๛ ภูษาโยง ๛ (บทที่ 16 : การเยียวยา)



...

...

...

นพพรทำได้เพียงหยุดยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล

การสืบหาชื่อและที่อยู่ของภาคิมทำได้ไม่ยากจนเกินไปแต่กว่าเขาจะตามรอยมายังโรงพยาบาลแห่งนี้ได้ก็เป็นเวลาพลบค่ำ ช่วงสายเขาไปส่งลัดดากลับบ้านและบอกหงุนขอพักงานสักวันหนึ่งก่อนไอ้หงุนมันดูเหงาๆ ที่ไม่ได้นั่งรถเล่นและออกไปช่วยคนตั้ง 1 วันนพพรให้เงินจำนวนหนึ่งให้มันไปหาซื้อเสื้อและกางเกงใหม่ๆ ใส่ เผื่อจะมีสาวๆหันมาสนใจบ้าง จึงค่อยเข้าทาง ไอ้หงุนรับเงินแล้วถลาไปตลาดอย่างรวดเร็ว

นพพรขับรถไปยังมูลนิธิที่เขาสังกัดอยู่อย่างไม่รีบร้อนนักที่นั่นเป็นสำนักงานเล็กๆ แทรกตัวอยู่ในตึกแถวข้างศาลเจ้าจีนที่เก่าคร่ำคร่าภายในมีอุปกรณ์สำนักงานเช่นโต๊ะ เก้าอี้ ตั่งที่วางอุปกรณ์สื่อสารตู้ที่บรรจุเอกสารมากมายวางเรียงกันเป็นตับ บนเพดานมีหลอดไฟให้แสงสว่างเพียงรำไรส่วนอุปกรณ์ปรับอากาศมีเพียงตัวเดียวคือพัดลมแขวนผนังรุ่นโบราณที่ส่งเสียงครวญหึ่งๆและส่ายไปมาราวกับจะร่วงลงมาเมื่อใดก็ได้เมื่อเดินผ่านบรรยากาศขมุกขมัวไปจนถึงด้านในสุดของห้อง ก็จะพบอาสาสมัครอาวุโสอยู่โยงที่ศูนย์อำนวยการคอยรับเรื่องบันทึกเหตุการณ์ และส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ นพพรเข้าไปกล่าวสวัสดีชายที่นั่งอยู่ประจำโต๊ะก็ลุกขึ้นมาหัวเราะร่าและกล่าวทักทายเสียงดังขโมงโฉงเฉง เจ้าของเสียงเป็นชายร่างท้วมผิวขาวจนเกือบซีดใบหน้าขณะยิ้มนั้นแก้มดูคล้ายซาลาเปาลูกขนาดกลางโผล่ออกมาจากหม้อนึ่ง เด็กตามตึกแถวข้างๆเรียกเขาว่าอาแปะและชายสูงวัยคนดังกล่าวก็จะหัวเราะร่าและยิ้มรับแต่โดยดี

อาแปะไม่เพียงทำหน้าที่เฝ้ามูลนิธิและคอยประสานงานเขาจะคอยตัดข่าวอุบัติเหตุเก็บไว้เป็นทีระลึกอยู่รอบๆ ผนังด้านหลังโต๊ะทำงาน นพพรเข้าไปขอให้อาแปะช่วยค้นข่าวย้อนหลังจนพบข่าวคนต่างด้าวถูกรถชนและเสียชีวิตในที่เกิดเหตุผู้ขับรถเป็นบัณฑิตจบใหม่ที่มาพร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน

นพพรไม่สนใจเนื้อหาของข่าวที่ค่อนข้างบิดเบือนเขาจดชื่อผู้อยู่ในเหตุการณ์ทีละคนลงบนกระดาษ

โภครมดวล – เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

บุญเทือน – เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ

เตชิตทับเมฆา – เสียชีวิตในโรงพยาบาล

ภาคิมเดชาพิชิต – ปลอดภัย

นักนินปุระมณี – ปลอดภัย

“ลื้อจาเอาไปทำอาลาย”

อาแปะยื่นหน้าถามไม่ใช่ด้วยกิริยาจับผิดหรือสอดรู้สอดเห็น นพพรสัมผัสได้ถึงความเอาใจใส่ เป็นห่วงเป็นใยและอยากให้ความช่วยเหลือ

