อารากิ มุราชิเงะ: ผู้นำจุดจบสู่วงศ์วานอารากิของตน
|
ความรู้สึกที่มีต่อชายผู้นี้ อารากิ มุราชิเงะ ในรอบแรกที่ได้รับชม Mirage of Blaze ภาค OVA ก็ธรรมดาเอามากๆ แต่เมื่อชมครั้งต่อๆ ไป ก็เริ่มรู้สึกมากไปกว่าความธรรมดาในตัวตนของ เขา เพราะดูๆ ไปแล้ว เขา เป็นตัวละครประกอบการดำเนินเรื่องของ Mirage of Blaze ตอนกบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ ที่บทบาทค่อนข้างจะโดดเด่นจนเรียกได้ว่า ขโมยซีนส์ ของคู่วิปโยค นาโอเอะ-ทาคายะ ไปมากเลยทีเดียว (ในความรู้สึกเรานะ ...ไม่รู้มีใครที่ดูแล้ว คิดเหมือนเรารึเปล่า?)
ความเด่นที่ไม่ธรรมดาของอารากิ มุราชิเงะ ก็เกิดมาจากตัวตนที่เป็นคนแบบ ธรรมดา นั่นแล ....
ธรรมดาอย่างไรน่ะหรือ ?
ก็ธรรมดาตรงที่เขามีความขลาดกลัว และรักตัวกลัวตายแบบสัญชาตญาณมนุษย์ธรรมดาเดินดิน ที่มี Life Instinct ในการเอาตัวรอดนั่นเอง ( เพียงแต่สำหรับความเป็นนักรบญี่ปุ่นสมัยก่อนนั้นแล้ว มันก็คือความขี้ขลาดดีๆ นี่เอง) แต่อย่าเพิ่งคิดในแง่ลบกับเขาไปจนตลอดเรื่องเสียล่ะ เพราะเขาสามารถที่จะเปลี่ยนแปรความธรรมดาให้กลายเป็นความไม่ธรรมดาในตอนท้ายเรื่องได้อย่างน่าประทับจิตจับหัวใจ
ประทับใจอย่างไรก็ลองย้อนรอยมาพิจารณากันอีกคราหนึ่งแล้วกันดีไหมนะ!?
ตอนแรกที่เขาโผล่หน้ามาในฉากเริ่มเรื่อง ก็เหมือนจะเป็นผู้ร้ายตัวยงเชียวนะ E ตาอารากิ มุราชิเงะ เนี่ย แถมซีนส์แรกที่เปิดตัวมา ก็ใบหน้าซูบซีดเหี่ยวย่น มองดูชราภาพไปอักโข ไม่ค่อยมีสง่าราศีเอาเสียเลย ซ้ำร้ายยังเบิกตัวมาเพื่อปะทะนาโอเอะเสียด้วย ( โอย! บังอาจนะนี่ รุกมาเล่นงานอาเฮียของเราเชียวรึ!)
แต่!....ไฉนพอถึงฉากที่มันเอียงหน้ามาให้เจ๊ฮารุอิเอะได้เห็นชัดๆ นั้น....ริ้วรอยกลับเลือนหายไปทันตาเห็น ! ใบหน้าเปลี๊ยนไป่!... เป็นชายหนุ่มหล่อเฟี้ยวขึ้นมาเลยเชียว
โอ้ ! ฉากนี้ไม่รู้ไปอัพเดทผิวแบบสปาร์ดัดแปลงโฉมใหม่ที่ใดมา ? ดวงหน้าของ อารากิ มุราชิเงะ ยามเมื่อได้พบกับฮารุอิเอะนี้ จึงแลดูอ่อนเยาว์ เนียนใสเด้งขึ้นมาเลย เล่นเอาฮารุอิเอะสะดุดรัก เอ้ย! รู้สึกว่าเหมือนชายคนรักของเธอในอดีตเสียนี่กระไร (นี่เป็นกลยุทธกำกับการแสดงของทีมงาน MOB อ่ะเปล่านี่ ฉากผู้ร้ายต้องป้ายรูปลักษณ์แบบผู้ร้ายเข้าไว้ แต่พอเข้าฉากแบบ หลบหน่อยพระเอกมา ก็ต้องแต่งหน้าโบ๊ะกันสุดฤทธิ์ชนิดปกปิดริ้วรอยมิดชิดถึงเพียงนี้) เอาเป็นว่าเริ่มมามาด เขาอาจจะเหมือนผู้ร้าย แต่ไปๆมาๆ เจ้า อารากิ มุราชิเงะ นี่ เขาไม่ใช่ผู้ร้ายซะแล้ว ก็ว่ากันไปตามนั้นแล
