|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
26 มีนาคม 2548
|
|
|
|
เวรกรรมของคุณติ๋ม !!
|
มีน้องคนหนึ่งเขียนมาถามว่า ถนัดในเรื่องานฝีมือ อยากจะลองทำอะไรขายฝรั่งดู แต่ไม่ทราบว่าจะตั้งต้นอย่างไร ขอแนะนำว่า..ให้ไปเข้าสมาชิกกับสมาคม art and crafts ในพื้นที่ละแวกที่อาศัยอยู่หรือไปถามได้ที่ร้านขายของงานฝีมือทุกร้านค่ะ เพราะในการเป็นสมาขิก เขาจะมีการแนะนำเรื่องการออกขายในงานต่างๆว่าควรจะเป็นที่ไหนหรืออย่างไร รวมทั้งให้การปรึกษาได้ทุกเรื่อง ในอเมริกา..การหากินในแต่ละสาขาวิชาชีพ..บินเดี่ยวแทบไม่ได้เลยค่ะ และขอแสดงความยินดี..ถ้าหากว่า คุณสามารถแสดงฝีมือให้เป็นที่ได้ประจักษ์ จะเป็นอะไรก็ตามแต่ ลองหมุนไปตามกระแสดูเอาก็แล้วกัน ใช้ความเป็นศิลป บวกกับพานิชย์ ให้ออกมาได้เป็นสินค้าที่มีคนนิยม คุณจะได้ทั้งเงินและกล่อง
ป.ล. ไปตั้งกระทูผิดกลุ่ม เลยต้องมาตั้งใหม่ให้อยู่เป็นหมวดเป็นหมู่..หมู่นี้หลงๆลืมๆแล้วค่ะ
ส่วนน้องที่ถามมาว่า..ร้านอยู่ที่ไหนจะไปอุดหนุนนั้น ขอบอกว่า ล้างมือแล้วค่ะ ขายกิจการไปตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะต้องการที่จะใช้ชีวิตที่เป็นอิสระ อายุมากแล้ว..เพราะตลอดเวลามาที่มีร้าน นับตั้งแต่ร้านอาหารฝรั่งเศส มาจนถึงไทยนี้ ใช้เวลากว่ายี่สิบปี ขอสารภาพเลยค่ะว่า ไม่มีเลยที่จะมีคืนไหนที่เข้านอนแบบหลับตาได้สนิท เพราะ ต้องย้ำเตือนตัวเองเสมอว่า พรุ่งนี้ก่อนเข้าร้านต้องแวะซื้อโน่นซื้อนี่..หรือ ..มีนัดไว้กี่โมง..หรือ ตายห่ะ..ลืมปิดไฟในเตาหรือเปล่า? เรื่องที่ว่าจะรวยอย่างเป็นกอบเป็นกำ มีเงินเป็นถังนั้น ไม่จริงหรอกค่ะ.เพราะร้านอาหารขนาดเล็กเกินไปกว่าที่จะทำเงินหมุนเวียนได้ขนาดนั้น แต่..มันก็ยังใหญ่พอที่จะสร้างความเดือดร้อนได้ ถ้าดวงตกจริงๆ..
อเมริกา..ไล่ตามความคิดของคนไทยแบบจี้ติดเป็นลูกโซ่ กล่าวคือ พวกเขารู้ดีว่าเจ้าของร้านค้า(ทุกชนิด)จะคดโกงโดยการที่แต่งบัญชีเงินสด.. ฉะนั้น..พวกเขาจึงสนับสนุนให้คนใช้เครดิตการ์ด เพราะ ทุกครั้งที่ใช้..เงินจะผ่านเข้าออกให้เห็นในธนาคารแบบชัดเจน เมื่อฉันทำร้านใหม่ๆ.. ลูกค้าจ่ายด้วยเงินสดประมาณว่า 60 % แต่ในปัจจุบันมานี่ เรียกได้ว่าเป็นเครดิตการ์ดเสีย 80-90 % เชียวค่ะ เท่านั้นไม่พอ..ลูกจ้าง..หมายถึงพนักงานเสริฟ จะต้องรายงานรายได้ทิปในทุกช่วงตัดการทำเงินเดือน..เช่น สองอาทิตย์มานี่ ได้รับทิปมาห้าร้อย..เราจะต้องหักเงินเดือนเขาออกส่วนหนึ่งเพื่อส่งไปเป็นภาษีรายได้ของเขาในจำนวนของห้าร้อยที่ได้รับ (ประมาณว่า 25-33%) เพราะถ้าไม่หัก...เจ้าของร้านจะได้รับข่าวร้ายในต่อมาว่า.. IRS ขอเรียกเงินค่าภาษีเพิ่มจากทิปที่คุณไม่ได้รายงาน..โดยคำนวนจากยอดขาย เช่น คุณแจ้งไปว่าปีที่แล้วขายได้ หนึ่งแสน เท่ากับว่า..ทิปของคุณ จะเป็นใครรับไปก็ตาม ถ้าคุณไม่แจ้ง เข้าของร้านคือผู้รับผิดชอบ เท่ากับ หนึ่งหมื่นห้าพันเหรียญ ฉะนั้น..อัตราส่วนที่จะเสียนั้น คือเงินหลายพัน พร้อมทั้งค่าปรับที่ไม่ได้แจ้งตามเวลากำหนดอีกมากมาย..
