Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
12 สิงหาคม 2551
 
All Blogs
 
รักวิปโยคแห่งเซ็นโกกุ : สู่โศกนาฏกรรมหัวใจใน “Mirage of Blaze”

“เจ้าหญิงซายูริ”.... คู่รักคู่แค้นของนายซัทสะ นาริมาสะ


อันนี้ต้องเรียกแบบไทยๆ ว่า “คู่กรรม” เวอร์ชั่น SM ดีไหมนี่!? ก็...เฮ้อ!...มันช่างเหมือนกับเป็น“รักทรมาน” ของ“อังสุมาฯซายูริ” กับ “โกโบริ ซัทสะ” ยังไงยังงั้นเลยอ่ะ

ตำนานเจ้าหญิงซายูริ ที่ทำให้ดอกซากุระอันแสนหวานกลายเป็นยาขมไปโดยปริยาย ก็ตามท้องเรื่องใน “Mirage of Blaze” ภาคนิยายกล่าวไว้ว่า เริ่มพบรักกันที่ต้นซากุระ แต่ความรักก็มาจบชีวิตซายูริลงอย่างทุกทรมานแสนสาหัสที่ต้นเอโนคิ ซึ่งนับเป็นรุ่นสองของกิ่งซากุระนั้น ( โอย!...สยิวฉากแขวนโยงไว้กับต้นไม้นั้นอย่างกับค้างคาว แล้วเฉือนเนื้อซายูริออกมาทีละชิ้นๆ เฉือนไปก็ฆ่าญาติๆ ซายูริไปด้วยต่อหน้านางทีละคน ๆ สามีอะไรนี่! หูเบาว่าภริยาตัวเองมีชู้ แล้วยังโหดซาดิสก์ซะขนาดนี้เนี่ย! ) ซึ่งบริเวณที่ตั้งต้นซากุระแห่งรักวิปโยคของซายูริและซัทสะนั้นเรียกขานกันว่า [เนินดินอิโซเบะ] และที่นั่น ก็ยังคงตระหง่านอยู่ ณ จังหวัดโทยามะตราบจนถึงปัจจุบัน

ด้านความเป็นมาของทั้งคู่นั้น เราคงไม่กล่าวอะไรมากนัก เอาเป็นว่ารักมากก็แค้นมากนั่นเอง แค่ความหวาดระแวงอย่างไร้เหตุผล (บวกไม่ยอมสืบสายปลายเหตุ แบบว่ามั่วคิดเอาเอง) ก็เป็นชนวนให้คนผู้หนึ่งที่เคยรักมาก กลายเป็นปิศาจที่ฆ่าได้ทุกคนแม้แต่คนที่ตนรักมากที่สุด

ตอนแรกที่เริ่มปมเรื่องคู่รักวิปโยคนี้ขึ้นมา เราล่ะเกลียดEตาซัทสะเข้าไส้ และแม้เรื่องจะจบไปแบบชดใช้ด้วยชีวิตแล้วก็ตาม ก็ยังคงต่อต้านลักษณาการเช่นนี้อยู่ เพราะสิ่งที่ซัทสะได้ชดใช้ไป มันเรียกคืนห้วงเวลาในอดีตของซายูริกลับมาไม่ได้อีกแล้ว ไปอยู่ด้วยกันชั่วนิรันดรรึ!?...ในเรื่องก็เป็นเช่นนั้นแล หากแต่ถ้าเราเป็นซายูริ ขอไปไกลจากมันชั่วนิรันดรเลยดีกว่า เดี๋ยวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเดิมอีก ซาดิสก์ขนาดนั้น ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว


แต่อย่างว่าล่ะนะ ซายูริในเรื่องจะคิดเหมือนเราได้ไง ( ก็คนแต่งเรื่อง “Mirage of Blaze” ไม่ใช่เราอ่ะ ) จบแบบนี้ ก็มีหลายคนประทับใจอยู่มากเช่นเดียวกัน เพราะนิยายรักยอดนิยมก็ต้องแฝงนิยาม “รักแท้คือการให้อภัย” เอาไว้ด้วย และนั่นคงเป็นสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อถึง (รึเปล่า?) ซึ่งใจความตรงนี้ เราว่าก็ค่อนข้างจะดูดีมีค่ามากกว่าที่จะให้จบแบบอาฆาตมาดร้ายนิรันดร์ ถ้าคิดถึงความเป็นนิยายในแง่จรรโลงศีลธรรมด้วยน่ะนะ

หากพูดถึงความประทับใจที่มีต่อเจ้าหญิงซายูริ อืมมม....มาถึงจุดนี้ก็ชักคลุมเครือแล้วนะนี่ คือ มูลเหตุที่ทำให้เขียนวิพากษ์ถึงตอนนี้ ส่วนหนึ่งมาจากสำนวนภาษาที่ให้อารมณ์สะเทือนใจสูงมาก จริงอยู่ว่าตอนนี้มันยังไม่ได้เข้าขั้นออกมาเป็นอนิเม ภาพของซายูริจึงยังเป็นแค่ตัวอักษรอยู่ แต่เจ้าตัวอักษรนี่น่ะ....สื่อได้ยากกว่าภาพอนิเมอีกมากมายนะเราว่า ถ้าร้อยเรียงไม่ดี ก็จะดึงอารมณ์ผู้อ่านได้ไม่ถึงแก่นเท่าที่ควร แต่ “Mirage of Blaze” นี่นำเสนอเรื่องราวตำนานรักแห่งเจ้าหญิงซายูริได้ดีมากๆ โดยเฉพาะบทที่ลิขิตครอบคลุมทั้งในด้านความรัก, ความแค้น, ความอัดอั้นตันใจในความเศร้าโศกของซายูริออกมาเป็นภาพที่ให้จินตนาการแบบรูปธรรมชัดเจนขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง ดึงดูดผู้อ่านให้จมอยู่ในภวังค์อารมณ์ของซายูริกับซัทสะได้อย่างชนิดที่ไม่ทันตั้งตัว อ่านไปอินไป น้ำตาก็พลันมาเองโดยอัตโนมัติเลยทีเดียว ถือได้ว่าตอนนี้เป็นจุดที่บีบคั้นอารมณ์ได้มากที่สุด เท่าที่ได้ติดตาม “Mirage of Blaze” ในภาคนิยายมาก็คงจะอย่างนั้นนะ

