ขำไรนักหนาคับ - คุณตา?
อ้อ!
รู้แว้ววววววว
เพราะมีหนุ่มน้อยหน้าตาหล่อเหลาไปเยี่ยมตาถึงบ้านใช่มั้ยเล่า
ตาเลยอารมณ์ดี?
อิ อิ
แน่ๆ เลย
คืองี้ครับ
เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนมีโอกาสไปดูของดีใกล้บ้านบางอย่าง
ที่ว่า "ของดี" นี่ ไม่ใช่ของดีแบบที่คุณโนอาห์ คุณพี หรือคุณปะหล่อง คุณตรี ฯลฯ คิดนะครับ รับรอง
แต่เป็นของดีที่เป็นของดีจริงๆ (มันหมายฟามว่าไงฟะ อิ อิ)
ของดีสงขลาที่ว่านี้คือ
"มีดน้ำน้อย"
ครับผม
เพื่อให้อ่านกันได้ง่ายๆ ขอนิยามศัพท์เฉพาะทางวิชาการก่อนละกัน เริ่มจากคำว่า "มีด" ........ ...... .... ..
อ้อ!
ไม่ต้องแปลเหรอครับ โอเคๆ
อิ อิ
เอาที่ "น้ำน้อย" ก็แล้วกันเนาะ
คือน้ำน้อยที่ว่า เป็นตำบลหนึ่งของอำเภอหาดใหญ่ครับ อยู่ทางทิศเหนือของเทศบาลนครหาดใหญ่ มีสภาพเป็นชนบทแทบจะแท้ๆ แม้จะอยู่ติดกับเมืองบิ๊กๆ และก็เหมือนกับเมืองขอบกระทะทั่วไป คนหนุ่มสาวเข้าเมืองเกือบเกลี้ยง ไปทำงานกันในหาดใหญ่ รับราชการ ทำงานออฟฟิศไปตามเรื่องตามราว ถ้ากลุ่มที่เรียนไม่สูงมากก็หางานโรงงานทำไม่ไกลบ้านนัก แต่ก็นั่นแหละ
ยังไงๆ ในหมู่บ้านก็เหลือแต่เด็กเล็กกะคนแก่อยู่ดี นา ยาง ไร่ และสวนผลไม้
ของดั้งเดิมแต่ไรมา นับวันมีแต่จะโรยรา เพราะคนหนุ่มสาวที่จะมาทำนุบำรุงให้เป็นผลสะพรั่งแบบที่เคยก็หาทำยาได้ยากเต้ม...ที
แล้วที่พวกผมไปเยี่ยมนี่ ไม่ใช่แค่คุณตาหิ้น ท่านนี้นะครับที่ชอบใจ ยังมีคุณตา และคุณตาอีกตั้งหลายคนด้วยที่ดีใจที่ได้เห็นคนหล่อๆ
ม่ายเชื่อโปรดทัศนา
อิ อิ
เอ้า
พูดฟามจริงซะมั่ง เดี๋ยวจะนึกว่าเราพูดเป็นแต่มุสา อิ อิ
คือเงี้ย สมัยก่อนเวลาพูดถึงพูดถึงแหล่งเหล็กโบราณๆ หน่อย ก็ต้องอ้างน้ำพี้ ที่ทองแสงขัน อุตรดิตถ์ใช่ปะครับ ไม่งั้นก็มีดอรัญญิก อยุธยา
แบบยุคปัจจุบันก็น่าจะเป็นมีดอุทัยธานี ที่ตอนนี้รังมีดชุมไปหมด
แต่ทันโทด ถ้าจะมาคุยแถวสงขลาบ้านผมน่ะเรอะ! ต้อง "มีดน้ำน้อย" ขอรับ
อะแฮ่ม
เมื่อครั้งงานฉลองกรุงร้อยปีอะนะ หนึ่งในของดีที่เจ้าเมืองสงขลาส่งเข้าอวดในงานสมโภชพระนคร ก็คือมีดน้ำน้อยนี่แหละครับ แต่มีดแบบไหน รายละเอียดยังไง ไม่ได้ค้นครับ ก็มีคนค้นอยู่แหละ สองคนซ้ายครับ ส่วนขวาสุดเป็นเจ้าของโรงมีดครับ แกชื่อพี่มนูญ อายุราวสี่สิบกลางๆ ท่วงทีหน้าตาเค้ม เข้มทีเดียวเชียว คุณตาทั้งหลายข้างบนส่วนหนึ่งเป็นช่างมีดรุ่นวางค้อนไปแล้ว แต่บางท่านก็เป็นลูกมือพี่มนูญ คนแก่เป็นลูกมือคนหนุ่มจริงๆ ครับ เพราะแรงจะทำต่อเนื่องนั้นมันถดถอยไปเยอะ ก็ต้องให้คนหนุ่มกว่ามาเป็นนายหัวไป