“ผมอยากรู้ว่าจะไปตามหาคนพวกนี้ได้ที่ไหนน่ะครับมีของบางอย่างจะคืนให้เขา”


“ฮ่อๆ เจี๊ยะป้าบ่อสื่อ ของที่ลื้อจะเอาไปให้เค้าน่ะ เค้าอยากได้หรือเปล่า”

“คงไม่อยากได้นักหรอกครับเจ้าของเขาก็คงลืมไปแล้ว หรือไม่ก็ไม่รู้จะไปหาที่ไหนส่วนทางผมก็แค่ไม่อยากเก็บเอาไว้ให้มันกวนใจเล่น”

“ไหนขออั๊วดูหน่อย”

นพพรล้วงกระเป๋ากางเกงและหยิบนาฬิกาเจ้าปัญหา วางบนหนังสือพิมพ์ท่อนที่มีข่าวอุบัติเหตุ

“นี่ครับนาฬิกาที่ผมได้มาจากข้อมือของคนขับ แต่มันคนละข้างและคนละเรือนกับคนชนที่อยู่ในข่าว”

“ฮ่อ...”

อาแปะชราลากเสียงยาวอย่างคนผ่านร้อนหนาวมานานสื่อความเพียงสั้นๆ นิดเดียวก็เข้าใจ

“น่าสงสารจริงๆเลย”

“อาซ้งสงสารเจ้าของนาฬิกาหรือครับ”

“ป่าวอั๊วจะไปสงสารมันทำเตี่ยอาลาย อั๊วสงสารลื้อต่างหากล่ะตี๋หยั่งที่สำนวนไทยเขาพู่กว่ายังไงนะ เนื้อไม่ได้กิง หนังไม่ได้รองนั่งเอากาดูกมาแขวงคอ เฮ้อ ลื้อเอาของกลางมานั่งอมพะนำไว้อย่างนี้ไปทำไมส่งให้นักข่าวไปซะก็สิ้นเรื่อง”

“ก็ตั้งแต่วันแรกที่ได้ยินข่าว ผมคิดไปคิดมาอยู่หลายวันเหมือนกันครับใจนึงก็อยากทำผิดให้เป็นถูก ใจนึงก็ไม่อยากยุ่งเพราะดูนามสกุลคนทำผิดกับวิธีปิดปากตำรวจและสื่อที่เสนอข่าวก็ดูแนบเนียนไม่มีที่ติจนผมคิดว่าทำอะไรลงไปก็คงไม่มีประโยชน์”

“แล้ววันนี้คิดยังไงถึงมาหาอั๊ว”

“วันก่อนผมเห็นผู้หญิงในรูปตอนไปส่งคนเจ็บที่โรงพยาบาล หน้าตาเธอยังอมทุกข์อยู่มากเลยนะครับ”

“ฮ่อเอาจริงๆ อั๊วก็สงสารคนที่ตาย เขามาจากต่างด้าวต่างแดน พลัดบ้านเกิดเมืองนอนมาโดนชนเปรี้ยงเดียว ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ หาคนรับผิดชอบไม่ได้ยังไม่พอ ดูท่าทางทางบ้านจริงๆคงจะยังไม่ลู้เลื่อง”

“ใช่ครับอาซ้ง ถ้าจะทำผิดให้เป็นถูก ในทางกฎหมายเราต้องหาเจ้าทุกข์หรือญาติคนตายมาดำเนินคดีส่วนในเรื่องมนุษยธรรม คนตายควรจะได้กลับบ้าน ส่วนของญาติคนตาย ผมจะช่วยติดต่อให้แต่ก็ต้องพึ่งพาอาซ้งอยู่มาก เพราะผมไม่ได้เก็บอะไรไว้เลย นอกจากนาฬิกาเรือนเดียว”

“ฮ่อๆอยากช่วยคนตาย หรืออยากช่วยอีหนูคนนั้นกันแน่”

