Bloggang.com : : yungbin :

ทางเดินใหม่ ของ 4 หนุ่มเนื้อทองแห่งปี ตัน ภาสกรนที-ดี้ นิติพงษ์-วันชัย ตัน-ธนา เธียรฯ

ในปีนี้ ผู้คนในโลกธุรกิจต่างขยับยุกยิกตามบุคลิกไม่อยู่นิ่งของกระต่าย, สัญลักษณ์นักษัตรของปี

ที่น่าสนใจก็คือ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับไอค่อนขององค์กรต่างพากันตัดสินใจเปลี่ยนงานกันเป็นทิวแถว

บ้างก็ล้ม บ้างก็ลุก บางทีก็ยิ้ม บางทีก็เศร้า แต่ก็อย่างว่า ชีวิตคือการเรียนรู้และเดินทาง

และนี่คือ 4 หนุ่มเนื้อทอง ผู้หันหลังให้กับเส้นทางเดิมแล้วออกเดินทางออกแสงหาความท้าทายใหม่ๆ ได้แก่ ตัน ภาสกรนที, นิติพงษ์ ห่อนาค, วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ และ ธนา เธียรอัจฉริยะ

เราสามารถเรียนรู้ผ่านเฉดสีแห่งการเดินทางก้าวใหม่ของเขาเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง? ลองติดตามชม...

ตัน ภาสกรนที...ซีอีโอฮีโร่น้ำท่วม จากโออิชิ สู่อิชิตัน

เริ่มจาก ตัน ภาสกรนที ที่เมื่อปลายปีที่แล้ว ตันได้ถอดนามสกุล "โออิชิ" ของเขาออกจากแผ่นหลัง แล้วลาออกจากอาณาจักรโออิชิ บริษัทอาหารขนาดใหญ่ที่ตนเองสร้างขึ้นมากับมือ ซึ่งในวันนี้เป็นของไทยเบฟอย่างเต็มตัว

ตันเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบมาพักหนึ่ง จนเมื่อพร้อมแล้ว ในปีรุ่งขึ้น คือ ปี พ.ศ.2554 นี้ เขาได้เริ่มต้นชีวิตธุรกิจใหม่กับบริษัทที่มีชื่อว่า บริษัท ไม่ตัน จำกัด โดยที่ ตัน ให้คำมั่นสัญญาในการทำบริษัทนึ้ว่า ในการเริ่มต้นธุรกิจของบริษัทครั้งนี้ เงินปันผลของบริษัทในส่วนที่เขาและภรรยาที่ถือหุ้นอยู่ เขาจะแบ่งเงินปันผลนี้ 50% ให้กับมูลนิธิตันปัน ตั้งแต่ปีแรกที่ดำเนินการเป็นต้นไป จนเมื่อเขาอายุครบ 60 ปี เขาจะเพิ่มเงินบริจาคไม่ต่ำกว่า 90% ให้กับมูลนิธิตันปันตลอดไปเพื่อใช้ในการพัฒนาการศึกษาและสิ่งแวดล้อม

ธุรกิจหลักของซีอีโอใจบุญในบริษัท ไม่ตัน คือการผลิตเครื่องดื่มดับเบิ้ลดริ้งก์ และชาเขียวอิชิตัน เขามีโรงงานใหญ่มูลค่า 3,500 ล้านบาทที่นิคมโรจนะ จังหวัดอยุธยา เขาตั้งใจว่า เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โรงงานของเขาจะเดินเครื่องอย่างเต็มที่ และเป็นโรงงานชาเขียวที่มีกำลังการผลิตสูงสุดในเมืองไทย

แต่ช่วงที่บ้านเราประสบภาวะอุทกภัยเมื่อ ประมาณช่วงกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตัน ออกช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ ในนามของมูลนิธิตันปัน โดยขนส่งถุงยังชีพจำนวน 20,000 ชุด ที่ระดมกำลังจากอาสาสมัคร ไปที่จังหวัดลพบุรี

น้ำเริ่มไหลบ่ามาจากทางเหนือ จนมีทีท่าว่าจะ "เอาไม่อยู่" เสร็จจากภารกิจจิตอาสา ตันจึงเลยล่วงไปที่โรงงานของตนเองที่อยุธยาด้วย แล้วพบว่า โรงงานของเขาต้านทานแรงน้ำไม่ไหว ถูกน้ำท่วมในที่สุด

แน่นอนว่า ความเสียหายจากการเริ่มต้นธุรกิจครั้งใหม่ของเขามีมูลค่านับพันล้าน ในฐานะปุถุชน เขาเสียใจจนน้ำตาไหล

แต่ความเสียใจไม่ได้ทำให้ "จิตอาสา" ของตัวตันเองลดลง

เขาก็ยังลุยงานอาสาน้ำท่วมอย่างเต็มกำลังเช่นเดิม ด้วยความคิดที่ว่า...

