านนี้อยู่
ฟูมะ โคทาโร่ : ฉะนั้นอย่าพยายามทำอะไร เพราะยังไงมันก็ไร้ประโยชน์
อุจิเทรุ : เราเชิญเจ้ามา เพราะซาบุโร่อยากพบเจ้า จงดูร่างที่กำลังจะจากไปของเขาในห้องนี้ และสำนึกซะ รวมทั้งจำไว้ว่า เจ้าเป็นคนที่กำลังฆ่าชายหนุ่มผู้นี้เอง

สิ้นถ้อยความนั้น นาโอเอะเบือนใบหน้า ทอดสายตามองข้ามไหล่ไปทางทาคายะที่นอนนิ่งอยู่เบื้องหลังเขา สีหน้านาโอเอะกังวลเศร้าอย่างไร้คำโต้ตอบกับอุจิเทรุ

อืม...คิดดูอีกที อุจิเทรุนี่ก็วาจาคมจัดจริงๆนะ ขนาดนาโอเอะที่เจนจบเพียงนั้น ยังมาอึ้งเงียบได้ขนาดนี้นี่ ก็มิใช่เล็กน้อยเสียแล้ว พ่อคุณช่างพูดเก่งเป็นอย่างยิ่งนะคะนี่ ตอนแรกๆ ที่ชายทะเล ทาคายะฟังแล้วก็ยังเคลิ้มไปเลยด้วยนะ ( แหม! สมฐานะนักการทูตจริงๆ เลยนะคะท่านอุจิเทรุ ขนาดท่านพ่ออุจิยะสึยังเคยออกปากชมด้วยนี่นา )

ความรักที่อยากจะให้น้องได้อยู่ใกล้กับคนสำคัญ ปรากฏออกมาในอีกฉากหนึ่ง ที่นาโอเอะยืนมองริมฝั่งทะเลโอดาวาระ “โฮโจ อุจิเทรุ” เดินเข้ามาและกล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังกับนาโอเอะว่า “ ทำไมเจ้าถึงไม่อยู่เคียงข้างซาบุโร่!?” แต่นาโอเอะบอกว่าเขาไม่กล้าสู้หน้าเจ้านายที่ตนกำลังคิดจะทรยศ (แบบปลอมๆ เพราะมันเป็นแผนที่เราเคยกล่าวไว้ว่าอุจิเทรุต้องมาตกม้าตายด้วยอุบายเหลี่ยมจัดของนาโอเอะนั่นแล) คำกล่าวนี้เหมือนเขาจะรู้ใจน้องชายว่า ในวาระสุดท้าย น้องคงอยากจะให้นาโอเอะคอยอยู่เคียงข้างเขาตลอดเวลา



อืม...จุดนี้ แสดงว่าอุจิเทรุเองก็มีความเข้าใจ,เห็นใจและให้ความสำคัญกับความรู้สึกของน้องชายอยู่บ้างเหมือนกัน แต่ตรงนี้หากคิดแบบพลิกแพลงอีกแง่มุมหนึ่งก็อาจจะพบข้อควรงงอยู่เช่นกัน เพราะคนที่พูดกับอุจิเทรุออกไปตรงๆ ว่าไม่อยากให้นาโอเอะทิ้งเขาไปน่ะ น่าจะออกมาจากความรู้สึกของทาคายะ (ในตอนที่เขาระบายคำพูดพรั่งพรูใส่อุจิเทรุ มีดื่มน้ำแล้วปาแก้วทิ้งจนแตกเพล้งด้วยนั่นแล ) ส่วนความรู้สึกของคาเงโทร่านี่ มันจะใช่อย่างที่ทาคายะต้องการแล้วพูดออกมาอย่างนั้นเลยหรือ? ตกลงคุณพี่ชายท่านเข้าใจน้องชายที่เป็นคาเงโทร่า(หรือก็คือโฮโจ ซาบุโร่) หรือว่าเข้าใจน้องชายที่เป็นทาคายะกันแน่ล่ะนี่!? [หรือว่าเข้าใจรวมกันทั้งสองคน จนออกมาเป็นความหมายแบบนี้]