คำพูดของอาแปะซ้งเหมือนแทงใจดำนพพรนิ่งเงียบไป ไม่คัดค้านแต่ก็ไม่เห็นด้วย

“อั๊วขอโทษทีถ้าคำพูดอั๊วมันแรงไปอั๊วรู้ว่าลื้อรักเมียของลื้อคนเดียว นี่คงคิดว่าถ้าช่วยทำอะไรที่จวนเจียนจะผิดพลาดให้มันกลับฟื้นขึ้นมากลายเป็นดีได้ ลื้อคงจะรู้สึกผิดน้อยลงสินะ”

อาแปะคนนี้แท้จริงรู้เรื่องราวทุกอย่างของนพพร แต่ก็ช่วยรักษาความลับทุกอย่างได้เป็นอย่างดีชายชราผู้เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งวัยเป็นเหมือนประตูเปิดสู่ความลับและเงื่อนงำมากมายมหาศาลแต่กลบเกลื่อนไว้ด้วยท่าทางของอาแปะเฝ้ามูลนิธิธรรมดาๆ ไม่มีอะไรน่าสนใจตราบเท่าที่ยังไม่มีใครหันมาสนใจ นั่นเป็นความอิ่มเอมใจของชายชราผู้นี้

“ครับ”

“นี่ถ้าลื้อกลับไปเป็นหมอลื้อจะช่วยคนได้มากกว่านี้มากนะอาตี๋ ขอโทษที่ละลาบละล้วงอีกทีอั๊วรู้ว่าลื้อไม่อยากให้พูดถึง แต่เห็นแก่อาแปะแก่ๆ สักครั้งเถอะ จบงานนี้ลื้อจะกลับไปเป็นหมอให้อั๊วชื่นใจล่ายมั้ย”

“อาซ้งก็รู้ว่าหลังจากภรรยาผมเสียชีวิต ผมก็จับมีดผ่าตัดไม่ได้อีกเลย มือไม้มันสั่นไปหมดหนักเข้า อย่าว่าแต่ถือมีดผ่าตัด แค่เหยียบเข้าไปในโรงพยาบาล ผมยังทำไม่ได้”

“เฮ้อแล้วก็แทนที่จะไปรักษาอาการถือมีดไม่ได้ลื้อก็ออกมาทำงานเป็นหน่วยกู้ภัยเสียอย่างนี้ มันถูกมันใช่ไหมล่ะตี๋”

เงียบไม่มีเสียงตอบรับจากนพพร

“ที่จริงอั๊วนี่ก็เจี๊ยะป้าบ่อสื่ออยู่เหมืองกางเอาเป็นว่าแล้วแต่ลื้อก็แล้วกาง อั๊วพูกมากไปก็ม่ายลี ฮ่อๆ”

อาแปะเลิกเซ้าซี้และเริ่มยกหูโทรศัพท์โทรไปถามเครือข่ายในแต่ละจุดไม่ว่าจะเป็นห้องเก็บศพของโรงพยาบาล หรือสัปเหร่อตามวัด จนได้ข้อมูลมาว่าศพของโภครมดวล และ บุญ เทือนถูกทิ้งไว้ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลหลายวันจนเกือบเป็นศพไม่มีญาติ จนกระทั่งมีหญิงไทยคนหนึ่งระบุว่าเป็นเจ้าของห้องเช่าที่ทั้งสองคนพักอยู่ มารับศพของทั้งคู่ออกไปทำพิธีพร้อมกันงานฌาปนกิจศพของทั้งสองคนจัดขึ้นในวัดเล็กๆ บริเวณใกล้เคียงกับที่เกิดอุบัติเหตุสัปเหร่อของวัดเก็บอัฐิของทั้งสองแยกไว้ต่างหากเพื่อรอญาติมารับเป็นเวลาร่วมสามเดือนแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครมาติดต่อ

“พวกเสื้อผ้าข้าวของ ก็เผาไปกับศพหมดเลยหรือครับ”

“ฮ่อปรกติก็จะทำกันแบบนั้น แต่เท่าที่ฟังมา อาสัปเหร่อบอกอั๊วว่า 2 ศพนี้แรงมาก ตอนเป็นคนดูเงียบๆไม่สุงสิงกับใคร แต่พอตายแล้วหวงข้าวของเหลือกำลังคนข้างห้องโดนหลอกหลอนจนอาเจ้เจ้าของห้องเช่าต้องไปรับศพมาทำพิธีให้ส่วนอาสัปเหร่อก็เห็นเงาคนกอดกล่องข้าวของไว้ ไม่ให้ยกไปเผา อีกเลยขนข้าวของของ 2ศพนี้ไปไว้ด้านในสุดของห้องเก็บของ”