แต่....ตอนนี้ก็ได้แฝงเรื่องราวเล็กๆน้อยๆ แบบแอบจิตผิดปกติในตัวตนของนาโอเอะชนิดดิบเถื่อนให้ชัดเจนมากขึ้นด้วย ในอนาคตเราว่านิยาย “Mirage of Blaze” ที่จะทำให้น้ำตาเป็นสายเลือดได้มากกว่าคู่ซายูริกับซัทสะนี่ คงต้องเป็นคู่นาโอเอะ VS ทาคายะ รึเปล่านี่ !? รู้สึกจะไม่ราบรื่นเท่าที่ควรนะ เพราะว่ามีการลิขิตความประมาณว่าตัวตนของซายูริมาซ้อนทับกับตัวตนของทาคายะในห้วงคำนึงของนาโอเอะด้วย ( แล้วนาโอเอะจะเป็นร่างซ้อนทับกับซัทสะอ่ะเปล่า?! )







ท่านหญิงดาชิ : สตรีผู้งดงามแห่งอารากิ




ท่านหญิงดาชิ เป็นตัวละครหนึ่งใน “Mirage of Blaze” ภาค OVA เธอเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ภาพทอมันดาล่า สิ่งล้ำค่าทางไสยเวทที่แฝงไว้ด้วยพลังอาฆาตของเหล่าวิญญาณแห่งความแค้น ด้วยภาพนั้นมีการใช้เส้นผมของคนตระกูลอารากิที่ถูกฆ่ากว่า 700 ชีวิตทอรวมอยู่ด้วย

นางปรากฏตัวให้เห็นเป็นครั้งแรก เมื่อทาคายะเข้าไปสืบหาหลักฐานบางอย่างในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเกียวโต และทาคายะได้มาพบกับตู้เซฟที่เก็บภาพทอมันดาล่าอาถรรพ์นั้นเข้าพอดี ก็เลยได้ยลโฉมนางและได้ความคืบหน้าในการตรวจสอบเรื่องราวมาบางส่วนด้วย





ตามคำอธิบายสถานภาพของท่านหญิงดาชิผ่านการพูดคุยทางโทรศัพท์ระหว่างทาคายะและจิอากิ ชูเฮย์ ( หรือก็คือผู้ครองร่างนาม “ยาสุดะ นากาฮิเดะ” แห่งยุคเซ็นโกกุ )




( ขอแซวหน่อย แบบว่ามันน่า...กริ๊บกริ้วววววว!
หนูทาคายะเปลือยท่อนบนแบบนั้น...ไม่หนาวรึไงจ้ะน่ะ
รีบๆ ใส่เสื้อซะนะ นาโอเอะเขาฝากมาบอกว่าเป็นห่วง! )




ในบทสนทนาสรุปได้ว่า “ดาชิ” นางเป็นภริยาของอารากิ มุราชิเงะ ซึ่งได้รับการกล่าวขวัญอีกนามหนึ่งคือ “อิมะ - โยคิฮิ ” และนางเป็นสตรีที่งดงามมาก ( “อิมะ - โยคิฮิ ” แปลว่า....?.....ยังไม่ทราบความหมายค่ะ เราไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น หากมีผู้รู้เข้ามาก็วานขอแปลคำนี้ให้หน่อยได้ไหมเอ่ย? )

“อารากิ มุราชิเงะ”ตามมูลเหตุทางประวัติศาสตร์เซ็นโกกุที่ “Mirage of Blaze” ภาค OVA กล่าวไว้นั้น มีเนื้อความประมาณว่า อารากิถูกโอดะ โนบุนางะตั้งข้อหาว่ากบฏและเป็นข้อพาดพิงให้โอดะใช้กำลังเข้าโจมตีปราสาทฐานที่มั่นของฝ่ายอารากิจนแตกพ่าย คนในตระกูลอารากิต้องสังเวยชีวิตให้กับพวกโอดะกว่า 700 ศพ หนึ่งในนั้นรวมถึงสาวงามศรีภรรยาเจ้าของปราสาทแห่งนั้นด้วย…“ ท่านหญิงดาชิ ”!