แต่...ไม่ว่าเขาจะเข้าใจน้องชายที่เป็นร่างไหนก็ตาม เขาก็เป็นพี่ชายที่ช่างสังเกตพฤติกรรมและช่างจดจำปกติวิสัยของน้องชายตนเองอย่างไม่ลืมเลือน จนเหมือนเป็นความน่ารักที่ทำให้นึกปลื้มในตัวอุจิเทรุขึ้นมาชนิดอดไม่ได้ที่จะแอบยิ้มเล็กยิ้มน้อยเมื่อได้ชมฉากนี้ ก็คือในคราที่นาโอเอะหยิบมวนบุหรี่ออกมาหมายจะจุดสูบ ทางอุจิเทรุเห็นบุหรี่นั่นเข้า ด้วยคงจะนึกโยงไปถึงซองบุหรี่ที่ทาคายะเคยเอามาจุดเล่นแล้วมองมันมอดไหม้ไปอย่างเหงาเศร้าอยู่ข้างถนน และเมื่อแรกที่ทาคายะมาพักอยู่กับเขา ทาคายะก็มักจ้องมองซองบุหรี่นั้นอยู่บ่อยๆ อุจิเทรุอาจจะเชื่อมโยงความได้ดังนั้น จึงยั้งข้อมือนาโอเอะที่กำลังจะยกมวนบุหรี่ขึ้นสูบนิดนึง พลางกล่าวขึ้นมาด้วยดวงตาคมวาว ฉายแววรู้ความนัยบางอย่างว่า



อุจิเทรุ : ข้านึกแล้ว!
นาโอเอะ : อะไรครับ?
อุจิเทรุ : ตอนที่ข้าพบซาบุโร่ เขาไม่ใช่ซาบุโร่ที่ข้าเคยรู้จัก .... เขาเป็นเด็กที่ยังไม่โต มีหัวใจอันเปราะบาง ... ทำไมซาบุโร่ถึงได้ทิ้งความทรงจำไป?
นาโอเอะ : อาจเป็นเพราะความเกลียดชังที่มีต่อข้า....ไม่น่าจะมีเหตุผลอื่นอีก
อุจิเทรุ : เขาบอกว่า เขาแปลความหมายความอ่อนโยนของเจ้าผิดไป
นาโอเอะ : เข้าใจผิดรึ?
อุจิเทรุ : เขาบอกว่าเขาเป็นตัวแทนของคาเงโทร่า ... ข้ามั่นใจว่าเขาคงเหงา เขาไม่สามารถเปิดใจให้กับคนที่เขาต้องการเปิดใจให้ได้ นี่คือผลที่เขาต้องเผชิญจากการวิ่งหนีอดีต

ช่วงเวลาที่นาโอเอะและอุจิเทรุคุยกันอย่างในฉากนี้ มันเป็นบรรยากาศที่เหมือนไม่ใช่ศัตรูคุยหยั่งเชิงกัน หากแต่เป็นคนสองคนที่ห่วงใยคนสำคัญคนเดียวกัน และกำลังพูดคุยถึงคนผู้นั้น



ซึ่งทำให้มองดูแล้วก็อบอุ่นน่ารักดี อีกทั้งถ้อยคำของอุจิเทรุที่ว่า “ตอนที่ข้าพบซาบุโร่ เขาไม่ใช่ซาบุโร่ที่ข้าเคยรู้จัก ...เขาเป็นเด็กที่ยังไม่โต มีหัวใจอันเปราะบาง ... ทำไมซาบุโร่ถึงได้ทิ้งความทรงจำไป?” นอกจากจะแสดงถึง “ความรู้ใจ” และ “รู้จักวิสัยแห่งตัวตน”น้องชายของตนแล้ว เขาเองก็มีความห่วงใยซาบุโร่หรือคาเงโทร่าไม่น้อยไปกว่านาโอเอะเช่นเดียวกัน

เพียงแต่!...เรื่องที่ภายนอกเขาดูเหมือนจะไม่สนใจโองิ ทาคายะนั้น ออกจะเป็นสิ่งที่เขาพูดกลบเกลื่อนไปเองหรือไม่ ตรงนี้ยังตีความไม่กระจ่างเท่าใดนัก เพราะถึงยังไงไม่ว่าจะเป็นร่างเนื้อในปัจจุบันที่ชื่อโองิ ทาคายะ หรือผู้สถิตร่างนั้นในนามโฮโจ ซาบุโร่ซึ่งอีกชื่อหนึ่งคืออุเอสึงิ คาเงโทร่า แต่ทั้งสองก็คล้ายจะอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียว หากจะให้แยกออกจากกัน สำหรับผู้ที่รักน้องชายมากจริงๆ เขาตัดใจแยกแยะออกไปได้อย่างสิ้นเยื่อขาดใยเลยหรือ?

