โบรกแนะเก็งกำไร 6 หุ้นเด่น ดัชนีปรับตัวขึ้นตามตปท. กลุ่มแบงก์กลับมานำตลาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เช้านี้ ณ เวลา 9.38 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 30.96 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวขึ้นแรง 2-5% ตามตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปหลังจากธนาคารขนาดใหญ่ประกาศลดต้นทุนของวงเงินสว็อปดอลลาร์ในปัจจุบันลง 0.50% พร้อมกับจีนเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินอีกครั้งผ่านการปรับลดอัตราเงินสำรอง นักวิเคราะห์คาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงตามต่างประเทศ เก็งกำไร 6 หุ้นเด่น ได้แก่ SAT, TISCO, THCOM, SIRI ,PTT,KBANK

บล.ฟิลลิประบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ แนวโน้มตลาดวันนี้: ดีดตัวขึ้นต่อไม่ต่ำกว่า 10 จุดซื้อเก็งกำไร หลังข่าวบวกใหม่เข้ามา คาดจะเห็นการดีดตัวขึ้นของตลาดหุ้นไทยภายหลังธนาคารกลาง 6 แห่ง (สหรัฐ, อีซีบี,อังกฤษ, แคนาดา, สวิสเซอร์แลนด์ และญี่ปุ่น) ประกาศเสริมสภาพคล่องโดยปรับลดต้นทุนของวงเงินสว็อปดอลลาร์ในปัจจุบันลง 0.50% ตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. เพื่อเป็นการรับประกันว่าธนาคารนอกสหรัฐจะสามารถระดมทุนดอลลาร์ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งข่าวบวกจากการที่ทางการจีนประกาศลดการกันสำรองธพ. ลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี 0.5% สู่ระดับ 21% จึงทำให้ sentiment การลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงพุ่งขึ้น คาด SETI จะดีดตัวขึ้นเหนือ 1000 จุด โดยมีเป้าหมายแถว 1012-1020 จุด ก่อน จากปัจจัยใหม่ที่เข้ามา โดยนักลงทุนยังควรต้องติดตามความคืบหน้าของปัจจัยต่างประเทศอย่างใกล้ชิด และต้องไม่ลืมว่าปัญหาหนี้สินของยุโรปยังคงอยู่และยังไม่ได้รับการแก้ไข

กลยุทธ์การลงทุน: ซื้อเก็งกำไรต่อ โดยปรับเพิ่มพอร์ตระยะสั้นจาก 25% เป็น 50-75% ได้ตาม sentiment ที่ดูดีขึ้น แต่ยังดีไม่หมดเพราะมีเรื่องหนี้ยุโรปรอแก้ไข จึงอาจทยอยขายบางส่วนก่อนถ้าดีดตัวขึ้นแรงใกล้ 1020 แนวต้าน : 1000, 1012 แนวรับ : 990-985

การจัดพอร์ตระยะสั้น* - หุ้น 50-75% : เงินสด 50-25%

ถือต่อในพอร์ต : SAT, TISCO, THCOM, SIRI

หุ้นที่ปรับเข้า :

1. PTT เก็งกำไร FV 396 บาท ระยะสั้นเทรดในกรอบ 300-314 cut loss 296

2. KBANK เก็งกำไร FV 164 บาท ระยะสั้นเทรดในกรอบ 114-120 cut loss 111

บล.ฟินันเซีย ไซรัสระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ วิกฤติหนี้ยุโรปเริ่มมีความหวัง คาดมีลุ้น SET บวกต่อให้เทรดดิ้งตามได้...

แนวโน้ม เช้านี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกสดใสมากขึ้น หลังธนาคารกลางของทั้งสหรัฐและยุโรป รวมถึงประเทศชั้นนำทางเศรษฐกิจต่างๆ เห็นพ้องกันว่าจะปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อสนับสนุนสภาพคล่องของแบงก์ในยุโรปที่จะได้รับผลกระทบจากวิกฤติหนี้เพื่อไม่ให้ลุกลามเป็นวิกฤติสินเชื่อ ขณะที่ในบ้านเราผลการประชุม กนง. ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ตลาดคาด แสดงถึงแนวโน้มขาลงของอัตราดอกเบี้ยอาจจะไม่รุนแรงนัก ในขณะที่หุ้นกลุ่มแบงก์ในรอบที่ผ่านมาถูกกดดันจากคาดการณ์แนวโน้มขาลงของดอกเบี้ยค่อนข้างมาก ทำให้ราคาหุ้นแบงก์ใหญ่ปรับตัวลดลงไปพอควรแล้ว ดังนั้น FSS คาดว่าด้วยปัจจัยหนุนดังกล่าว มีโอกาสสูงที่หุ้นกลุ่มแบงก์จะกลับมานำตลาดบวกขึ้นได้ในรอบนี้ โดยเป้าหมาย SET ปี 54 นี้เรายังคาดการณ์ไว้ที่บริเวณ 1050 จุด

กลยุทธ์: ดังนั้นช่วงนี้จึงสามารถกลับเข้ามาเทรดดิ้งรอบใหม่ได้ โดยแนะนำให้เทรดดิ้งในหุ้นกลุ่มแบงก์ใหญ่ได้ (KBANK, BAY, BBL, SCB) รวมทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานที่คาดว่าจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงนี้ด้วย

(+) 6 ธนาคารกลางร่วมมือกันลด foreign exchange swap 0.5% เริ่ม 5 ธ.ค. นี้ เพื่อช่วยให้ประเทศนอกสหรัฐกู้ยืมเงินดอลลาร์ได้ง่ายขึ้น ลดความตึงตัวของสินเชื่อในยุโรป เป็นมาตรการที่ใช้ใน Lehman crisis และได้ผล

(+) จีนลด RRR เป็นครั้งแรกในรอบ 3ปี เพื่อลดภาวะสินเชื่อตึงตัว เริ่ม 5 ธ.ค.