ดาชิซึ่งทำหน้าที่คอยดูแลภาพทอมันดาล่าอยู่ ในขณะเดียวกันก็คงจะพยายามหาทางสยบความแค้นของเหล่าวิญญาณในภาพทอนั้น เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อสามีของนาง (ล่ะมั้ง?) เพราะดูเหมือนว่าในเรื่อง “Mirage of Blaze” จะดำเนินไปในทางเล่าเรื่องราวว่ามุราชิเงะได้ทอดทิ้งปราสาทและเครือญาติของตน เขาหนีเอาตัวรอดไปเพียงผู้เดียว ทำให้เหล่าผู้ที่ถูกโอดะจับประหาร กลายเป็นวิญญาณอาฆาตมุราชิเงะคนทรยศตระกูลอารากินั่นเอง

และด้วยการณ์นี้ ก็มีกลุ่มคนที่ประสงค์จะใช้การสังเวยมุราชิเงะให้กับวิญญาณร้ายตระกูลอารากิ เพื่อสร้างอาวุธร้ายทางไสยเวทขึ้นมาต่อกรกับกองทัพโอดะในสงครามมืด (ที่ย้อนเอายุคเซ็นโกกุมาปรากฏในโลกปัจจุบัน) นั่นเป็นสิ่งที่มุราชิเงะกล่าวขวัญเรียกว่า “อาวุธร้ายแห่งอารากิ” โดยพิธีการจัดทำของสิ่งนี้ จะดำเนินการในวันที่ 13 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่คนในตระกูลอารากิถูกโอดะจับประหารทั้ง 700 ศพ วันเวลาที่เวียนมาพ้องกันนี้จะทำให้พลังแห่งศาสตรามีอานุภาพแห่งความแค้นต่อฝ่ายโอดะมากยิ่งขึ้นไปอีก จึงกล่าวได้ว่าเป็นอาวุธร้ายที่เหมาะสมจะนำมาใช้ต่อกรกับพวกโอดะยิ่งนักนั่นเอง





ตัวดาชิเองก็คงจะกังวลใจไม่น้อยต่อการที่จะมีผู้นำภาพทอมันดาล่านี้ไปใช้ในทางมิชอบ แม้อยากจะสยบพลังความแค้นของวิญญาณอารากิในภาพทอ แต่การเผาทำลายภาพทอมันดาล่า ซึ่งเป็นวิธีการพื้นฐานง่ายๆ ตามที่ทาคายะเคยเอ่ยปากกับนางนั้น นางได้แสดงเจตจำนงค์ไม่ประสงค์จะให้กระทำการอย่างนั้น จะด้วยเหตุอันใด?...ในอนิมชั่น “Mirage of Blaze” ภาค OVA ตอนกบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ ก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดแน่ชัด ผู้ชมอย่างเราก็คงได้แต่เดาทางไปตามความคิดความรู้สึกว่า หากเผาทำลายภาพทอมันดาล่าเสีย วิญญาณของดาชิซึ่งสถิตอยู่จนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของภาพทอมันดาล่านั้น ก็จะคงสูญสลายหายไปด้วย และนางคงไม่มีโอกาสได้พบกับสามี ซึ่งก็คือ “อารากิ มุราชิเงะ” อีกต่อไป นี่อาจเป็นเหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ดาชิไม่อยากให้มีการเผาทำลายสิ่งนี้เสีย ( หรือภาคนิยายจะบรรยายให้เหตุผลอื่นนอกเหนือจากนี้ไว้ก็มิอาจทราบได้ เพราะในฉบับนิยายตามที่คุณ Erascal แห่งเด็กดีดอทคอมกำลังรวบรวมแปลเรียบเรียงอยู่นั้น ยังไปไม่ถึงตอนนี้เลยค่ะ )

หากกล่าวถึงมูลเหตุที่ทำให้เราชื่นชอบท่านหญิงดาชิ ทั้งที่บทบาทเธอน้อยเหลือแสน ก็คงจะมาจากเรื่องรูปลักษณ์ของดาชิที่งดงามอย่างหมดจดทั้งเสื้อผ้า หน้า ผม อารมณ์และบทบาท (บวกด้วยออร่าสว่างหวานๆ ด้วย)




อันว่าด้วยเรื่องบทบาทของเธอนั้น แม้จะไม่มากมายหลาย Scene เท่าไรนัก แต่ก็เร้าใจผู้ชมอย่างเราอยู่มาก เพราะอารมณ์เศร้าของนางเป็นอะไรที่ดึงดูดใจ รวมกับความงามแล้วก็น่าค้นหา และสีหน้าที่ชวนให้ลืมไม่ลงเพราะสื่ออารมณ์ได้กลมกลืนกับบทบาท เป็นความโศกเศร้าที่พอได้พบเห็นครั้งแรก ก็อดไม่ได้ที่จะสะดุดใจในใบหน้าเศร้าสร้อยที่อ่อนโยน นุ่มนวลจับใจเช่นนั้น ภาพดาชิที่ประทับใจในความทรงจำของเรามากที่สุดเหมือนเป็น Scene อมตะเลย ก็คือ ตอนที่นางผงาดร่างขึ้นมาป้องกันสามีที่เกือบจะถูกวิญญาณร้ายในภาพทอรุมทึ่งกินโต๊ะซะแล้ว




มุราชิเงะเห็นปฏิกิริยาเช่นนั้น จึงย้อนถามนางว่าเขาเป็นผู้ทรยศ ขี้ขลาดหนีเอาตัวรอดไปโดยทิ้งพวกนางไว้ให้เป็นอันตรายถึงชีวิต ทำไมนางยังปกป้องเขาอีก ดาชิเบือนใบหน้าที่งามชดช้อยหันมามองมุราชิเงะ ยิ้มอ่อนหวานและตอบคำถามนั้นว่า