มนุษย์มีกล้ามเนื้อหัวใจที่นิ่มนวล มิใช่แข็งกร้าวปานหินผา จากคำพูดจาของฟูมะ โคทาโร่ที่กล่าวไว้ว่า ร่างเปล่าของทาคายะนั้น พวกเขาอยากจะสับเป็นชิ้นๆ แต่สำหรับอุจิเทรุที่รักน้องชายมาก คงไม่อนุญาตให้พวกเขาทำเช่นนั้นได้ จุดนี้ก็เป็นนัยให้คิดได้เล็กน้อยว่าโฮโจ อุจิเทรุเอง หากเลือกได้คงไม่อยากจะทำลายโองิ ทาคายะไปเพียงเพราะจะเอาร่างวิญญาณของคาเงโทร่าออกมา เพราะเมื่อไม่มีคาเงโทร่า ทาคายะก็ตาย ( แต่คาเงโทร่าหากไม่มีทาคายะ...ก็ไม่ตาย! ....เฮ้อ! รู้สึกคาเงโทร่าเอาเปรียบทาคายะยังไงไม่รู้นะ ) คนเราเห็นหน้ากันเรียกขานกันว่าพี่น้องแม้จะเป็นแค่เพียงเปลือกนอก และเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ผู้มีจรรยาดีงามอย่างโฮโจ อุจิเทรุคงไม่อาจเมินต่อชีวิตทาคายะได้อย่างไร้จิตคนึงถึง เราหวังว่าความจริงในใจเขาคงจะเป็นเช่นนี้จริงๆ

แต่...ครั้นวิพากษ์ไปวิพากษ์มาก็สับสนเหมือนกัน ห่วงก็เหมือนว่าจะห่วงน้อง แต่เขาก็ยังนำน้องแยกออกจากร่างปัจจุบัน และยังจะเอาไปบูชายันต์อีกด้วย แม้อุจิเทรุจะไม่เต็มใจทำ แต่แค่ฝืนใจทำอย่างนี้ก็ยังนับว่าโหดร้ายอยู่ดี

มีอยู่ฉากหนึ่งที่เหมือนจะเป็นเพราะอุจิเทรุอมทุกข์เรื่องนำซาบุโร่มาบูชายันตร์ เขาคงอัดอั้นจนไประเบิดอารมณ์ต่อหน้าผู้ประกอบพิธีกรรมจำนวนมาก ซึ่งพวกนั้นเองก็ตะลึงงันกับการลงไม้ลงมือของอุจิเทรุ ( ทำอย่างกับไม่เคยเห็นท่านชายโฮโจตบหน้าผู้ชายซะอย่างนั้นเลยทีเดียว ) เพราะเมื่อนาโอเอะเดินเข้าในประลำพิธีหลังเสร็จภารกิจ(ลวง)จัดการร่างทาคายะแล้ว(แบบปลอมๆ ) ทันทีที่อุจิเทรุได้เห็นสีหน้านาโอเอะในตอนนั้น ก็พลันบูดบึ้ง เค้นเสียงเข้มหนักหน่วงออกมาว่า

“เจ้าทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาเลยได้ยังไง !? ถ้าซาบุโร่รู้ว่าเจ้าเป็นผู้ชายที่เลือดเย็นแค่ไหน เขาคงไม่ต้องทรมานใจขนาดนั้น”

สิ้นคำพูดนั้นก็เกิดเสียงดัง “เพี๊ยะ!” ตามมาทันที นาโอเอะหน้าหันไปนิดนึง คุณชายแห่งโฮโจดูเหมือนจะชักฝ่ามือเข้ามาเล็กน้อยแล้วกุมกำมือเค้นความแค้นใจอยู่พักหนึ่ง จึงค่อยเดินไปเข้าพิธีตามเดิม