เมื่อฮารุอิเอะตัดสินใจปกป้อง อารากิ มุราชิเงะ จากทีมผู้ร้าย(ตัวจริง)และพวกพ้องของตน (คือคาเงโทร่ากับนาโอเอะ) ด้วยเหตุผลเพียงว่า เขาหน้าตาเหมือนกับคนรักนี้ที่รอคอยของข้า ในช่วงหนึ่งที่ทั้งสองได้หนี(ตามกัน)มาแล้ว ฮารุอิเอะถูกทำร้ายบาดเจ็บที่ข้อเท้านิดนึง มุราชิเงะก็เข้ามาเทคแคร์ให้ แล้วทั้งสองต่างก็ถามกันว่ามาช่วยตนไว้ทำไม ทำไมไม่รีบหนีไป ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็มีคำตอบเดียวกันคือ ทิ้งอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อเอาตัวรอดไปคนเดียวไม่ได้ เราว่ามันเป็นคำตอบที่ชวนให้ซึ้งในน้ำใจของทั้งคู่มากเลยทีเดียว และทำให้รู้สึกว่า E ตาอารากิ มุราชิเงะ นี่ก็ไม่ใช่คนแล้งน้ำใจและขลาดกลัวอย่างที่เคยคิดในตอนต้นๆ เรื่องนะ
ฉากที่ทำให้บทบาทของ อารากิ มุราชิเงะ ใน Mirage of Blaze ภาค OVA ตอน กบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ โดดเด่นขึ้นมา จนเข้าขั้นว่าเป็นดารารับเชิญของ Mirage of Blaze ที่กลายเป็นอมตะในดวงใจเราอีกคนหนึ่งนั้น เนื่องมาจากฉากที่เขาพูดคุยอย่างเปิดอกกับฮารุอิเอะว่า
มุราชิเงะ : ข้าไม่ใช่คนที่เจ้าเรียกว่า ชินทาโร่ หรอก ฮารุอิเอะ : ( น้ำตาไหลอาบสองแก้ม ) ...ข้าไม่ร้องไห้หรอกนะ ไม่เสียใจเลย... ( แต่หน้าเจ๊เศร้ามากเลยนะ )...ข้าจะไม่ละทิ้งความตั้งใจเพียงเพราะความล้มเหลวแค่ครั้งหรือสองครั้งหรอก ไม่ได้แกล้งพูดนะ ข้าจะตามหาต่อไปเรื่อยๆ เฝ้ารอต่อไปจนกว่าคนรักของข้าจะมาเกิดใหม่ ข้ายังมีเวลาอีกเยอะ มุราชิเงะ : (คว้าร่างของฮารุอิเอะมาโอบกอดไว้)...ช่างน่าเศร้าจริงๆ ถ้าไม่หาเหตุผลให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อ ชีวิตก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าหาข้ออ้างไม่ได้ เจ้าก็จะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้
( อันนี้เราฟังแล้ว รู้สึกว่าที่เขาพูดแบบนี้ได้ เพราะเขาเองก็คงต้องผ่านช่วงเวลาดังเช่นคำพูดนี้มาด้วยเหมือนกัน) ...
ฮารุอิเอะ : ข้าต้องเป็นเช่นนี้ไปอีกนานเท่าใดกัน ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าข้ายังรักเขาอยู่หรือไม่ ไม่รู้อีกแล้ว ข้าต้องเฝ้ารออีกนานแค่ไหนกว่าจะได้พบเขา สักวันหนึ่งข้าจะได้พบเขาไหม? ข้าอยากจะเชื่อเหลือเกิน ( มุราชิเงะเริ่มลูบไล้เรือนผมของฮารุอิเอะอย่างปลอบประโลม ฮารุอิเอะเกาะกุมแขนเสื้อเขาไว้แน่นด้วยหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาไม่ขาดสาย ) ข้าไม่ได้ลังเลใจในตอนนั้น ข้ารักเขาจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ
( ฉับพลันเมื่อฮารุอิเอะเงยหน้าขึ้นสบตามุราชิเงะ ภาพนั้นกลับหลอนในสายตาการมองของมุราชิเงะ ด้วยซ้อนทับเป็นใบหน้าของดาชิ ศรีภรรยาของมุราชิเงะในอดีต มุราชิเงะจับประคองมือเธอไว้ระดับออก แล้วกล่าวอย่างมุ่งมั่นตั้งใจจริงว่า )
มุราชิเงะ : เจ้าต้องเชื่อมั่นสิ ตอนที่เจ้าพบข้าครั้งแรก เจ้ายังเรียกหา ชินทาโร่ อยู่เลย ถ้าเจ้าไม่รักเขา เจ้าก็คงไม่ทำเช่นนั้นหรอก! เจ้ายังคงรัก ชินทาโร่ อยู่แน่นอน นั่นเป็นความจริง ( จับมือถือแขนอย่างนี้ มองแล้วคล้ายเป็นแฟนกันเลยวุ้ย! )
ฉากนี้ดูแล้วโรแมนติกและน่าซาบซึ้งใจไปกับความรักของฮารุอิเอะ กับถ้อยคำให้กำลังใจจากมุราชิเงะ ที่แม้บุคลิกเขาจะดูเป็นคนขลาดกลัว แต่พอเขาเข้าฉากนี้ เขากลับกลายเป็นผู้กล้า ฉายแวววีรบุรุษอาจหาญในความรักขึ้นมาทันที แม้จะชวนให้อยากส่งเสริมคู่นี้ แต่ก็ติดตรงที่ว่ามุราชิเงะมีหญิงในดวงใจแล้ว และฮารุอิเอะเองก็คงอยากพบ ชินทาโร่ ที่เป็น ชินทาโร่ อย่างแท้จริง ไม่ใช่ ชินทาโร่ ในนามของคนอื่นอย่างนี้
แต่!...น่าแปลกนะ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ทั้งที่เธอเองก็รู้ว่าวิญญาณในร่างนี้ คือ มุราชิเงะ ทว่าพอถึงสถานการณ์จวนตัวในอันตรายที่เกิดขึ้นกับ มุราชิเงะ ฮารุอิเอะกลับอุทานเรียกเขาว่า ชินทาโร่ เสียชัดถ้อยชัดคำ นี่ล่ะนะความรักของสตรี แม้รู้ว่าไม่ใช่ แต่คงตัดใจลงมิได้ซะทีเดียว ก็มุราชิเงะนั้นหน้าเหมือน ชินทาโร่ มากมายถึงเพียงนี้
นี่ก็ทำให้คิดไปได้อีกแง่ว่า มุราชิเงะเป็นผู้ครอบครองร่าง ชินทาโร่ ที่มาเกิดใหม่ในชาตินี้หรือเปล่านี่ แต่ในรายละเอียดนี้ อนิเมภาค OVA ไม่ได้กล่าวถึงเท่าใดนัก และฮารุอิเอะเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีชิงชังว่ามุราชิเงะแย่งชิงร่างกายของชินทาโร่มาเพื่อเป็นผู้ครองร่างเสียเองด้วย
ก็แหม การเป็นผู้ครองร่างนี่ เราเองที่เป็นคนดู แรกๆ ก็ไม่ค่อยชอบพวกนาโอเอะตรงนี้เท่าใดนัก เพราะเป็นการเข้าสิงร่างคนอื่น แล้วก็ไปไล่วิญญาณเจ้าของเขาออกไป เจ้าของร่างจริงๆ ก็ต้องตายใช่ไหมล่ะ!? ตัวเองถึงจะได้ครองร่างนั้นอย่างสมบูรณ์ พอคิดอย่างนี้แล้ว ก็ให้นึกถึงหัวอกคนที่ถูกไล่ออกไปจากร่างนั้นว่า แล้วเขาจะร่อนเร่ไปไหน? จะไปเกิดใหม่รึไม่ ? อย่างไร?
ส่วนฉากที่เรารู้สึกว่าเป็นตอนที่สะเทือนอารมณ์ผู้ชม Mirage of Blaze ภาค OVA ตอน กบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ ได้มากเลยทีเดียว (ถึงแม้ไม่มาก แต่อย่างน้อยก็สะดุดใจเศร้าบ้างใช่ไหมเอ่ย?) นั่นคือ...