(+) กนง.ลดดอกเบี้ย 0.25% พร้อมลดอีกหากเศรษฐกิจไม่ฟื้น ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันเหลือ 3.25% ขณะเดียวกันธปท.ได้ปรับลด GDP ปีนี้เหลือโต 1.8% จากเดิมคาดโต 2.6% เมื่อกลางเดือน ต.ค. แต่เพิ่ม GDP ปีหน้าเป็น 4.8% จากเดิม 4.1%

บล. กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยุโรป และน้ำมันดิบ ปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น ภายหลังเฟดและธนาคารของอีก 5 ประเทศ ได้แก่ ธนาคารกลางยุโรป (ECB), แคนาดา, อังกฤษ,ญี่ปุ่น และสวิสเซอแลนด์ รวมกันปล่อยกู้สภาพคล่องในสกุลดอลลาร์อย่างไม่จำกัด สำหรับธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ต้องการสภาพคล่องผ่านกลไกของการกู้ยืมระยะสั้นโดยมีพันธบัตรเป็นสินทรัพย์ค้ำ ประกัน ซึ่งโปรแกรมความช่วยเหลือดังกล่าวจะดำเนินการไปจนถึง 1 ก.พ.56 แม้ความพยายามดังกล่าวจะไม่ได้แก้ปัญหาวิกฤติหนี้ยุโรปโดยตรง แต่เป็นการแก้ปัญหาเรื่องความสภาพคล่องที่ตึงตัวจากการขาดเชื่อมั่นในตราสารหนี้ของทางยุโรปและเป็นก้าวแรกที่ดีและจะส่งผลบวกอย่างมากในระยะสั้น แต่ในระยะกลางถึงยาวมาตรการดังกล่าวยังไม่เพียงพอที่จะสกัดปัญหาที่เกิดจากความต้องการเม็ดเงินแท้จริงที่มากพอสำหรับการรีไฟแนนซ์หนี้ของหลายประเทศในยุโรปที่จะครบกำหนดในปี 2555 โดยเฉพาะหนี้ของอิตาลีที่จะครบกำหนดชำระในเดือน ก.พ.55

ดังนั้นเรามองว่าการปล่อยกู้ของ IMF จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการหยุดวิกฤติหนี้ยุโรปในระดับที่เด็ดขาด และมองว่าการเพิ่มทุนใน IMF โดยชาติสมาชิกรายใหญ่โดยเฉพาะจากจีน เพื่อให้มีวงเงินพอเพียงสำหรับการกอบกู้วิกฤติหนี้ยุโรปเป็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในที่สุด สำหรับในระยะสั้นผลของสภาพคล่องที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นของสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลก เราคงมุมมองว่าตลาดหุ้นยังมีแนวโน้มที่เป็นบวกไปอย่างน้อยจนถึงต้น ธ.ค.54 ไม่เปลี่ยนแปลง

กลยุทธ์การลงทุน: บรรยากาศในการเก็งกำไรยังคงเป็นบวก จากพัฒนาการในการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อมั่น ประเด็นการเก็งกำไรที่รออยู่ข้างหน้าประกอบด้วย 1) การประชุมสุดยอดผู้นำ EU 9 ธ.ค. 2) การประชุม Fed วันที่ 13 ธ.ค.3) การประชุม OPEC วันที่ 14 ธ.ค.ทั้งนี้จากการศึกษาของ KS ตลาดหุ้นเดือนธ.ค.มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเป็นบวกโดยหุ้นที่ Outperform ตลาดในช่วงดังกล่าวได้แก่กลุ่มพลังงานและวัสดุก่อสร้าง รวมถึงหุ้นขนาดกลางและเล็ก นักลงทุนระยะสั้นที่ต้องการความปลอดภัยเน้นเก็งกำไรไม่เกิน 9 ธ.ค.54 โดยเรายังคงเป้า SET index ปีนี้ไว้ที่เพียง 1020 จุด

แนะนำ 1) หุ้นที่ได้รับผลดีจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมเช่น CPF HMPRO GLOBAL SCCC DCC STEC TASCO VNG TPC และ TTCL 2) หุ้นกลุ่มพลังงาน PTT TOP PTTGC จาก seasonal และคาดว่าราคาน้ำมันในช่วงปลายปีจะได้รับผลดีจากการเข้า สู่ช่วงฤดูหนาวของสหรัฐฯ 3) หุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวกลับมาได้เร็วเช่น HEMRAJ AMATA SAT TICON ROJNA LPN AP SPALI 4) หุ้นที่คาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 1/55 จะออกมาดี ซื้อ CK, CPF, CPN, TTW, GLOW และเก็งกำไร MINT, CENTEL

สำหรับนักลงทุนระยะกลางที่ลดพอร์ตทำกำไรไปแล้ว ให้ Wait and See และรอสัญญาณกลับเข้าไปซื้อใหม่ คาดว่าจะเป็นช่วงต้นปีหน้าอาจเห็น SET ต่ำกว่า 900 อีกครั้งหนึ่ง ส่วนนักลงทุนที่มีต้นทุนสูงและยังไม่ได้ลดพอร์ต อาจใช้จังหวะการปรับขึ้นรอบนี้ในการลดการถือครองหุ้น โดยเฉพาะที่มีกำไรอยู่

Create Date : 01 ธันวาคม 2554		0 comments
Last Update : 1 ธันวาคม 2554 14:12:23 น.
Counter : 474 Pageviews.
Share Tweet