[ อันนี้ขอนอกประเด็นเพื่อแซวเล็กน้อย แหม! คุณชายโฮโจ อุจิเทรุ...ตามปกติวิสัยแล้ว ลูกผู้ชายเขาไม่นิยมตบหน้าสั่งสอนกันมิใช่รึ? ส่วนใหญ่เรามักจะเห็นเขาชกหรือต่อยหน้าสั่งสอนกันมากกว่านะ แต่ก็อย่างว่า ด้วยท่านอุจิเทรุเขามีบุคลิกแบบคุณชาย คงไม่ค่อยนิยมวิธีรุนแรงเกินไป(?) คิดว่าต่อยคงแรงกว่าตบ(?) จึงไม่อยากใช้ความรุนแรงมากเกินไป(?) แต่ก็ส่งผลดีต่อใบหน้านาโอเอะเขานะ จะได้ไม่เจ็บมาก (อดห่วงเฮียเขาไม่ได้ ก็ขวัญใจเรานิ) แต่ฉากตบหน้านี่ ทำไมเราติดใจนักก็ไม่รู้นะ อาจเพราะมันจี๊ดขึ้นมานิดนึงเมื่อคิดว่า การตบนี่มันงานถนัดของสตรีนี่นา...มิใช่หรือท่านโฮโจ !? ]

การที่โฮโจ อุจิเทรุไม่พอใจท่าทีเย็นชาของนาโอเอะที่มีต่อการทำเรื่องร้ายๆ ต่อคนสำคัญของกันและกันนั้น ส่วนหนึ่งก็ไม่ค่อยแน่ชัดว่าเขาไม่พอใจเพราะเข้าใจว่า

1. นาโอเอะจัดการร่างโองิ ทาคายะแล้ว แต่ไม่มีทีท่าเสียใจเลย ช่างน่ารังเกียจ ...เจ้าคนไร้หัวใจ !

หรือจะเพราะอีกแง่มุมหนึ่งว่า

2. ทั้งๆ ที่วิญญาณคาเงโทร่า(หรือซาบุโร่)กำลังจะถูกแปรสภาพไปตลอดกาลด้วยการบูชายันต์ แต่นาโอเอะที่เป็นคนสำคัญของคาเงโทร่ากลับมาเข้าประลำพิธีนั้นแบบไม่มีท่าทางอาทรร้อนใจเลยสักนิด คนอะไรช่างโหดร้ายเหลือทน! ไม่ห่วงใยคาเงโทร่าบ้างเลยรึไงกัน!?

หรืออาจจะทั้งสองข้อเหมารวมกันเลยก็อาจเป็นไปได้ นี่ก็เป็นบทบาทแบบพี่ชายแสนห่วงใยน้องชายอีกบทหนึ่ง ไม่มีพี่ชายคนใดทนเห็นคนสำคัญของน้องตัวเอง ทำตัวเฉยชาเหมือนน้องของเขาไม่มีความสำคัญต่อคนผู้นั้นเลยได้หรอก เพราะความรักน้องก็อยากเห็นคนของน้อง หันมาเหลียวแลห่วงใยน้องเขาบ้างนั่นเอง

แม้จะเป็นไปตามแผน แต่นาโอเอะเล่นไม่สะท้านสะเทือนใจบ้างเลยนี่ อุจิเทรุคงกริ้วความใจดำของนาโอเอะ ก็คนเรารักและผูกพันกัน แม้จะอย่างไร แต่เมื่อพบเรื่องน่าเศร้า คงไม่มีใครทำเป็น “หัวใจศิลา” อยู่ได้อย่างหน้าตาเฉย นี่แสดงว่านาโอเอะเขายังไม่เนียนนะเนี่ย เพราะความไม่เนียนเลยถูกตบซะงั้น (แอบสมใจอยู่นิดหน่อย แต่โชคร้ายจังนะนาโอเอะ ก่อนหน้านี้ก็ถูกน้องชายอุจิเทรุ (คือทาคายะนั่นไง) ตบไปป้าบหนึ่งแล้วนิ๊ พอมาถึงมือพี่ชายเขาก็โดนอีก ชินเข้าไว้ ชินเข้าไว้นะจ้ะ เดาว่าถ้าคาเงโทร่าฟื้นเมื่อใด หน้านาโอเอะจะต้องหนาพอที่จะรับมือคาเงโทร่าได้อีกหลายกระบวนอ่ะนะ)

โฮโจ อุจิเทรุในฉากตบนาโอเอะนี้ ก็แค่อยากให้นาโอเอะให้ความสำคัญกับน้องชายเขา อย่างที่เขาให้ความสำคัญกับน้องชาย และน้องชายเขาก็ได้ให้ความสำคัญกับนาโอเอะ....ก็เท่านั้นเอง อุจิเทรุคงยอมไม่ได้ที่เห็นนาโอเอะมาทำหน้าตาแบบ “หัวใจศิลา” ในการร่วมพิธีกรรมทำลายน้องชายสุดที่รักของเขาอย่างนี้