เพียงประโยคนี้ประโยคเดียว ใจความสั้นๆ แต่ทำให้น้ำตาเราไหลลงมาเป็นทางยาวทั้งสองแก้มเลย แสนซาบซึ้งอย่างมากยิ่งคณานับกับความรักที่หญิงคนหนึ่งมีให้ผู้เป็นสามี แม้การณ์จะดูเหมือนว่าเขาทิ้งนางไว้เผชิญกับความตายเพียงลำพังก็ตาม จริงๆ จุดนี้ก็นับว่า “Mirage of Blaze” สะท้อนจิตวิญญาณของคู่รักหญิงชายที่น่าประทับใจไว้อย่างลึกซึ้งตรึงตราอารมณ์ผู้ชมเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ( ไม่ใช่อะไรก็ [หัวใจจะ“Y”] อย่างเดียว )





อารากิ มุราชิเงะ: ผู้นำจุดจบสู่วงศ์วานอารากิของตน




ความรู้สึกที่มีต่อชายผู้นี้ “อารากิ มุราชิเงะ” ในรอบแรกที่ได้รับชม “Mirage of Blaze” ภาค OVA ก็ธรรมดาเอามากๆ แต่เมื่อชมครั้งต่อๆ ไป ก็เริ่มรู้สึกมากไปกว่าความธรรมดาในตัวตนของ “เขา” เพราะดูๆ ไปแล้ว “เขา” เป็นตัวละครประกอบการดำเนินเรื่องของ “Mirage of Blaze” ตอนกบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ ที่บทบาทค่อนข้างจะโดดเด่นจนเรียกได้ว่า “ขโมยซีนส์” ของคู่วิปโยค “นาโอเอะ-ทาคายะ” ไปมากเลยทีเดียว (ในความรู้สึกเรานะ ...ไม่รู้มีใครที่ดูแล้ว คิดเหมือนเรารึเปล่า?)

ความเด่นที่ไม่ธรรมดาของ“อารากิ มุราชิเงะ” ก็เกิดมาจากตัวตนที่เป็นคนแบบ “ธรรมดา” นั่นแล ....

ธรรมดาอย่างไรน่ะหรือ ?

ก็ธรรมดาตรงที่เขามีความขลาดกลัว และรักตัวกลัวตายแบบสัญชาตญาณมนุษย์ธรรมดาเดินดิน ที่มี Life Instinct ในการเอาตัวรอดนั่นเอง ( เพียงแต่สำหรับความเป็นนักรบญี่ปุ่นสมัยก่อนนั้นแล้ว มันก็คือความขี้ขลาดดีๆ นี่เอง) แต่อย่าเพิ่งคิดในแง่ลบกับเขาไปจนตลอดเรื่องเสียล่ะ เพราะเขาสามารถที่จะเปลี่ยนแปรความธรรมดาให้กลายเป็นความไม่ธรรมดาในตอนท้ายเรื่องได้อย่างน่าประทับจิตจับหัวใจ

ประทับใจอย่างไรก็ลองย้อนรอยมาพิจารณากันอีกคราหนึ่งแล้วกันดีไหมนะ!?

ตอนแรกที่“เขา”โผล่หน้ามาในฉากเริ่มเรื่อง ก็เหมือนจะเป็นผู้ร้ายตัวยงเชียวนะ E ตา“อารากิ มุราชิเงะ” เนี่ย แถมซีนส์แรกที่เปิดตัวมา ก็ใบหน้าซูบซีดเหี่ยวย่น มองดูชราภาพไปอักโข ไม่ค่อยมีสง่าราศีเอาเสียเลย ซ้ำร้ายยังเบิกตัวมาเพื่อปะทะนาโอเอะเสียด้วย ( โอย! บังอาจนะนี่ รุกมาเล่นงานอาเฮียของเราเชียวรึ!)





แต่!....ไฉนพอถึงฉากที่มันเอียงหน้ามาให้เจ๊ฮารุอิเอะได้เห็นชัดๆ นั้น....ริ้วรอยกลับเลือนหายไปทันตาเห็น ! ใบหน้าเปลี๊ยนไป่!... เป็นชายหนุ่มหล่อเฟี้ยวขึ้นมาเลยเชียว





โอ้ ! ฉากนี้ไม่รู้ไปอัพเดทผิวแบบสปาร์ดัดแปลงโฉมใหม่ที่ใดมา ? ดวงหน้าของ “อารากิ มุราชิเงะ” ยามเมื่อได้พบกับฮารุอิเอะนี้ จึงแลดูอ่อนเยาว์ เนียนใสเด้งขึ้นมาเลย เล่นเอาฮารุอิเอะสะดุดรัก เอ้ย! รู้สึกว่าเหมือนชายคนรักของเธอในอดีตเสียนี่กระไร (นี่เป็นกลยุทธกำกับการแสดงของทีมงาน MOB อ่ะเปล่านี่ ฉากผู้ร้ายต้องป้ายรูปลักษณ์แบบผู้ร้ายเข้าไว้ แต่พอเข้าฉากแบบ “หลบหน่อยพระเอกมา” ก็ต้องแต่งหน้าโบ๊ะกันสุดฤทธิ์ชนิดปกปิดริ้วรอยมิดชิดถึงเพียงนี้) เอาเป็นว่าเริ่มมามาด “เขา”อาจจะเหมือนผู้ร้าย แต่ไปๆมาๆ เจ้า “อารากิ มุราชิเงะ” นี่ เขาไม่ใช่ผู้ร้ายซะแล้ว ก็ว่ากันไปตามนั้นแล