"ผมไม่ได้เจอวิกฤตคนเดียว หลายคนเจอหนักกว่า สิ่งที่ประสบยังไม่หนักเท่ากับคนอื่น ผมยังมีกำลังใจ ยังมีร้านอาหาร ยังมีธุรกิจอื่นๆ อีกหลายอย่าง ยังมีเงินฝากในธนาคาร มีที่ดิน มีทรัพย์สินอื่นๆ และในส่วนของโรงงาน หากเสียหายไปสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้ แต่คนอื่นไม่มีอะไรเลย ไม่มีข้าวกิน ไม่มีแม้แต่บัตรประชาชน"Ž (ที่มา หน้าเศรษฐกิจ มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 15 ตุลาคม 2554)

ในวันนี้ น้ำลดแล้ว โรงงานของตัน ผู้มีความคิดที่ไม่ตัน กำลังเร่งวันเร่งคืนฟื้นฟู

หวังว่า ปีหน้าฟ้าใหม่ ตัน ภาสกรนที ชายผู้มีหัวใจที่ไม่แพ้ จะกลับมาตั้งหลักใหม่ได้โดยเร็ว

นิติพงษ์ ห่อนาค

ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค...นักแต่งเพลงเพื่อพ่อหลวง จากแกรมมี่ สู่สหภาพดนตรี

ภาพของดี้-นิติพงษ์ ถูกผูกติดกับบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่อย่าง บมจ.จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ อย่างแยกไม่ออก

ในฐานะนักแต่งเพลงมือทองที่แต่งเพลงดังมามากมาย อย่างเช่น หมั่นคอยดูแลและรักษาดวงใจ, ก้อนหินกับนาฬิกา, รักปอนปอน, รักเธอเสมอ, แพ้ใจ, คิดถึงฉันไหมเวลาที่เธอ, เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม มาจนถึงเพลงรุ่นใหม่ๆที่ปั้นน้องน้ำชาให้ดัง อย่าง รักแท้...ยังไง

แต่ความเปลี่ยนแปลงคือนิรันดร์ เพราะเมื่อวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554 พี่ดี้ประกาศลาออกจากตำแหน่งรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจเพลง ของบริษัทแกรมมี ชายคาที่เขาอาศัยอยู่มา 27 ปี โดยให้เหตุผลว่า เกรงใจบริษัท เพราะงานที่ตนสามารถทำให้บริษัทมีน้อยลง

หายไปครึ่งปี เส้นทางใหม่ที่เขาเดินทาง มาหยุดอยู่ที่ บริษัท สหภาพดนตรี จำกัด อันเป็นบริษัทน้องใหม่ ที่ตั้งขึ้นกลางปี แต่คนทำงานคือระดับ “ตัวพ่อ” ของวงการดนตรี อย่างเช่น ป้อม-อัสนี โชติกุล, โอม-ชาตรี คงสุวรรณ, จุ๊บ-วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี และตัวดี้-นิติพงษ์เอง โดยสหภาพดนตรีมีแบ็กอัพใหญ่เป็นเครื่องดื่มจากค่ายสิงห์

โดยในวันที่เปิดค่ายเพลงในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ดี้-นิติพงษ์ เล่าว่า ก่อนที่จะมาเปิดค่ายเพลงกับเพื่อนๆในครั้งนี้ ตนได้ไปทานข้าวกับ "อากู๋ แกรมมี" ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการการบริหารกลุ่มบริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ (มหาชน) ก็ไม่ได้ติดใจอะไรกับเรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องธุรกิจ ก็แข่งกันเป็นเรื่องปกติ โดยดี้ย้ำว่า ความสัมพันธ์ของเขากับแกรมมี่ ยังดีอยู่