สิ่งนี้ก็ทำให้เห็นได้อีกแง่หนึ่งว่า อุจิเทรุถึงมิใช่คนดีหมดจด แต่ก็มิใช่คนเลวหมดใจ เขาไม่ได้ใจมืดมิด แต่ก็ไม่ได้ใจสว่างจ้าเสียทีเดียว ลักษณะโดยรวมของเขาค่อนก้ำกึ่งระหว่างสีดำและสีขาว และเป็นความก้ำกึ่งที่เกิดขึ้นเพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูล “โฮโจ” ไดเมียวผู้ที่ต้องกุมชะตาอำนาจไว้เพื่อความอยู่รอดของตนเอง และก้ำกึ่งด้วยความที่เขาเป็นคนที่รักและห่วงใยน้องอย่างพี่ชายแสนดีคนหนึ่งจะพึงมอบความปรารถนาดีให้น้องได้

แต่แท้จริงแล้ว ในซีนส์ที่ว่าด้วยนาโอเอะถูกตบหน้านั้น นาโอเอะเขาไม่ได้จัดการทาคายะจริงๆ และที่มานี้ ก็ด้วยจุดประสงค์ซ้อนแผนร้ายต่อพิธีกรรมของโฮโจ ดังนั้นสีหน้าตอนนั้นก็เลยดูจะไร้อารมณ์ไปเสียหน่อย (คนมันกำลังเครียด เข้าใจไหมท่านชายโฮโจ!) วันหลังจะซ้อนแผนเขา ก็หัดทำเนียนกว่านี้นะเฮียนาโอเอะ รู้จักไหมคำว่า “สมบทบาท” น่ะ! (เดี๋ยวเฮียเขาจะตอบกลับมาว่าอย่างนี้รึเปล่านะ )

“ ช่วงนั้น คนมันกำลังเครียด....ไม่มีเวลามานงมาเนียนอะไรทั้งนั้นล่ะ!(โว้ย!) ”

เครียดไม่เครียด ก็ลองมาพิสูจน์กันได้จากภาพที่เราแอบซุ่มถ่ายเขาทำศึกชิงนาง เอ้ย! ชิงน้องชายมาจากโฮโจ อุจิเทรุก็แล้วกัน เอาจริงเอาจังกันน่าดูเลยนะนี่ฉากนี้



( [นอกเรื่องนิดนึง]....ชอบโฮโจ อุจิเทรุในฉากนี้มาก เพราะว่าที่ผ่านมา เขามักจะใส่ชุดแบบญี่ปุ่นๆ ซึ่งก็ดูเป็นผู้ดีอยู่แล้วนะ แต่พอมาใส่สูท โอ้ย! หัวใจเราละลายเลย เท่ห์มากมาดแมนเข้ากันกับชุดสูทไม่แพ้นาโอเอะเลยทีเดียว ว่าอย่างนี้แล้ว เหมือนเราจะเป็นพวก “สูทลิซึ่ม” ยังไงก็ไม่รู้นะนี่ )

ในที่สุด เมื่อเฮียนาโอเอะ บึ้ม! พวกข้ารับใช้โฮโจเสร็จ ก็เหนื่อยหอบซะตัวโยนเลยทีเดียว แต่อุจิเทรุนี่อึดและทนมาก จะด้วยพลังรักน้องชายหรือไงไม่ทราบ ตอนนี้เฮียเขายังไม่ได้โดนบึ้มตายแต่ก็สะบักสะบอมพอควร นาโอเอะช่างโหดร้ายทำเอาอุจิเทรุหมดเรี่ยวหมดแรงฟุบไปเลยทีเดียว แต่ก็ยังใจสู้ ขอร้องนาโอเอะด้วยใบหน้าน่าสงสารจับใจเรา...(แต่กับนาโอฯ ..?..)



นาโอเอะ : ท่านคาเงโทร่า
อุจิเทรุ : ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป เอาเขาคืนมา คืนเขามาให้ข้า
นาโอเอะ : ข้าจะไม่ให้เขากับท่าน!
อุจิเทรุ : คืนน้องชายข้ามา
นาโอเอะ : ท่านจะไม่ได้เขาไป!