เมื่อฮารุอิเอะตัดสินใจปกป้อง “อารากิ มุราชิเงะ” จากทีมผู้ร้าย(ตัวจริง)และพวกพ้องของตน (คือคาเงโทร่ากับนาโอเอะ) ด้วยเหตุผลเพียงว่า “เขาหน้าตาเหมือนกับคนรักนี้ที่รอคอยของข้า” ในช่วงหนึ่งที่ทั้งสองได้หนี(ตามกัน)มาแล้ว ฮารุอิเอะถูกทำร้ายบาดเจ็บที่ข้อเท้านิดนึง มุราชิเงะก็เข้ามาเทคแคร์ให้ แล้วทั้งสองต่างก็ถามกันว่ามาช่วยตนไว้ทำไม ทำไมไม่รีบหนีไป ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีคำตอบเดียวกันคือ ทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อเอาตัวรอดไปคนเดียวไม่ได้ เราว่ามันเป็นคำตอบที่ชวนให้ซึ้งในน้ำใจของทั้งคู่มากเลยทีเดียว และทำให้รู้สึกว่า E ตา“อารากิ มุราชิเงะ” นี่ก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจและขลาดกลัวอย่างที่เคยคิดในตอนต้นๆ เรื่องนะ

ฉากที่ทำให้บทบาทของ “อารากิ มุราชิเงะ” ใน “Mirage of Blaze” ภาค OVA ตอน “กบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ” โดดเด่นขึ้นมา จนเข้าขั้นว่าเป็นดารารับเชิญของ “Mirage of Blaze” ที่กลายเป็นอมตะในดวงใจเราอีกคนหนึ่งนั้น เนื่องมาจากฉากที่เขาพูดคุยอย่างเปิดอกกับฮารุอิเอะว่า





มุราชิเงะ : ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าเรียกว่า “ชินทาโร่” หรอก
ฮารุอิเอะ : ( น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ) ...ข้าไม่ร้องไห้หรอกนะ ไม่เสียใจเลย... ( แต่หน้าเจ๊เศร้ามากเลยนะ )...ข้าจะไม่ละทิ้งความตั้งใจเพียงเพราะความล้มเหลวแค่ครั้งหรือสองครั้งหรอก ไม่ได้แกล้งพูดนะ ข้าจะตามหาต่อไปเรื่อยๆ เฝ้ารอต่อไปจนกว่าคนรักของข้าจะมาเกิดใหม่ ข้ายังมีเวลาอีกเยอะ
มุราชิเงะ : (คว้าร่างของฮารุอิเอะมาโอบกอดไว้)...ช่างน่าเศร้าจริงๆ ถ้าไม่หาเหตุผลให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อ ชีวิตก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าหาข้ออ้างไม่ได้ เจ้าก็จะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้

( อันนี้เราฟังแล้ว รู้สึกว่าที่เขาพูดแบบนี้ได้ เพราะเขาเองก็คงต้องผ่านช่วงเวลาดังเช่นคำพูดนี้มาด้วยเหมือนกัน) ...

ฮารุอิเอะ : ข้าต้องเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใดกัน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าข้ายังรักเขาอยู่หรือไม่ ไม่รู้อีกแล้ว ข้าต้องเฝ้ารออีกนานแค่ไหนกว่าจะได้พบเขา สักวันหนึ่งข้าจะได้พบเขาไหม? ข้าอยากจะเชื่อเหลือเกิน ( มุราชิเงะเริ่มลูบไล้เรือนผมของฮารุอิเอะอย่างปลอบประโลม ฮารุอิเอะเกาะกุมแขนเสื้อเขาไว้แน่นด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย ) ข้าไม่ได้ลังเลใจในตอนนั้น ข้ารักเขาจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ

( ฉับพลันเมื่อฮารุอิเอะเงยหน้าขึ้นสบตามุราชิเงะ ภาพนั้นกลับหลอนในสายตาการมองของมุราชิเงะ ด้วยซ้อนทับเป็นใบหน้าของดาชิ ศรีภรรยาของมุราชิเงะในอดีต มุราชิเงะจับประคองมือเธอไว้ระดับออก แล้วกล่าวอย่างมุ่งมั่นตั้งใจจริงว่า )

มุราชิเงะ : เจ้าต้องเชื่อมั่นสิ ตอนที่เจ้าพบข้าครั้งแรก เจ้ายังเรียกหา “ชินทาโร่” อยู่เลย ถ้าเจ้าไม่รักเขา เจ้าก็คงไม่ทำเช่นนั้นหรอก! เจ้ายังคงรัก “ชินทาโร่” อยู่แน่นอน นั่นเป็นความจริง ( จับมือถือแขนอย่างนี้ มองแล้วคล้ายเป็นแฟนกันเลยวุ้ย! )

ฉากนี้ดูแล้วโรแมนติกและน่าซาบซึ้งใจไปกับความรักของฮารุอิเอะ กับถ้อยคำให้กำลังใจจากมุราชิเงะ ที่แม้บุคลิกเขาจะดูเป็นคนขลาดกลัว แต่พอเขาเข้าฉากนี้ เขากลับกลายเป็นผู้กล้า ฉายแวววีรบุรุษอาจหาญในความรักขึ้นมาทันที แม้จะชวนให้อยากส่งเสริมคู่นี้ แต่ก็ติดตรงที่ว่ามุราชิเงะมีหญิงในดวงใจแล้ว และฮารุอิเอะเองก็คงอยากพบ “ชินทาโร่” ที่เป็น “ชินทาโร่” อย่างแท้จริง ไม่ใช่ “ชินทาโร่” ในนามของคนอื่นอย่างนี้