“อย่างนี้ก็พอมีหวังยังพอเหลือร่องรอยไว้ให้สืบหาญาติที่บ้านเกิดเมืองนอนได้”

“ฮ่ออะนี่ ที่อยู่ของอาสัปเหร่อ ให้อั๊วไปเป็นเพื่อนหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไรครับอาซ้งขอบคุณอามากครับ”

“เอ้าเดี๋ยวสิยังบอกไม่หมดเลย อาตี๋ที่เป็นเจ้าของนาฬิกาน่ะวันก่อนเห็นมีแจ้งขอความช่วยเหลือให้ไปรับเด็กหนุ่มหัวน็อคพื้นที่ส่งโรงพยาบาลน่าสงสารอีคงจะล้มลงไปนานแล้วกว่าจะไปถึงกว่าจะพาไปส่งโรงบาล หมอเลยให้ยาไม่ทัน ปรกติถ้าพาไปหาหมอไวๆนา เคยเห็นหมอให้ยาละลายลิ่มเลือด นอนโรงบาลแป๊บเดียวกลับมาเดินปร๋อเค้าเรียกอะไรนา ซาโตะๆ”

“ครับสโตรค(Stroke)*”

“อือนั่นแหละ โรคทางหมอๆ อั๊วก็ไม่ค่อยมีความรู้พวกนี้หรอกลื้อเองก็ยังไม่ลืมวิชาของตัวเองนี่นา”

นพพรยิ้มแหยๆและส่ายหน้า

“รายนี้ก็คนของเราอีกเหมือนกันที่ไปรับแล้วก็กลับมาเล่าให้ฟัง อั๊วคุ้นๆ ชื่อ เลยโทรกลับไปถามดู ใช่คนเดียวกันกับที่ลื้อบอกว่าเป็นคนขับนี่แหละเอ้านี่ โรงพยาบาลที่อีนอนอยู่ ตอนนี้กลายเป็นอัมพฤกษ์เสียละมังไม่รู้จะใส่นาฬิกาที่ลื้อจะเอาไปให้ได้หรือป่าว”

อาแปะยังทำเป็นมีลีลาและเล่นมุกที่จริงมีเจตนาแฝงคือตักเตือนนพพรอยู่เป็นนัยๆ ว่าจะทำอะไรให้ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำอย่าผลีผลามทำร้ายจิตใจคนป่วยจนเกินไปนัก

“ขอบคุณมากครับอาซ้งไว้มีโอกาสผมคงได้ตอบแทน”

“ลื้อรู้อยู่แล้วว่าอั๊วต้องการอะไรตอบแทนจากลื้อ เมื่อครู่ทำเป็นนิ่งเงียบ”

นพพรขมวดคิ้วแล้วกระตุกยิ้มบอกกับอาแปะเหมือนอาตี๋น้อยรู้สึกสำนึกผิด

“ผมก็แค่คิดอยู่ว่า ถ้าจะกลับไปทำอาชีพเดิม ควรจะเริ่มต้นยังไงดี”

“ง่ายที่สุดเลยอาตี๋เริ่มตรงนี้ นี่ๆ”

อาแปะเอื้อมมือมาตบแปะๆตรงหน้าอกข้างซ้ายของนพพร เจ้าตัวก้มลงมองตามมือของอาแปะแล้วรู้สึกว่าหัวใจที่คล้ายหยุดเต้นไปเป็นเวลานานกลับพลิกตัวและขยับกลับมาเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง

“อั๊วรอฟังข่าวดีนา”

“ครับอาซ้ง”

นพพรยกมือไหว้ชายชราแล้วจากมานึกถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต นึกถึงใบหน้าของลลิตาที่พบกันบนเครื่องนึกถึงคำพูดของอาแปะ นึกถึงความรู้สึกอุ่นใจที่ได้รับจากลัดดารู้สึกถึงความเมตตาสงสารที่เกิดขึ้นกับนักนิน