ว่าแล้วนาโอเอะก็จัดการปิดฉากผู้ครองร่างในนามโฮโจ อุจิเทรุไปในครั้งนี้ด้วยเปลวไฟในอุ้งมือนั่นแล ดูๆไปฉากนี้เราก็ซาบซึ้งใจในความห่วงหาอาลัยรักน้องของอุจิเทรุเขานะ และแม้จะชอบนาโอเอะมาก แต่ดูฉากนี้ทีไรก็แอนตี้นาโอเอะในจุดที่ช่างใจร้ายจัง พรากพี่พรากน้อง ฉุดลากน้องเขาหนี(ตามกัน)ไปแล้ว ยังมาทำร้ายพี่ชายเขาอีก คาเงโทร่าต้องจัดการซะบ้างนะ รู้สึกนาโอเอะทำรุนแรงเกินไปนี่นา ( น่าจะทำให้มันถูกต้องธรรมเนียมหน่อย แบบเข้าหาทางผู้หลักผู้ใหญ่เข้าไว้....อ้าว! ไม่ช่ายยยย ล้อเล่นนิดนึง แหม! ยังไงอุจิเทรุนี่ก็ทั้งหวงและห่วงน้องชายเอามากๆ นั่นแหละนะ แต่ดูดีๆ[แบบลึกๆ] รู้สึกแปลกชอบกลเหมือนกัน เหมือนกับขอคนรักคืนมากกว่าขอน้องชายคืน นาโอเอะก็หวงซะจนกอดกระจกที่มีวิญญาณคาเงโทร่าผนึกอยู่อย่างแนบแน่น แม้ลมกลิ้งคลุกดินคลุกฝุ่น ก็ไม่ยอมให้กระจกคลุกด้วยก็แล้วกัน โฮโจนี่ก็ตามตื้อทวงเอายิ่งกว่าเจ้าหนี้ทวงลูกหนี้ อืม...ความรักรุนแรงเหลือล้ำปณิธานนะนี่ ฝ่ายหนึ่งรักเจ้านายแบบถวายชีวิต(+ถวายตัว) , อีกฝ่ายรักน้องยิ่งชีพ )

ความรู้สึกสับสนว่าเขารักซาบุโร่และอยากจะปกป้องซาบุโร่จริงหรือไม่นั้น เป็นข้อกังขาที่พลันสลายไป เมื่อมาถึงฉากตอนท้ายที่ร่างวิญญาณของเขาเข้ามาขัดขวางโฮโจ อุจิมะสะผู้พี่เอาไว้ ไม่ให้ลงคมดาบไปที่คอหอยของทาคายะ

โฮโจ อุจิเทรุที่ปรากฏเรือนร่างเพียงบางเบา แต่กลับมีความตั้งใจหนักแน่นที่จะปกป้องน้องชายตนเองอย่างสุดชีวิตในวินาทีนี้ เขาสกัดร่างที่ดิ้นรนของพี่ชายอุจิมะสะเอาไว้ พลางบอกให้คาเงโทร่าร่ายมนต์ปราบวิญญาณ ส่งพวกเขาไปยังโลกที่ควรจะไป ซาบุโร่ส่ายหน้ากล่าวเสียงสั่นว่า ทำไม่ได้ เขาฆ่าพี่ชายอย่างอุจิเทรุไปด้วยไม่ได้ (เพราะการใช้มนต์บิชามอนเท็นครั้งนี้ มีขอบข่ายที่จะทำให้อุจิเทรุต้องพลอยได้รับผลกระทบไปพร้อมกับอุจิมะสะด้วย)

อุจิเทรุกล่าวด้วยดวงหน้าที่เราเห็นแล้วจดจำตรึงตราอยู่ในใจท่ามกลางน้ำตาสั่นไหวและไหลรินออกมาอย่างยากจะห้ามได้ เพราะภาพที่ได้รับชมตรงหน้าเรา นั่นคือดวงหน้าอันอ่อนโยน แต่มีพลังแห่งความเด็ดเดี่ยวอย่างล้ำลึก เขาไม่ได้ลังเลใจเหมือนคราวตัดสินใจกักวิญญาณน้องไว้ในกระจก และไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด เหมือนคราวคล้อยตามความคิดจะบูชายันต์ซาบุโร่ หากแต่เขาในตอนนี้มีแววตาที่ซื่อตรงอย่างยิ่งว่า

“ครั้งนี้ข้าต้องการที่จะช่วยชีวิตเจ้าให้ได้”