แต่!...น่าแปลกนะ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ทั้งที่เธอเองก็รู้ว่าวิญญาณในร่างนี้ คือ “มุราชิเงะ” ทว่าพอถึงสถานการณ์จวนตัวในอันตรายที่เกิดขึ้นกับ “มุราชิเงะ” ฮารุอิเอะกลับอุทานเรียกเขาว่า “ชินทาโร่” เสียชัดถ้อยชัดคำ นี่ล่ะนะความรักของสตรี แม้รู้ว่าไม่ใช่ แต่คงตัดใจลงมิได้ซะทีเดียว ก็มุราชิเงะนั้นหน้าเหมือน “ชินทาโร่” มากมายถึงเพียงนี้

นี่ก็ทำให้คิดไปได้อีกแง่ว่า มุราชิเงะเป็นผู้ครอบครองร่าง “ชินทาโร่” ที่มาเกิดใหม่ในชาตินี้หรือเปล่านี่ แต่ในรายละเอียดนี้ อนิเมภาค OVA ไม่ได้กล่าวถึงเท่าใดนัก และฮารุอิเอะเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีชิงชังว่ามุราชิเงะแย่งชิงร่างกายของชินทาโร่มาเพื่อเป็นผู้ครองร่างเสียเองด้วย

ก็แหม การเป็นผู้ครองร่างนี่ เราเองที่เป็นคนดู แรกๆ ก็ไม่ค่อยชอบพวกนาโอเอะตรงนี้เท่าใดนัก เพราะเป็นการเข้าสิงร่างคนอื่น แล้วก็ไปไล่วิญญาณเจ้าของเขาออกไป เจ้าของร่างจริงๆ ก็ต้องตายใช่ไหมล่ะ!? ตัวเองถึงจะได้ครองร่างนั้นอย่างสมบูรณ์ พอคิดอย่างนี้แล้ว ก็ให้นึกถึงหัวอกคนที่ถูกไล่ออกไปจากร่างนั้นว่า แล้วเขาจะร่อนเร่ไปไหน? จะไปเกิดใหม่รึไม่ ? อย่างไร?

ส่วนฉากที่เรารู้สึกว่าเป็นตอนที่สะเทือนอารมณ์ผู้ชม “Mirage of Blaze” ภาค OVA ตอน “กบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ” ได้มากเลยทีเดียว (ถึงแม้ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็สะดุดใจเศร้าบ้างใช่ไหมเอ่ย?) นั่นคือ...





ฉากเมื่อท่านหญิงดาชิเอาร่างวิญญาณของนางเข้าปกป้อง“อารากิ มุราชิเงะ” ผู้เป็นสามี แต่ครั้นแล้วก็มิอาจต้านทานพลังแรงแค้นแห่งภูตตระกูลอารากิได้ ร่างวิญญาณของนางจึงเอนทรุดดุจจะล้มลงไป ขณะนั้น “อารากิ มุราชิเงะ” โผเข้ามาหมายจะโอบรับร่างวิญญาณนาง แต่แล้วยังไม่ทันถึงมือของเขาดี ร่างวิญญาณของดาชิก็พลันสลายกลายเป็นกลีบซากุระหายไปอย่างไร้ร่องรอยกลางอากาศ ( ดูเหมือนมุราชิเงะจะคว้ามาได้แค่กลีบเดียวหรือไงนี่ล่ะนะ ) มุราชิเงะกุมกำกลีบซากุระหนึ่งเดียวที่เขาเก็บไว้ได้จากการที่ร่างวิญญาณของดาชิสลายหายไป เขาเก็งร่างจนตัวสั่นเทา คล้ายอัดอั้นตันใจในความโศกเศร้าที่สุมรุมเร้าอยู่ในอกอย่างมากมาย

เขาเปล่งคำพูดแผ่วสั่นเครือว่า “ดาชิ....ดาชิของข้า...ข้าช่วยเจ้าไว้ไม่ได้อีกแล้ว” จากนั้นเขาก็ร่ำไห้ไปพลางนึกถึงคราเมื่ออดีตอันนานแสนนานมาแล้ว ที่เขาปล่อยให้นางเผชิญหน้ากับข้าศึกที่โหดร้าย นางเป็นแค่สตรีบอบบาง คงทำได้เพียงรวบปรอยผมออก เพื่อเผยต้นคอไว้รอคมดาบจากเพชฌฆาต





ทั้งน้ำเสียง (ยกนิ้วให้ผู้พากย์เลยทีเดียว) และท่าทีของ “อารากิ มุราชิเงะ” ในช่วงเวลาเช่นนี้ ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความปวดร้าวใจของเขาเป็นอย่างมาก...มาก...จนทำให้ผู้ชมอย่างเราเองอดไม่ได้ที่จะเห็นใจเขาอย่างลึกซึ้ง...เพราะนั่นคือความรู้สึกที่ชวนให้น่าอนาถใจ ในชะตากรรมของคู่รักที่ต้องพรัดพรากกันมายาวนานนับ 400 ปี ครั้นมาพบกัน ได้เห็นใจซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่อาจใกล้ชิดกันได้นั้น ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเข้าขั้นโศกนาฏกรรมเลยทีเดียว

“ แม้แต่จะแตะต้องเป็นครั้งสุดท้าย ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว ....ความรู้สึกที่อยากจะไขว่ขว้ามาไว้ในอ้อมกอด แต่ร่างนั้นพลันสลายหายลับไปกับตา....ความรู้สึกที่เหมือนโหยหาสัมผัสที่เมื่อยื่นอ้อมแขนออกไป ใกล้แค่เอื้อมก็จะได้โอบกอดร่างนั้นแล้วแท้ๆ แต่เรือนร่างนางผู้เป็นที่รักก็กลับหายไปนิรันดร์กาล เหลือเพียงกลีบเบาบางของซากุระที่เก็บกุมไว้ได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น....แค่นี้เอง....สิ่งที่ “อารากิ มุราชิเงะ” ได้กลับมามีแค่นี้เอง ทั้งที่ความจริงเขาก็คงปรารถนาจะได้ใกล้ชิดกับดาชิมากกว่านี้แท้ๆ แต่ชะตากรรมที่โหดร้าย กลับมอบโอกาสให้เขาได้เพียงแค่นี้เท่านั้น...”