“ถ้าเจอหน้าทักทายก็คุยกัน แต่ถ้าไม่ได้เจอหน้าก็ไม่ได้คุยกัน ปกติถึงอยู่ในค่าย ก็ไม่ได้จะมาคุยกันแบบตลอด ก็ตามงานตามการปกติ ก็กินข้าวด้วยกันไม่บ่อย ก็กินข้าวด้วยกันก่อนจะตั้งสหภาพครั้งเดียว จะกินอะไรกันบ่อยๆ(หัวเราะ) ขนาดเพื่อนพี่ ปีละครั้งยังไม่ค่อยจะได้กินข้าวด้วยกันเลย ต่างคนต่างมีชีวิตดำเนินต่อไป เจอหน้าก็สวัสดีทักทาย พี่เป็นไง น้องเป็นไงเท่านั้น

“ทุกวันนี้ก็ยังรับสตางค์ส่วนแบ่งของเพลงจากแกรมมีอยู่ ส่วนแบ่งคือ พี่มีเพลงในนั้นเยอะ แล้วเขาก็จะอาไปทำคัฟเวอร์บ้าง ไปอะไรมากมาย หรือไปเก็บค่าลิขสิทธิ์มาได้ เขาก็จะจ่ายให้กับคนแต่งเพลงทุกเดือน ส่วนแบ่งเท่าไหร่ต่อเพลง พี่ก็ไม่รู้ เพราะการคำนวณตรงนี้ซับซ้อนมาก เขาคำนวณว่า ไอ้นี่จะประมาณนี่เปอร์เซ็นต์ นั่นเปอร์เซ็นต์ อยู่ที่เขา พอได้เป็นตัวเลขมา ก็โอเคได้เท่านี้”(ที่มา มติชนออนไลน์ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554)

ส่วนทางฝั่งบ้านใหม่ของเขา สหภาพดนตรี เพิ่งชิมลางกับงานแรก นั่นคือ โครงการเพลง “บ้านเราบ้านพ่อ” ที่จับมือกับรายการไนน์เอ็นเตอร์เทนชวนศิลปินไม่จำกัดค่ายมาร้องเพลงชื่อเดียวโครงการ เพื่อให้กำลังใจผู้คนในภาวะที่ยากลำบากนี้

และต้นปีหน้า สหภาพดนตรี นำโดย ดี้-นิติพงษ์ กำลังจะมีโปรเจ็กต์ใหญ่ นั่นคือ “ทองผืนเดียวกัน” ที่จะนำศิลปินทุกค่ายทั่วประเทศ มาทำงานเพลงร่วมกันเพื่อเทอดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

ทางเดินของนักแต่งเพลงผู้รัก "ในหลวง" จะเป็นเช่นไรต่อนั้น คงได้เห็นอีกไม่นานเกินรอ

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์

วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์...ปรุงเรื่องแข็งๆ ให้กลายเป็นของอร่อย จาก สารคดี สู่ ไทยพีบีเอส

หากจะพูดถึง หนุ่มใหญ่มาดสุขุมอย่าง จอบ-วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ ภาพที่จินตนาการออก คงจะเป็นลายเซ็นชัดเจนจากการเป็นบก.ของนิตยสารดังอย่าง "สารคดี" ซึ่งเขาดำรงตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ปี 2533 นับเป็นระยะเวลาประมาณ 21 ปี (ยังไม่รวมตอนที่เขาเริ่มงานในกองบรรณาธิการนิตยสารสารคดีก่อนหน้านี้) จนผู้คนคุ้นชินที่จะเรียกเขาว่า "บก.วันชัย"

น่าประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ที่ครึ่งแรกของปี บก.ผู้ถนัดทำข่าวสายสิ่งแวดล้อมวัย 50 ปีผู้นี้ เดินออกมาจากจุดที่ตนเองถนัดและคุ้นเคย แล้วเริ่มต้นชีวิตการงานใหม่ เป็นรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ช่องรายการโทรทัศน์ สื่อสาธารณะของเมืองไทย