ความเด็ดเดี่ยวของอุจิเทรุ สยบซาบุโร่ให้ยอมเปล่งมนต์บิชามอนเท็นคำสุดท้ายออกมาอย่างกล้ำกลืนฝืนใจเหลือทน ทันทีที่มนต์คำว่า “Chobuku!” ลั่นออกมาจากปากเขา ภาพของพี่ชายที่แสนดีก็เลื่อนลอย รางเลือนลับตาไปตลอดกาล คาเงโทร่าทำได้เพียงตะโกนร้องก้องกังวาลว่า “ท่านพี่!” ได้เพียงคำเดียวที่สุดเสียงอย่างร้าวรานใจ

การเสียสละครั้งเดียว ครั้งสุดท้าย ในครั้งนี้ของโฮโจ อุจิเทรุ ได้พิสูจน์น้ำใจความรักน้องของเขาอย่างชัดเจนแล้วว่า นี่เป็นสิ่งที่เขาอยากทำเพื่อซาบุโร่มาโดยตลอด เพียงแต่เขาไม่มีโอกาส และอาจจะไม่มีทั้งความกล้าเพียงพอที่จะทำ แต่ครั้งนี้เขาพร้อมที่จะทำในสิ่งที่เขาติดค้างในใจมาโดยตลอด โดยที่ความขลาดกลัวใดใดไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเขาอีกแล้ว



เอ้า! น้องทาคายะ(ซาบุโร่ ,หรืออีกชื่อคือคาเงโทร่า...เรียกมันทุกชื่อสิน่า ) พี่ชายใจดียอมสละชีพเพื่อเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว นายเองก็อย่าลืมความเสียสละนั้นซะล่ะ



เพราะชีวิตนับจากนี้ของนาย สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากการเสียสละของพี่ชายคนนี้ “โฮโจ อุจิเทรุ”!







 

Create Date : 27 สิงหาคม 2551
3 comments
Last Update : 30 สิงหาคม 2551 17:08:48 น.
Counter : 2111 Pageviews.

 

ค่อนข้างจะเป็นบทความที่ใช้เวลาสร้างนานเอามากๆ และบวกกับการลงบล็อกที่แสนลำบาก เนื่องด้วยจำนวนตัวอักษรทั้งหมดที่ใช้ มันเกิน 40,000 จนบล็อกมันปฏิเสธไม่ให้ลง ต้องใช้เวลาตัดทอนและชั่งใจอยู่นาน บางทีต้องทิ้งไปทั้งย่อหน้าเลยก็มี ซึ่งตรงนี้ก็ยอมรับว่า เราค่อนข้างชื่นชอบอุจิเทรุอยู่มาก การเขียนถึงเขา จึงมีอะไรที่พิเศษมากมาย และรู้สึกกระชุ่มกระชวยทุกครั้งที่มองดูรูปและเขียนข้อมูลของเขา บวกกับการแปลเรื่องราวของเขาในประวัติศาสตร์ ซึ่งเรายอมรับว่าอาจจะแปลได้ไม่ดีนัก เพราะไม่เก่ง Eng อะไร แต่ก็พยายามอย่างสุดกำลังแล้ว ในการถ่ายทอดเบื้องหลังเบื้องลึกของเขาออกมา

เราว่าชีวิตของอุจิเทรุนั้นน่าเห็นใจทั้งในชีวิตจริงตามบันทึกประวัติศาสตร์ และบทบาทใน M.O.B. อ่านความเป็นมาของเขาแล้วค่อนข้างไม่ชอบฮิเดโยชิขึ้นมาอย่างแรง เพราะบีบให้อุจิเทรุต้องทำเซ็ปปุคุ ( หรือที่ส่วนใหญ่เรียกเพี้ยนว่า "ฮาราคีรี" ซึ่งเป็นที่นิยมใช้อย่างแพร่หลายไปทั่วโลก ก็งงนะ จาก “เซ็ปปุคุ” แผลงเป็น “ฮาราคีรี” เสียงศัพท์ต่างกันมากๆ ) อยากรู้จังนะว่าใน M.O.B เนี่ยเจ้าฮิเดโยชิมันจะมาไม้ไหนอีก และจบด้วยไม้ตายแบบไหนด้วย