^ นั่นเป็นคำบรรยายจากใจของเราที่ได้รับชมตอนนี้ ซึ่งครั้งใดที่ได้ดูช่วงตอนที่ดำเนินเรื่องถึงในจุดนี้แล้วและคิดแบบนี้คลอเคล้าไปกับภาพที่เคลื่อนไหวไปตรงหน้าเรา เราก็อดใจหายมิได้ ภาพเหตุการณ์วาระสุดท้ายระหว่างดาชิและมุราชิเงะนี้ สะเทือนความเศร้าในจิตใจอยู่มาก ก็มันเป็นจุดจบที่โหดร้ายสำหรับคู่รักที่รักมั่นต่อกันเสมอมา และเฝ้าจะได้พบกันมายาวนานถึงเพียงนั้น แต่สุดท้ายกลับปิดฉากลงแบบนี้ ดูทีไรก็สลดหดหู่ใจไปเสียทุกครั้ง

อีกฉากหนึ่ง เป็นตอนที่ “อารากิ มุราชิเงะ”กางแขนออกอย่างผ่าเผย ยื่นร่างกายให้แก่ความตายอย่างอาจหาญ เพื่อชดใช้ให้กับความผิดในอดีต ที่ทำให้คนในตระกูลของเขาต้องทุกข์ทรมาน และเขาเองก็ทนทุกข์ทรมานกับการหนีเอาตัวรอดมาเพียงผู้เดียวแบบนั้นเช่นกัน





ที่จริงแล้ว การที่“อารากิ มุราชิเงะ”ตัดสินใจทำแบบนี้ ส่วนหนึ่งคงเนื่องมาจากการสูญเสียดาชิผู้เป็นที่รักที่สุดไปนั่นเอง หากแต่อีกส่วนหนึ่งก็ผนวกเข้ากับความกล้าหาญที่อยากจะเผชิญกับการชดใช้ในผิดบาปของตนอย่างลูกชายคนหนึ่งซึ่งกล้าทำ กล้ายอมรับผิด และกล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนติดค้างวิญญาณผู้ตายแห่งอารากินับกว่า 700 ชีวิต

แม้เหตุการณ์นี้จะส่งผลให้ “อารากิ มุราชิเงะ” ต้องลาจากหน้ากระดาษในนิยาย “Mirage of Blaze”ไปชั่วนิรันดร์ แต่ทั้งความรักและความกล้าที่ไม่ธรรมดาของเขาได้กลายเป็นอมตะในใจผู้ติดตาม “Mirage of Blaze” อย่างเราชนิดที่ไม่อาจลืมเลือนได้เลยทีเดียว

....ลองตรองดูเถิด ในท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของชีวิต จะมีใครสักกี่คนที่ยอมรับความผิดพลาดของตน แล้วยอมดิ่งลงสู่ปรภพเพื่อชดเชยในสิ่งที่ตนกระทำไว้ได้อย่างหน้าชื่นตาบานกันเล่า





...ดวงหน้าที่สงบเย็นยามเมื่อวิญญาณของ “อารากิ มุราชิเงะ” ออกจากร่างสถิต นั่นเป็นการยอมรับความตายโดยดุษฎีอย่างลูกผู้ชายชาติขุนพลแห่งเซ็นโกกุอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นโอดะ โนบุนางะที่เคยรบชนะเขาในอดีต เราว่าก็คงไม่อาจเท่ห์ได้เท่านี้หรอกนะ (เหมือนสำนวน “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” ไงก็ไม่รู้นะเนี่ย)

ดังนั้น บทสรุปของ “Mirage of Blaze” ภาค OVA ตอน “กบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ” ที่ลิขิตให้ “อารากิ มุราชิเงะ” ต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นฉากที่สะเทือนใจเรามาก ดูกี่ครั้งน้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้ แต่ยอมรับว่าการจบแบบนี้ เป็นการดีมากกว่าที่จะต้อง Happy Ending เพราะเรื่องบางเรื่องในความเป็นอมตะนิยายนั้น การจบแบบสะเทือนใจเป็นอะไรที่น่าจดจำยิ่งกว่าการจบแบบสุขสบาย

อันนี้ไม่ได้กล่าวเพราะนิยมแบบมาโซฯ หรือซาดิสก์อะไรหรอกนะ เราว่าการจบที่โหดร้าย จะย้ำเตือนให้เรารู้สึกว่าในชีวิต ไม่ได้มีแต่ความสุขราบรื่นเสมอไป ดังที่มีนักเขียนเคยกล่าวตีตราผลงานตนเองไว้ว่า “หากโลกยังไม่สงบสุขอย่างแท้จริง ผลงานของฉันจะยังเขียนถึงความความสุขได้อย่างไรกัน? เพราะโลกป่วนปั่นอันตราย ผลงานของฉันก็ต้องสะท้อนความโหดร้ายในโลกออกมาเช่นกัน”

นั่นอาจนับเป็น “งานเขียนที่ไม่หลอกและไม่หลีกโลก” ก็เป็นได้ เพราะโลกเราทุกวันนี้ มีความโหดร้ายมากมายสารพัดสารพัน นิยายนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ย่อความโหดร้ายมานำเสนอไว้ในมุมมองหนึ่งที่กลมกลืนกับความความเป็นไปในการดำเนินเรื่องเท่านั้นเอง....หากแต่ความจริงในโลกนั้น ยังมีความโหดร้ายอีกมากมายที่ยังไม่ได้นำมาเสนอไว้ในนิยาย หรือนิยายหนึ่งเรื่อง ก็ไม่อาจนำเสนอความโหดร้ายของโลกแห่งความจริงได้ครบทุกแง่มุม

....แต่! ชีวิตจริงของเรา ไม่มีใครลิขิตเรื่องราวของเราได้ นอกจากตัวเราเอง...