อดีตบก.วันชัย ซึ่งกลายเป็นรอง ผอ.วันชัยในวันนี้ ได้เล่าว่า

"ปกติ ส่วนใหญ่ คนที่อายุเริ่ม 50 ปี ก็จะค่อย ๆ เริ่มเออร์รี่ รีไทร์ ออกไปเดินทางท่องเที่ยว อะไรพวกนี้ ทำงานน้อยลง แต่กลายเป็นว่า อายุที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5 ของผม ต้องมาทำงานที่ยุ่งขึ้น ใหญ่ขึ้น จากที่เคยดูงานที่ไม่เยอะมาก ต้องมาดูแลคนเยอะ ๆ ก็สลับซับซ้อนมากขึ้น เคยทำหนังสือที่ออกมารายเดือน ก็ต้องมาทำรายการที่ออกมาตลอด 24 ชั่วโมง เป็นงานที่ท้าทายมาก"

"รู้สึกว่าโลกหมุนเร็วขึ้น จากโลก รายเดือน หมุนมาเป็นโลกรายชั่วโมง"

การที่วันชัย มายืนที่จุดนี้ อาจเป็นเพราะว่าความสำเร็จจากนิตยสาร "สารคดี" ที่ตัวเขาเองและทีมงาน ได้พยายามปรุงรส เรื่องราวที่มีเนื้อหาหนักๆ ให้อ่านง่ายขึ้นและดูน่าอ่าน

สไตล์การทำหนังสือแบบนี้ หากนำมาปรับใช้กับโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ซึ่งถูกมองจากคนภายนอกว่า เป็นช่องของนักวิชาการและเอ็นจีโอ ดูค่อนข้างยาก กลายมาเป็นช่องที่มีรายการดูสนุก

"จุดแข็งที่เขาเลือกเรามาร่วมงานด้วย น่าจะมาจากการทำนิตยสารสารคดี เป็นงานสารคดี ซึ่งคนอาจจะคิดว่ามันหนัก แต่เราสามารถทำให้นิตยสารอยู่ได้และคนสนใจ นี่สำคัญมาก ที่จริงแล้ว งานทีวีสาธารณะส่วนหนึ่ง ก็คืองานสารคดี นี่อาจจะเป็นจุดหนึ่ง ที่เราพอจะทำประโยชน์ให้กับที่นี่ได้

"อย่างที่สอง ก็คือเราพอมีความเข้าใจในเรื่องทำข่าว และสนใจประเด็นข่าวสิ่งแวดล้อมมาตลอด แล้วก็คลุกคลีกับการเป็นคอลัมนิสต์ในมติชนและในกรุงเทพธุรกิจมานาน แต่สำคัญที่สุด น่าจะเป็นเรื่องที่ผมอาจจะมีความสามารถในการทำเรื่องที่มันยากให้คนเข้าใจง่าย ๆ ได้มากกว่า" วันชัยว่าไว้เช่นนั้น(ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2554)

ผ่านไปไม่นาน บทพิสูจน์ของไทยพีบีเอสก็มาถึงพร้อมกันกับ "น้องน้ำ" ที่ไหลจากทางเหนือของเมืองไทยมาสู่ภาคกลาง

ไทยพีบีเอส อันเป็นองค์กการมหาชนที่ได้เงินสนับสนุนจากรัฐปีละกว่า 2,000 ล้านบาทได้จัดคอนเซปต์ของสถานีในช่วงน้ำท่วมว่า "เราจะ..ฝ่าวิกฤตน้ำท่วมใหญ่.. ครั้งนี้ไปด้วยกัน" โดยเน้นให้รายการในสถานีปรับรูปแบบการนำเสนอเพื่อเป็นประโยชน์ต่อประชาชน(ผู้เสียภาษีให้กับรัฐ) ในสภาวะน้ำท่วม

ผลที่ได้ก็คือ ดอกไม้ ซึ่งมีมากกว่าก้อนอิฐหลายเท่าตัว

ส่วนหนึ่งของเครดิตในเชิงบวกที่ได้นี้ นอกจากจะชี้นิ้วไปที่ทีมงานของไทยพีบีเอสที่สู้กันมานานร่วมเดือน

ต้องไม่ลืมที่จะชี้มาที่ วันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ อีกคนด้วย

ธนา เธียรอัจฉริยะ

ธนา เธียรอัจฉริยะ...บริหารด้วยความสนุก จากดีแทค สู่แม็คยีนส์ และในที่สุด ทีวีแกรมมี่

ไม่กี่วันก่อนที่จะถึงปีใหม่ ผู้ใช้โทรศัพท์เครือข่ายดีแทคต่างปวดหัวกันเป็นทิวแถว เพราะสัญญาณดันขาดหายไปครึ่งค่อนวัน