ความรู้สึกที่ประเดประดังเข้ามาทำให้เขารู้สึกมีชีวิตชีวา สัมผัสได้ถึง “หัวใจ”ของคนเป็นมนุษย์ขึ้นมาอีกคราวหนึ่ง

นพพรขับรถไปถึงที่อยู่ของสัปเหร่อแสดงบัตรของมูลนิธิเพื่อขอรับสมบัติของผู้ตายที่เป็นศพไร้ญาติสัปเหร่อให้ความร่วมมือและช่วยเหลือเป็นอย่างดีเมื่อเอ่ยชื่ออาแปะซ้ง

กว่าจะแล้วเสร็จภารกิจทางฝั่งผู้เคราะห์ร้ายก็ทำให้นพพรมาถึงโรงพยาบาลในเวลาที่งดเยี่ยมภาคิมแล้วเช่นเดียวกัน

*•..,..,..• * * •..,..,..• * * •..,..,..• ** •..,..,..• *

นพพรทำได้เพียงหยุดยืนอยู่หน้าโรงพยาบาล

เขารู้ว่าโรงพยาบาลจำกัดเวลาเยี่ยมเอาไว้แต่ใจหนึ่งก็คิดว่าจะมาทัน เมื่อมาไม่ทันก็ทำได้เพียงตรวจสอบว่าภาคิมยังคงนอนอยู่ในโรงพยาบาลหรือไม่และอยู่ในห้องใดเตียงใด

“ห้องไอซียูเตียง 4 ค่ะแต่หมดเวลาเยี่ยมแล้วนะคะ พรุ่งนี้คุณค่อยมาใหม่”

“ครับ ขอบคุณครับ”

นพพรทึ่งเล็กน้อยที่พนักงานเวชระเบียนให้คำตอบได้รวดเร็วทันใจโดยแทบไม่ต้องพลิกแฟ้มประวัติ


“วันนี้มีคนมาถามหาคนไข้รายนี้บ่อยน่ะค่ะ”

เจ้าหน้าที่เวชระเบียนในจุดต้อนรับยิ้มหวานราวกับพนักงานต้อนรับในโรงแรมนพพรถอยหลังออกมาสูดกลิ่นของโรงพยาบาลเพื่อรวบรวมความกล้าที่จะเดินเข้าไปอย่างอาจหาญในวันพรุ่งทันใดนั้น เขาก็มองเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง เดินมากับชายสูงวัยอีกคน พากันไปยังที่จอดรถครานี้เขาเห็นเพียงแวบเดียวก็จำได้หญิงสาวคนนั้นคือหญิงสาวคนเดียวกับที่เขาเคยช่วยไว้ในที่เกิดเหตุ

พัลลภเปิดประตูให้นักนินขึ้นไปนั่งรอในเบาะที่นั่งข้างคนขับส่วนตัวเขาอ้อมไปหยิบขวดน้ำด้านหลังรถถือไว้ในมือก่อนจะเปิดประตูไปนั่งตรงเบาะของคนขับ

นพพรไม่รู้จักว่าชายสูงวัยผู้นั้นเป็นใครแต่ลางสังหรณ์ในใจบางอย่างทำให้รู้สึกว่าชายผู้นั้นไม่น่าไว้วางใจนัก

‘ไหนๆวันนี้ก็เจี๊ยะปาบ่อสื่อมาทั้งวันแล้วนี่นา’

ภาพของอาแปะซ้งมาตบบ่าและพูดปลอบใจอยู่ข้างๆ

การขับรถติดตามของนพพรในช่วงแรกที่การจราจรค่อนข้างแออัดจึงเหมือนรถของมูลนิธิทั่วไปที่วิ่งอยู่ตามท้องถนน ไม่น่าผิดสังเกตแต่ประการใดแต่เมื่อตัดออกไปยังถนนสายรองจนกระทั่งค่อนไปทางเปลี่ยว รถยนต์ขนาดเล็กอีกคันหนึ่งก็วิ่งแซงขึ้นไปพร้อมกับปิดไฟหน้านพพรจึงทำเลียนแบบบ้าง