ว่ากันตรงๆ ในความรู้สึกส่วนตัวผมแล้ว ผมรู้สึกว่าคนใต้หลายๆ ถิ่นนี่โดยภาพรวมแล้ว ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับศิลปะและการตกแต่งเท่าไร - ยกเว้นชาวไทยมุสลิม หรือจะพูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ คนที่อยู่ในวิถีมลายู เพราะดูเหมือนคนกลุ่มนี้จะมีพรสวรรค์ร่วมกันในการสร้างลวดลายตกแต่งและให้สี เรือ รถ กริช หรือแม้แต่บ้าน คือบ้านแถบจังหวัดชายแดนใต้นี่ ถ้าเจอบ้านหลังคากระเบื้องสีน้ำเงินสด ตัวบ้านด้านนอกทาสีฟ้า แล้วแรเงาด้านหน้าด้วยสีฟ้าเหมือนกัน แต่เติมสีขาวเป็นทริ้นต์ให้ดูสว่างขึ้นละก็....รับรอง เจ้าของบ้านเป็นมุสลิมแน่นอน เป็นความกล้าหาญในการสื่อสิ่งที่ตัวเองชอบมาอย่างชัดเจน ขณะที่คนไทยพุทธทั่วไปไม่กล้าทำ - แม้บางทีอยากจะทำก็ตาม ผมว่ามันส์ ดีครับ อ้อ! คนอินเดีย อินโดนีเซียก็ประมาณนี้แหละครับ อารมณ์ชนิดตกแต่งหรูหราฉูดฉาดเนี่ยน่ะ มันคงระริกอยู่ในจิตวิญญาณของคนกลุ่ม มลาโย - อินโดเนเชียน มังครับ
นอกเรื่องดีจริงเรา
อีกที คือผมว่าคนใต้ไม่ค่อยชอบตกแต่งประดับประดา ทำอะไรขึ้นมาก็ขอให้ใช้งานได้ดีก็พอ งานระดับวิจิตรและสั่งสมพัฒนาชั้นเชิงทางศิลปะเลยหาได้ยากเหลือเกิน แต่ภูมิปัญญาด้านช่างโดยตรงผมเชื่อว่าไม่เป็นรองภาคไหนๆ แน่ๆ และอีกอย่าง อารมณ์ขันของพ่อคนช่างประดิษฐ์ชาวใต้ก็ล้นหลามเหลือเฟือ แบบประติมากรรม "กระต่ายขูดมะพร้าว" ที่โด่งดังนั่นปะไร ใครไม่เคยเห็นก็ลองไปค้นนิตยสารสารคดีเล่มเก่าๆ ดูนะครับ สิบปีเศษแล้วมัง และถ้าจะดูของจริงต้องไปที่สถาบันทักษิณคดีศึกษา ที่ ต.เกาะยอ อ.เมือง จ.สงขลา ครับผม
ขณะที่มีดอรัญญิกพัฒนาศาสตราศิลป์ไปถึงจุดมีดประดับราคาเครื่องประดับ และมีดอุทัยเช่นดาบตุ่ม ดาบมังกรก็ใช้เทคนิกผลิตมีดแบบสากลในสไตล์สากล - แน่นอน ราคาก็แบบสากลๆ ด้วย แต่มีดภาคใต้กลับยังวนเวียนอยู่กับเครื่องใช้ครัวเรือนและมีดทำมาหากิน โดยให้เหตุผลว่า "ก็เคยทำมาอย่างนี้" และ "แค่นี้ก็เอาไม่ทันแล้ว" ชัดเจนมั้ยเพ่
อิ อิ
มีดของชาวน้ำน้อยตั้งต้นที่ตรงนี้ครับ
ใครๆ ก็มองออกครับว่าเป็นเตา ไอ้ผมก็มองว่าเป็นเตานั่นแหละ อิ อิ
สองอย่างนี้เป็นคู่ขวัญคู่แรกของการตีมีดครับ เทคโนโลยีและรูปแบบมีต้นแบบมาจากเมืองจีน เพราะคนที่เริ่มตีมีดในชุมชนน้ำน้อยตั้งแต่เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ดูเหมือนจะเป็นชาวจีน ที่มาอาศัยที่นี่ในยุคบุกเบิก ตัวเตาเป็นเตาก่ออิฐถือปูน ใช้ถ่านไม้...... พี่มนูญบอกว่าเพราะให้ความร้อนสม่ำเสมอ และเร่งความร้อนได้ถึงอุณหภูมิที่ต้องการได้ดี ส่วนภาพล่างเป็นภาพสูบลมครับ ทำจากไม้เนื้อแกร่งวงศ์ยาง พวกยางนา ตะเคียน หรือพะยอม ประมาณนั้นครับ ทะลวงกลางใจไม้ให้กลวงเป็นโพรงใหญ่เพื่อเป็นส่วนกักลม เวลาต้องการเร่งไฟให้ได้ที่ กระบอกสูบลำใหญ่โตเท่าตัวคนนี้ ก็จะถูกดึงก้านสูบออกมา แล้วดันอัดลมเข้าสู่เตา อย่างเนิบช้าสุขุมและเปี่ยมพลัง.......