จึงขอบอกว่า..การเป็นเจ้าของร้านหรือเจ้าของกิจการใดๆก็ตาม..ความรับผิดชอบนั้นมหาศาลยิ่งนักจะมาทำเล่นๆไม่ได้ ขอเล่าเรื่องเก่าอีกเรื่องหนึ่งนะคะ..เป็นอุทธาหรณ์ที่ดีทีเดียว..
เมื่อห้าปีที่ผ่านมา..คนในแอลเอจะรู้เรื่องนี้ทุกคนไปถามได้ ส่วนฉันนั้น คือ นักกอล์ฟที่กำลังขยันประลองฝีมือโดยไปแข่งตามสมาคมต่างๆ ไปถึงแอลเอเชียวนะคะ..หลังจากเล่นกอล์ฟ เรามักมีงานเลี้ยงพบปะสังหารอันเป็นเรื่องธรรมดา และได้รู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่ง ขอเรียกเธอว่า..คุณติ๋มนะคะ คุณติ๋มเข้ามาในวงการกอล์ฟ เพราะมีลูกชายวัยรุ่นที่เป็นนักกอล์ฟฝีมือฉกาจ และตัวเธอเองเป็นผู้ที่จัดว่าอยู่ในสังคมระดับแนวหน้า หรือ กลุ่มเจ๊ทเซ็ทของแอลเอคนหนึ่ง..ประวัติว่า..เลิกกับสามีที่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ย้ายมากับลูกชายมาอยู่ในเมืองนอก เพื่อลูกชายสุดที่รักจะได้เรียนหนังสือและมุ่งสู่เส้นสายของการเป็นโปรกอล์ฟต่อไปในวันข้างหน้า ในตอนที่ฉันได้รู้จักกับคุณติ๋มใหม่ๆ รู้สึกประทับใจในความที่เธอเป็นคนที่คล่องสังคม แต่งตัวงามเหมาะเจาะด้วยรสนิยมดีเลิศ
จากนั้น..ก็มารู้ที่หลังว่า คุณติ๋มเธอไปเปิดร้านอาหาร เพราะว่า เธอมีคนงานพร้อมอยู่ในบ้าน นั่นคือ สาวใช้ทั้งสองคนที่นำติดตัวมาอยู่ด้วยในเมืองนอกนี่ โดยเอาไปเป็นแม่ครัว.. ต่อมา..เธอคงเบื่อร้านอาหารขึ้นมา เพราะในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องสนุกเลย และ ปัญหามากอย่างที่เล่ามาให้ฟัง.. เธอจึงประกาศขายร้าน..ผู้มาซื้อคือ คุณเจ (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นคนที่กว้างขวางในวงการสื่อหนังสือพิมพ์ของแอลเอคนหนึ่ง ในข่าว..คือ เป็นการซื้อแบบเงินผ่อนเป็นงวด โดยการเซ็นเช๊คให้ล่วงหน้าหลายใบ.. คุณเจ..ซื้อร้านไปแบบรับทอดแม่ครัวมาได้ เพราะอย่างน้อยๆ ก็ไม่ต้องไปหาที่ไหน และ สองคนนั่นก็ยังมีงานทำเป็นอาชีพเสริม
ต่อมา..ธุรกิจที่คุณเจซื้อมาทำท่าว่าจะไปไม่รอด..เช๊คที่เซ็นไว้ให้เด้งตามกันเป็นระนาว คุณติ๋มก็ทวง..แต่ไม่ทราบว่า ทวงกันอีท่าไหนกลายเป็น"ศึก"ใหญ่ ที่คนทั้งสองต้องฟาดฟันกันอย่างถึงพริกถึงขิง.. มีการขู่ฟ้องร้องถึงศาลในการจ่ายเช๊ค..จากคุณติ๋ม คุณเจ..จึงย้อรอยได้อย่างสวยงาม คือ ไปเกลี้ยกล่อมแม่ครัวทั้งสองว่า..จะขอใบเขียวให้ แต่ต้องเซ็นเอกสารที่ตรงนี้ เอกสารที่ให้คือภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่..ทั้งสองคงทราบว่าเป็นจดหมายราชการจึงลงเซ็นด้วยความยินดี..ว่าจะได้ใบเขียวในเร็ววัน ตอนนั้น..