ฉากเมื่อท่านหญิงดาชิเอาร่างวิญญาณของนางเข้าปกป้องอารากิ มุราชิเงะ ผู้เป็นสามี แต่ครั้นแล้วก็มิอาจต้านทานพลังแรงแค้นแห่งภูตตระกูลอารากิได้ ร่างวิญญาณของนางจึงเอนทรุดดุจจะล้มลงไป ขณะนั้น อารากิ มุราชิเงะ โผเข้ามาหมายจะโอบรับร่างวิญญาณนาง แต่แล้วยังไม่ทันถึงมือของเขาดี ร่างวิญญาณของดาชิก็พลันสลายกลายเป็นกลีบซากุระหายไปอย่างไร้ร่องรอยกลางอากาศ ( ดูเหมือนมุราชิเงะจะคว้ามาได้แค่กลีบเดียวหรือไงนี่ล่ะนะ ) มุราชิเงะกุมกำกลีบซากุระหนึ่งเดียวที่เขาเก็บไว้ได้จากการที่ร่างวิญญาณของดาชิสลายหายไป เขาเก็งร่างจนตัวสั่นเทา คล้ายอัดอั้นตันใจในความโศกเศร้าที่สุมรุมเร้าอยู่ในอกอย่างมากมาย
เขาเปล่งคำพูดแผ่วสั่นเครือว่า ดาชิ....ดาชิของข้า...ข้าช่วยเจ้าไว้ไม่ได้อีกแล้ว จากนั้นเขาก็ร่ำไห้ไปพลางนึกถึงคราเมื่ออดีตอันนานแสนนานมาแล้ว ที่เขาปล่อยให้นางเผชิญหน้ากับข้าศึกที่โหดร้าย นางเป็นแค่สตรีบอบบาง คงทำได้เพียงรวบปรอยผมออก เพื่อเผยต้นคอไว้รอคมดาบจากเพชฌฆาต
ทั้งน้ำเสียง (ยกนิ้วให้ผู้พากย์เลยทีเดียว) และท่าทีของ อารากิ มุราชิเงะ ในช่วงเวลาเช่นนี้ ทำให้เรารู้สึกได้ถึงความปวดร้าวใจของเขาเป็นอย่างมาก...มาก...จนทำให้ผู้ชมอย่างเราเองอดไม่ได้ที่จะเห็นใจเขาอย่างลึกซึ้ง...เพราะนั่นคือความรู้สึกที่ชวนให้น่าอนาถใจ ในชะตากรรมของคู่รักที่ต้องพรัดพรากกันมายาวนานนับ 400 ปี ครั้นมาพบกัน ได้เห็นใจซึ่งกันและกัน แต่ก็ไม่อาจใกล้ชิดกันได้นั้น ช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเข้าขั้นโศกนาฏกรรมเลยทีเดียว
แม้แต่จะแตะต้องเป็นครั้งสุดท้าย ก็ทำไม่ได้เสียแล้ว ....ความรู้สึกที่อยากจะไขว่ขว้ามาไว้ในอ้อมกอด แต่ร่างนั้นพลันสลายหายลับไปกับตา....ความรู้สึกที่เหมือนโหยหาสัมผัสที่เมื่อยื่นอ้อมแขนออกไป ใกล้แค่เอื้อมก็จะได้โอบกอดร่างนั้นแล้วแท้ๆ แต่เรือนร่างนางผู้เป็นที่รักก็กลับหายไปนิรันดร์กาล เหลือเพียงกลีบเบาบางของซากุระที่เก็บกุมไว้ได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น....แค่นี้เอง....สิ่งที่ อารากิ มุราชิเงะ ได้กลับมามีแค่นี้เอง ทั้งที่ความจริงเขาก็คงปรารถนาจะได้ใกล้ชิดกับดาชิมากกว่านี้แท้ๆ แต่ชะตากรรมที่โหดร้าย กลับมอบโอกาสให้เขาได้เพียงแค่นี้เท่านั้น...
^ นั่นเป็นคำบรรยายจากใจของเราที่ได้รับชมตอนนี้ ซึ่งครั้งใดที่ได้ดูช่วงตอนที่ดำเนินเรื่องถึงในจุดนี้แล้วและคิดแบบนี้คลอเคล้าไปกับภาพที่เคลื่อนไหวไปตรงหน้าเรา เราก็อดใจหายมิได้ ภาพเหตุการณ์วาระสุดท้ายระหว่างดาชิและมุราชิเงะนี้ สะเทือนความเศร้าในจิตใจอยู่มาก ก็มันเป็นจุดจบที่โหดร้ายสำหรับคู่รักที่รักมั่นต่อกันเสมอมา และเฝ้าจะได้พบกันมายาวนานถึงเพียงนั้น แต่สุดท้ายกลับปิดฉากลงแบบนี้ ดูทีไรก็สลดหดหู่ใจไปเสียทุกครั้ง
อีกฉากหนึ่ง เป็นตอนที่ อารากิ มุราชิเงะกางแขนออกอย่างผ่าเผย ยื่นร่างกายให้แก่ความตายอย่างอาจหาญ เพื่อชดใช้ให้กับความผิดในอดีต ที่ทำให้คนในตระกูลของเขาต้องทุกข์ทรมาน และเขาเองก็ทนทุกข์ทรมานกับการหนีเอาตัวรอดมาเพียงผู้เดียวแบบนั้นเช่นกัน