คุณพี่ คุณลุง คุณตาข้างบนท่านก็ต่อยตีกันเพื่อแย่งกันเล่าให้ผมฟังว่า นอกจากคู่ขวัญที่ว่าแล้ว ยังมีสามสหายรายสำคัญเป็นสองทั่งเล็ก และหนึ่งค้อนใหญ่ชุดนี้ด้วย เคล็ดลับที่ช่างตีมีดแห่งน้ำน้อยภาคภูมิใจก็อยู่แถวๆ นี้แหละครับ
"ทั่ง" ก็คือแท่นเหล็กสำหรับรองรับเหล็กที่ถูกตีในกระบวนการตีมีดแหละครับ จุดที่ว่าช่างตีมีดที่นี่เค้าภูมิใจก็คือวิธีทำคมมีดให้คม แกร่ง ทนนาน ที่ช่างหนุ่มน้อยหนุ่มมากบอกเป็นเสียงเดียวว่า ทำแบบนี้มานานมากแล้ว และไม่ค่อยเห็นใครทำ เพราะเหนื่อยกว่า คือแบบนี้ครับ
โปรดพิจารณาจากภาพลายเส้นประกอบสุดสวย อิ อิ
ช่างมีดน้ำน้อยมีกรรมวิธีตีเหล็กอย่างนี้ครับ คือเริ่มต้นที่หาเหล็กเหนียวมาตีขึ้นรูปเป็นตัวมีด และ "กั่น" กั่นคือส่วนแหลมๆ ซ้ายมือในภาพลายเส้นครับ เอาไว้เป็นตัวแกนของด้ามมีด ตีมีดลับคมเสร็จก็เอาด้ามมาสวมเข้าไป เชื่อมด้วยยางไม้ หรือชันอะไรก็ว่าไป มีดพื้นบ้านส่วนใหญ่ก็เลยต้องระวังเมื่อใช้งานนานๆ ไป จุดเชื่อมด้ามกับมีดมันเสื่อม เงื้อๆ ฟันๆ ไม่ระวัง อาจปลิวหลุดจากด้ามไปจึ๊กเอาเซ่งจี๊ใครแถวๆ นั้นก็เป็นได้ มีดฝรั่งเค้ามักทำกั่นแบนๆ เจาะรูสอง - สามรู แล้วใส่ด้าม อุดด้วยหมุด ก็จะแข็งแรงมั่นคงกว่ามีดบ้านเราครับ
เหล็กเหนียวที่เอามาใช้ตีมีดอาจเป็นเหล็กแหนบกันกระเทือนของรถยนต์ หรือเหล็กใบเลื่อยยนต์ เผาให้ร้อนแดง เอาขึ้นทั่ง ตีรีดให้แผ่แบนบางลง จัดรูปอย่างต้องการ มันก็จะกลายเป็นเหล็กชิ้นล่างอันนั้นแหละครับ ได้รูปเรียบร้อยก็เอาเข้าเตาเผาอีกที ออกมาส้มแดงเรืองอ่อนตัว เอาเหล็กสำหรับบากมาตอกบากตามแนวที่จะทำเป็นคมให้เป็นร่องตามยาว แล้วใช้เหล็กกล้าเนื้อแกร่งที่ตัดแต่งเตรียมไว้แล้ว มาเสียบลงในร่องตามภาพ
ตี ตี ตี
และ ตีๆ ๆ ๆ
เอาเข้าเตา
และตีๆ ๆ ๆ ๆ
จนกลืนเข้าเป็นเนื้อเดียว
แล้วตีแต่งให้แบนบางเป็นคม เหล็กที่เอามาเป็นคมนี้มีสมบัติที่แตกต่างจากเหล็กเหนียวที่เป็นใบมีดครับ ใบมีดนั้นจะแข็งเหนียว แต่ไม่แข็งพอที่จะเป็นคมใช้งานหนัก ถ้าเอาเหล็กนี้ไปทำคม เวลาลับจนได้ที่ คมก็มักจะเบี่ยงบิดไปมาหาคมไม่ได้ หั่นหยวกก็คมเปื่อยแล้วว่างั้นเถอะ
ส่วนเหล็กทำคม เป็นเหล็กกล้าเนื้อแกร่ง ลับแล้วคมกริบ แต่หากใช้ไม่ระวังก็อาจหักบิ่นได้ง่าย และราคาแพงด้วย