แต่เหุตที่เกิดขึ้นในวันนั้น คงไม่เกี่ยวกับชายหนุ่มคิดบวกที่หน้าเปื้อนรอยยิ้มตลอดเวลา นามว่า ธนา เธียรอัจฉริยะ ในวันนี้อย่างแน่นอน

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องเซอร์ไพรซ์วงการธุรกิจอยู่พอสมควร หลังจากที่ ธนา เธียรอัจฉริยะรองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มกลยุทธ์และกิจการองค์กร ของ "ดีแทค"(ในขณะนั้น) ได้ประกาศลาออกจากบริษัทโลโก้สีฟ้าแห่งนี้ที่เขาปลุกปั้นแบรนด์ "Happy" จนโด่งดังทั่วบ้านทั่วเมือง

จาก "ธนา ดีแทค" เขาได้ลบนามสกุลสมมตินี้ ซึ่งก่อร่างอยู่ในตัวตนเขาตลอด 14 ปี ที่ทำงานที่นี่ เหลือแต่เพียงคำว่า "ธนา" เพื่อตามหาฝันก้าวต่อไป

พอถึงกลางปี ก้าวต่อไปของเขาน่าสนใจมาก เพราะมันเป็นเปลี่ยนสเต็ปการเดินจากธุรกิจโทรคมนาคม มาสู่ธุรกิจแฟชั่น ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท พี.เค.การ์เม้นท์ (อิมปอร์ต-เอ็กซ์ปอร์ต) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย "แม็คยีนส์"

เขารับตำแหน่งนี้เมื่อเดือนมิถุนายน 2554 แล้วเดือนต่อมา ธนาประกาศว่า จะใช้เวลา 123 วันเพื่อนำแม็คยีนส์ขึ้นสู่อันดับ 1 ในตลาดยีนส์ จากปัจจุบันเป็นเบอร์ 2 ของตลาดด้วยส่วนแบ่ง 35%

แต่อาจจะเป็นเพราะสไตล์ของเขาไม่ตรงกับวัฒนธรรมองค์กรของกางเกงยีนเจ้าดัง ชื่อของธนาจึงดูเงียบเชียบกว่าที่ควรจะเป็น

จนถึงปลายปี ชื่อของธนา กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ทางบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่แกรมมี่ได้รุกหนักในธุรกิจทีวีดาวเทียมแล้วดึง ธนา มาช่วยบริหารงานให้กับบริษัทใหญ่ย่านอโศกแห่งนี้

การปั้นแบรนด์ทีวีดาวเทียม ให้กับแกรมมี่ในปีหน้า ในสภาวะที่ธุรกิจเคเบิ้ลทีวีในภาพรวม โตวันโตคืน จึงถือเป็นที่น่าท้าทายสำหรับธนาเป็นอย่างยิ่ง

แต่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ธนาบอกว่า ปรัชญาการบริหารของเขาก็คือ

"ผมอยากเห็นองค์กรที่สนุก คือถ้าสนุกแล้วมันจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็เป็นองค์กรที่มีหัวใจ โดยจะเริ่มเป็นคนแรกด้วยการเอาเงินที่ได้จากการพูดไปเป็นกองทุนพนักงาน เพื่อให้องค์กรไว้ใจผมในระยะสั้น และอยากสร้างองค์กรที่กำไรเยอะ ๆ ไม่ต้องเลย์ออฟพนักงาน ไม่ใช่อยากทำกำไรเยอะ แล้วเอาพนักงานออก เราไม่จำเป็นต้องทุนนิยมสุดขั้วขนาดนั้น"(ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ วันที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554)
การตกผลึกทางความคิดของเขาในแนวทางนี้ คงจะทำให้เราได้เห็นอะไร "มันๆ" ที่กลั่นออกมาจากคมคิดของ "ธนา เธียรอัจฉริยะ" อย่างแน่นอน

เรื่อง...ณัฐกร เวียงอินทร์

Create Date : 31 ธันวาคม 2554

1 comments

Last Update : 31 ธันวาคม 2554 6:06:18 น.

Counter : 593 Pageviews.

ขอบคุณครับ.

โดย: backhold 31 ธันวาคม 2554 7:34:09 น.