ที่จริงแล้ว การที่อารากิ มุราชิเงะตัดสินใจทำแบบนี้ ส่วนหนึ่งคงเนื่องมาจากการสูญเสียดาชิผู้เป็นที่รักที่สุดไปนั่นเอง หากแต่อีกส่วนหนึ่งก็ผนวกเข้ากับความกล้าหาญที่อยากจะเผชิญกับการชดใช้ในผิดบาปของตนอย่างลูกชายคนหนึ่งซึ่งกล้าทำ กล้ายอมรับผิด และกล้ารับผิดชอบในสิ่งที่ตนติดค้างวิญญาณผู้ตายแห่งอารากินับกว่า 700 ชีวิต
แม้เหตุการณ์นี้จะส่งผลให้ อารากิ มุราชิเงะ ต้องลาจากหน้ากระดาษในนิยาย Mirage of Blazeไปชั่วนิรันดร์ แต่ทั้งความรักและความกล้าที่ไม่ธรรมดาของเขาได้กลายเป็นอมตะในใจผู้ติดตาม Mirage of Blaze อย่างเราชนิดที่ไม่อาจลืมเลือนได้เลยทีเดียว
....ลองตรองดูเถิด ในท่ามกลางความวุ่นวายสับสนของชีวิต จะมีใครสักกี่คนที่ยอมรับความผิดพลาดของตน แล้วยอมดิ่งลงสู่ปรภพเพื่อชดเชยในสิ่งที่ตนกระทำไว้ได้อย่างหน้าชื่นตาบานกันเล่า
...ดวงหน้าที่สงบเย็นยามเมื่อวิญญาณของ อารากิ มุราชิเงะ ออกจากร่างสถิต นั่นเป็นการยอมรับความตายโดยดุษฎีอย่างลูกผู้ชายชาติขุนพลแห่งเซ็นโกกุอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นโอดะ โนบุนางะที่เคยรบชนะเขาในอดีต เราว่าก็คงไม่อาจเท่ห์ได้เท่านี้หรอกนะ (เหมือนสำนวน แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร ไงก็ไม่รู้นะเนี่ย)
ดังนั้น บทสรุปของ Mirage of Blaze ภาค OVA ตอน กบฏแห่งริมฝั่งแม่น้ำ ที่ลิขิตให้ อารากิ มุราชิเงะ ต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ นับได้ว่าเป็นฉากที่สะเทือนใจเรามาก ดูกี่ครั้งน้ำตาไหลพรากอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้ แต่ยอมรับว่าการจบแบบนี้ เป็นการดีมากกว่าที่จะต้อง Happy Ending เพราะเรื่องบางเรื่องในความเป็นอมตะนิยายนั้น การจบแบบสะเทือนใจเป็นอะไรที่น่าจดจำยิ่งกว่าการจบแบบสุขสบาย
อันนี้ไม่ได้กล่าวเพราะนิยมแบบมาโซฯ หรือซาดิสก์อะไรหรอกนะ เราว่าการจบที่โหดร้าย จะย้ำเตือนให้เรารู้สึกว่าในชีวิต ไม่ได้มีแต่ความสุขราบรื่นเสมอไป ดังที่มีนักเขียนเคยกล่าวตีตราผลงานตนเองไว้ว่า หากโลกยังไม่สงบสุขอย่างแท้จริง ผลงานของฉันจะยังเขียนถึงความความสุขได้อย่างไรกัน? เพราะโลกป่วนปั่นอันตราย ผลงานของฉันก็ต้องสะท้อนความโหดร้ายในโลกออกมาเช่นกัน
นั่นอาจนับเป็น งานเขียนที่ไม่หลอกและไม่หลีกโลก ก็เป็นได้ เพราะโลกเราทุกวันนี้ มีความโหดร้ายมากมายสารพัดสารพัน นิยายนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ย่อความโหดร้ายมานำเสนอไว้ในมุมมองหนึ่งที่กลมกลืนกับความความเป็นไปในการดำเนินเรื่องเท่านั้นเอง....หากแต่ความจริงในโลกนั้น ยังมีความโหดร้ายอีกมากมายที่ยังไม่ได้นำมาเสนอไว้ในนิยาย หรือนิยายหนึ่งเรื่อง ก็ไม่อาจนำเสนอความโหดร้ายของโลกแห่งความจริงได้ครบทุกแง่มุม
....แต่! ชีวิตจริงของเรา ไม่มีใครลิขิตเรื่องราวของเราได้ นอกจากตัวเราเอง...
|
อืม ได้อ่านแล้วก็เศร้ากับความรุ้สึกไปด้วย รักคือสุขและทุกข์