คุณติ๋มไปเที่ยวเมืองไทย จึงไม่ทราบว่าอะไรได้เกิดขึ้น วันที่คุณติ๋มกลับมาถึงอเมริกา..วันนั้นคือวันที่เธอถูกจับที่สนามบินทันที ด้วยข้อหาหลายชนิด ที่แน่ๆคือ "ค้าแรงงานทาส" โดยผู้กล่าวหาคือ สาวใช้แม่ครัวทั้งสองของเธอเอง...ตามข้อความในเอกสารที่คุณเจส่งมาให้เซ็น ทั้งหมดคือข้อกล่าวหาล้วนๆ ซึ่งแต่ละข้อหนักหนาสาหัสนัก ข้อที่หนึ่ง คือ..ให้ที่อยู่แก่ผู้ที่อยู่อย่างผิดกฏหมายภายในบ้าน ข้อที่สอง คือ..กดขี่แรงงานคนทั้งสองเยี่ยงทาส ทำงานตั้งแต่เช้ามืดจนกระทั่งดึกดื่น และ ต้องคลานด้วยเข่าในการที่จะส่งของให้นาย ข้อที่สาม คือ..ได้เก็บใบสำคัญคือพาสปอร์ตไปโดยที่เจ้าตัวมิได้ยินยอม ข้อที่สี่ คือ.. กักขังและหน่วงเหนี่ยวไม่ให้ออกนอกบริเวณ ข้อที่ห้า คือ..บังคับให้คนทั้งสองไปเปิดบัตรเครดิต แล้ว..คุณติ๋มนำไปรูดเป็นเงินหลายพัน แล้วก็ไม่ใช้ให้ จนคนทั้งสองเสียประวัติทางด้านการเงิน
Create Date : 26 มีนาคม 2548 |
Last Update : 26 มีนาคม 2548 2:00:40 น. |
|
2 comments
|
Counter : 1123 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: suparatta IP: 202.57.159.199 วันที่: 26 มีนาคม 2548 เวลา:19:38:11 น. |
|
|
|
| |
|
|
WIWANDA |
|
|
|
|
นี่คือการเชือดไก่ให้ลิงดูครั้งใหญ่ของประวัติศาสตร์ INS เพราะข่าวเรื่องโรงงานเย็บผ้านรกนั่นยังไม่ทันจางหายไป ข่าวนี้ก็มาแทนที่
สาวใช้ทั้งสอง..กว่าจะรู้ตัวว่าถูกหลอกให้เซ็นเอกสารให้ร้ายกับนายตัวเองแล้ว ก็ต้องอยู่ในสภาพตกกระไดพลอยโจน เพราะ ยิ่งทำให้ข้อหาร้ายแรงเท่าไหร่
ตัวเองก็กลายเป็น"เหยื่อผู้น่าสงสาร"มากเท่านั้น
และ การเป็นตกเป็นเหยื่อค้าทาสแบบนี้..รัฐบาลจะกันเอาไว้เป็นพยานพร้อมทั้งออกวีซ่าให้อยู่ยาวจนกว่าคดีจะจบ
และ ถ้าคุณติ๋มผิดจริงๆอย่างที่ว่า..รับใบเขียวไปเลย
การต่อสู้ของคุณติ๋มเป็นไปอยู่หลายปี ข้อหาทุกอย่างก็พอกล้อมแกล้มไปได้ เพราะ ไม่มีการกักขังหน่วงเหนี่ยว เพราะคนสองคนยังไปทำงานได้
เรื่องการเก็บพาสปอร์ต ก็อาจว่า ช่วยรักษาไว้ให้
เรื่องการคุกหรือคลานเข่า..ก็อาจจะว่าเป็นประเพณีไทย
เหลืออยู่สองเรื่องที่ผิดมาก แก้ไม่ได้ นั่นคือ การสมรู้ร่วมคิดนำคนเข้าประเทศให้อยู่อย่างผิดกฏหมาย กับ เรื่องเอาบัตรเครดิตของคนอื่นไปใช้
ที่ทำให้คุณติ๋มต้องใช้กรรมอยู่ในคุก..ด้วยการตัดสินถึงเจ็ดปี
สำหรับฉันนะคะ เอาใจช่วยเธอเสมอ เพราะทราบดีว่า นี่คือการบกพร่องโดยสุจริต ที่..คนไทยอื่นๆก็ทำถมไปแถมบางคนมีสีสันมากกว่ามากมาย
แต่เผอิญว่ายังไม่ถึงคราวเคราะห์เท่านั้นเอง