ส่วนข้อมูลว่าด้วยตระกูลโอชิ ที่อุจิเทรุเคยถูกส่งตัวไปเป็นบุตรบุญธรรมอยู่ที่นั่น เราค้นหาได้ความว่าเป็นหนึ่งในตระกูลไดเมียว แถบสุโอะและเขตนางาโตะ ซึ่งจุดนี้ทำให้คิดประเมินการณ์โดยเชื่อมกับความที่ว่าโฮโจยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้จากการ "หักหลังและล้มล้างผู้ที่ดีกว่า" เพราะไส้ศึกที่ส่งไป ก็คือลูกๆ ของโฮโจ ที่ยอมเสี่ยงภัยไปเป็นลูกมากกว่าหนึ่งพ่อกับฝ่ายตรงข้าม

ออกจะเขียนไปทางเริ่มต้นเครียด และผ่อนคลายลงไปในตอนท้ายๆ เพราะ โฮโจ อุจิเทรุ นั้นเป็นหนึ่งในบุคคลของยุคเซ็นโกกุ ที่ได้มาโลดแล่นบทบาทใน "Mirage of Blaze" จริงอยู่ว่าเขาเป็นเพียงดารารับเชิญ แต่บทและ Character Design ของเขาเป็นอะไรที่ลืมไม่ลงจริงๆ โดยเฉพาะชั้นเชิงทางคำพูด ซึ่งนับว่าคมคายสอดคล้องกับที่ตัวจริงของเขาเป็นนักการทูตชั้นยอด อย่างที่อุจิยะสึเคยชื่นชม

สุดท้ายก็คงต้องขอขอบพระคุณแหล่งข้อมูล ที่ทำให้บทความนี้ได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาได้ขนาดนี้
บรรณานุกรม

Sengoku Biographical ,
//www.samurai-archives.com/dictionary/index.html

คุณ “วัชระ ( EE. Jump )” , ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ,
//www..se-ed.net/pcgamezip/japan.htm

คุณ “Eagle” , ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ยุคเซ็นโกกุ ,
เว็บเด็กดีดอทคอม.

คุณ “เทพอหังกาฬ” , ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ,
เว็บบอร์ด MuSiam Online , 2551.

 

โดย: หงส์อรุณ 27 สิงหาคม 2551 1:20:25 น.  

 

้ตามมาอ่านอีกแล้วคะ
เห็นด้วยคะ ชีวิตของอุจิเทรุตามประวัติศาสตร์น่าสงสารไม่แพ้ในมิราจ
เราเองก็ชอบบทบาทของอุจิเทรุมากเหมือนกันคะ โดยเฉพาะฉากที่อุจิเทรุเข้ามาหยุดอุจิมาสะไว้และทาคายะจำต้องชำระวิญญาณอุจิมาสะและอุจิเทรุไปพร้อมกัน ซึ้งมากๆ
ขอแย้งนิดหนึ่งคะ ตอนที่อุจิเทรุหว่านล้อมทาคายะให้กลับมาโฮโจแล้วทาคายะกลับเปลี่ยนท่าทีเป็นแข็งกร้าวเป็นเพราะเขาพลันนึกถึงเคนชินขึ้นมาคะ

 

โดย: erascal IP: 118.10.105.144 31 สิงหาคม 2551 18:18:36 น.  

 

ตามมากรี้ดดดดดดดดดดดดดด
อีกหลายๆ ที ค่า คุณ หงส์อรุณ วิเคราะห์+บรรยายได้สุดยอดมากๆค่ะ
เรื่องนี้เราก็ได้ดูแล้วเหมือนกันแต่เก็บรายละเอียด
ไม่ได้เท่าคุณ หงส์อรุณ บางตอนพอได้มาอ่านของคุณ หงส์อรุณ
จึงถึงบางอ้อ ว่าตรงนี้เป็นอย่างนี้น่ะ

ชอบๆๆ ค่า จะรอบทวิเคราะห์ครั้งต่อไปน่ะค่า

จริงด้วยค่าคุณ หงส์อรุณ ได้อ่านการ์ตูนเรื่องwild adapter มั่งหรือเปล่าค่ะ อยากให้คุณ หงส์อรุณ ได้อ่านเรื่องนี้จังเผื่อคุณ หงส์อรุณ จะได้มาวิเคราะห์เรื่องนี้ให้ฟังบ้าง

 

โดย: sentoon IP: 118.174.200.86 10 กันยายน 2551 23:54:25 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


หงส์อรุณ
Location :
ราชบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หงส์อรุณ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.