Create Date : 12 สิงหาคม 2551
Last Update : 22 สิงหาคม 2551 16:57:19 น. 7 comments
Counter : 3166 Pageviews.

 
สวัสดีจ๊ะน้องหงส์ แวะมาเยี่ยมเยือนกันอีกครา.....
อืม ได้อ่านแล้วก็เศร้ากับความรุ้สึกไปด้วย รักคือสุขและทุกข์


โดย: แม่นางเตียว วันที่: 14 สิงหาคม 2551 เวลา:22:02:42 น.  

 
แวะมาเยี่ยมเยือน และเอาlink ของ ซุนหวู่ ที่แม่นางเทียนฟง ฝากไว้
มาฝากให้น้องหงส์ เข้าไปดูนะ ท่านเล่า เป็นซุนหวู่ ยังหล่อเหมือนเดิม แม้จะผ่านไป 3 ปี จากสามก๊ก หนวดท่าน ยังเร้าใจ ^^
//tieba.baidu.com/f?kz=330684866


โดย: แม่นางเตียว วันที่: 17 สิงหาคม 2551 เวลา:21:46:50 น.  

 
ตามมาอ่านค่า
----
ดังที่มีนักเขียนเคยกล่าวตีตราผลงานตนเองไว้ว่า “หากโลกยังไม่สงบสุขอย่างแท้จริง ผลงานของฉันจะยังเขียนถึงความความสุขได้อย่างไรกัน? -----ชอบท่อนนี้มากเลยค่ะ
---------------
ชื่นชอบที่คุณหงส์ วิเคราะห์ได้ลึกซึ้ง กินใจมากค่า
เราก็ได้ดู OVA เรื่องนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจในหลายๆ ฉากเหมือนกัน
--------------
แต่ที่แน่ๆ ตอนที่ดูแล้วเจอฉากEตาซัทสะ เราก็รู้สึกเหมือนคุณเลยค่ะว่า
--- เราล่ะเกลียดEตาซัทสะเข้าไส้
โห คนรักกันเค้าทำกันอย่างนี้รึเนีย ไม่น่าให้อภัยเป็นอย่างยิ่ง
แถมเฉือนเนื้อทีละชิ้นอีก ทรมานกันแท้ๆ
------
ส่วนคู่ชินทาโร่ เราก็คิดเหมือนกันค่ะว่าร่างชินทาโร่อาจถูกแย่งครอบครองร่างไปก็ได้ ชินทาโร่ตัวจริงจึง....ต่อไป
-----
แต่ว่าเราชอบฉากจบของเรื่องน่ะค่ะที่ทาคายะพูดประมาณนั้นกับนาโอเอะ ว่าถ้าหนีก็เหมือนแพ้ เหมือนพี่ท่านจะบอกกลายๆว่า หวงนาโอเอะ รึเปล่าเนี่ย
-------
จะรอคุณหงส์ เขียนบทความวิเคราะห์อีกน่ะค่ะ ชอบมากๆ คะ
------


โดย: sentoon IP: 118.174.117.188 วันที่: 20 สิงหาคม 2551 เวลา:13:03:24 น.  

 
อืมๆ ตามมาอ่านอีกนะคะ
เรื่องชื่อโยคิฮิ คิดว่าคงเหมือนสมญานามนะคะ
โยคิฮิเป็นชื่อญี่ปุ่นของหยางกุ้ยเฟยของจีนคะ(พูดชื่อนี้คิดว่าน่าจะเคยได้ยินกันมา)
แล้วก็ไม่อยากดับความหวังหรอกนะคะ แต่ร่างครอบครองของอารากิ มุราชิเงะบังเอิญไปคล้ายชินทาโร่คะ ส่วนเหตุผลต่างๆคงต้องรอแปลเล่มเก้าคะ



โดย: erascal IP: 118.10.105.144 วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:17:40:35 น.  

 
อ้อ อีกนิดคะขอแก้นิด เนินดินอิโซเบะอยู่ในจังหวัดโทยามะคะ ไม่ใช่เกียวโต


โดย: erascal IP: 121.112.89.226 วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:20:09:22 น.  

 
ลืมอีกเรื่องคะ ซายูริถูกแขวนไว้กับต้นเอโนคิคะ ไม่ใช่ซากุระ เพียงแต่ตามที่เล่าในเรื่องคะ ว่าต้นเอโนคิเป็นรุ่นสองที่ตามกิ่งของซากุระเอาไว้


โดย: erascal IP: 122.19.236.117 วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:21:21:55 น.  

 
ขอบคุณ คุณ erascal มากค่ะ จะแก้ข้อมูลใหม่ตามที่แนะนำมานะคะ สับสนไปหน่อย


โดย: หงส์อรุณ วันที่: 22 สิงหาคม 2551 เวลา:16:41:57 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หงส์อรุณ
Location :
ราชบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add หงส์อรุณ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.