ในเวลาที่พัลลภพานักนินเลี้ยวเข้าซอยเปลี่ยวจึงไม่ได้รู้สึกตัวเลย ว่ามีรถแอบตามมาอีก 2 คันและสองคันหลังยังกดเรียกตำรวจมาในเวลาใกล้เคียงกันอีกต่างหาก

“ว.2 ว.2 อาจมีเหตุฉุกเฉินขอเจ้าหน้าที่ตำรวจมาที่ถนน... กม. 10 ในเวลานี้ด้วยครับ”

“ว.4 เมื่อครู่ก็มีผู้หญิงญี่ปุ่นโทรมาพูดจากโนะๆ เนะๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง คุณลองบอกพิกัดมา ตำรวจจะได้ไปถูก”

“ได้ครับ”

ผ่านเข้าซอยไปได้อีกสักพักรถคันที่หญิงสาวนั่งไปด้วยก็จอดลง รถของนพพรทิ้งระยะห่างไว้ไกลพอสมควรจึงเห็นเหตุการณ์ได้ไม่ชัดเจนนัก และทันทีที่เสียงปืนดังลั่นรถของตำรวจก็เลี้ยวเข้ามาในรัศมีพร้อมกับเปิดไฟจ้า ดูเหมือนเหตุการณ์จะประจวบเหมาะไปเสียทุกอย่างคนร้ายถูกจับกุมไว้ได้ทันท่วงที ไม่มียืดเยื้อ นพพรเกือบจะตัดสินใจเลี้ยวรถกลับ

“ว.2 ว.2 พบคนถูกยิงเรียกอาสาสมัครที่อยู่ใกล้ถนน... กม. 10 มารับโดยด่วน”

...

...

...


ชั่วขณะนั้น นักนินประคองเกนโซเพื่อเดินไปขึ้นรถของหน่วยกู้ภัยฮานาโกะเดินเซเซ่ดๆ ตามมา ทุกคนพบว่าเจ้าหน้าที่ของหน่วยกู้ภัยที่ลงมารับคนเจ็บมาถึงเร็วเกินคาดอีกเช่นกันแต่ที่น่าสังเกตมากกว่านั้นคือบุรุษกู้ภัยที่ลงมาจากรถคันนั้นกับนักนินต่างจ้องมองกันด้วยสายตาประหนึ่งว่าทั้งสองเคยรู้จักกันมาก่อน

นักนินขยับปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วนพพรก็เป็นฝ่ายละสายตาไปหาชายหนุ่มที่เธอประคองมาเขาช่วยพันบาดแผลและทำการปฐมพยาบาลก่อนจะพาเกนโซนอนบนเปลและขึ้นรถเพื่อพาไปส่งโรงพยาบาล

นักนินนั่งนิ่งไปตลอดทางส่วนหญิงสาวแดนอาทิตย์อุทัยปัดความคิดฟุ้งซ่านของตัวเองทิ้ง
เวลานั้น ทั้งสองมีเกนโซเป็นจุดรวมใจให้คอยเป็นห่วงมากกว่าจะคิดกังวลไปในทางอื่น

...

...

...

- โปรดติดตามตอนต่อไป –




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2555
2 comments
Last Update : 5 ธันวาคม 2555 23:54:48 น.
Counter : 1120 Pageviews.

 



อัญเชิญทุกเทพไท้ในชั้นฟ้า
ประสาทพรล้ำค่าแด่ น้อง -พี่
ศุภฤกษ์ให้เกษมสุขเปรมปรีด์
โรคภัยลี้ จางหายมลายพลัน


เจริญด้วยอายุ แล วรรณะ
พร้อมสุขะ - พละ พร้อมสร้างสรรค์
สิ่งดีงามจงประสบพบทุกวัน
สดใสดั่ง ดวงจันทร์ . . . . อันแสนงาม





สวัสดีปีใหม่จ้า คุณงุงิ





 

โดย: กาปอมซ่า 31 ธันวาคม 2555 20:54:35 น.  

 

ขอบคุณมากค่ะคุณกาปอมซ่า

 

โดย: รุริกะ 1 มกราคม 2556 20:53:44 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


รุริกะ
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




users online
pageviews
Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2555
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
5 ธันวาคม 2555
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add รุริกะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.