อาศัยสมบัติที่แตกต่างมาช่วยพยุงเคล้าเข้าเป็นตัวมีด โดยขั้นตอนหลังจากเผาแล้วตีแล้วเผาแล้วตีจนได้ที่ ก็ต้องเอาเข้าเตาเผาให้ร้อนพอประมาณอีกครั้ง แล้วดึงจากเตา ลงจุ่มในน้ำหรือน้ำมันเครื่องให้อุณหภูมิเหล็กลดลงอย่างฉับพลัน
ผลคือเหล็กที่ชักอ่อนตัวเพราะโดนความร้อนมานาน ก็จะจัดโครงสร้างทางฟิสิกส์ในตัวใหม่ ให้กลายเป็นโลหะที่แข็งขึ้นกว่าก่อนหน้า ยิ่งเผาให้ร้อนแล้วน็อกให้เย็นทันใดก็จะยิ่งแข็ง
แต่ก็ยิ่งเปราะเช่นเดียวกัน
ธรรมชาตินี่ช่างมอบจุดอ่อนให้ทุกสิ่งอย่างทัดเทียมเลยโนะ!
ช่างผู้มีฝีมือในกระบวนมีด ย่อมต้องเป็นผู้ชำนาญการด้านการคาดคะเนความร้อน - เย็น ในขั้นตอนนี้ด้วย เรียกกระบวนการนี้ว่า "ชุบแข็ง" ครับ
พี่มนูญบอกว่าที่อื่นเค้าไม่ค่อยทำ - มันยากส์
แต่กว่าจะได้ขึ้นมาเป็นมีดซักเล่ม ทั่งน้อยๆ สองลูกนี้คงถูกหวดโป๊กๆ ไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งเนาะ
น่าฉงฉานจัง....
เอาละ
ทีนี้ลองมาพิจารณามีดพื้นบ้านของคนใต้ย่านสงขลากันหน่อยนะครับ ว่าหน้าตาเป็นฉันใด
ชุดที่ 1
อันนี้สำหรับอาชีพชั้นสูง....
"ปาดตาล" ก็ชื่อเหมือนภารกิจนั่นแหละครับ เรียกว่ามีดปาดตาล เหมือนกันทั้งสามเล่ม อยากรู้ว่าปาดตาลทำอย่างไร อย่าให้ผมเล่าเลยครับ ม า น ย า ว ว ว ว
อิ อิ อ่านนี่เอาละกัน //72.14.235.104/search?q=cache:RdbMLaIUBmoJ:www.tungsong.com/Nakorn/Agriculture/Tan.asp+%E0%B8%9B%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5+%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B8%94&hl=th&gl=th&ct=clnk&cd=1
ชุดที่ 2
จากซ้ายไปขวานะเอ้อ
"พร้างอ" (ครายทะเล้นอ่าน "พร้าง - อ." นี่โกรธตายเลยเน่อ)
เป็นมีดทำมาหากินพื้นฐานจริงๆ ของคนบ้านผมครับ พร้างอนี้เป็นมีดขนาดใหญ่ ไม่มีกั่น ตัวใบมีดยาวราวฟุตนึง ปลายงองุ้มไว้เผื่อเกี่ยวเหนี่ยวโน้ม สุดโคนคมมีดเป็นเหล็กปล้องกลวง หรือ "บ้อง" ถ้ารัศมีทำการใกล้ๆ แค่สุดแขน ก็จับบ้องนี้เป็นด้ามฟันๆ สับๆ ได้เลย แต่ถ้าต้องริดกิ่งไม้หรือหวดถางในสวนในไร่ ก็หาด้ามเป็นไม้กลมจับถนัดยาวราวสองฟุตเหลาให้คับพอดีๆ กับบ้อง กระแทกๆ ใส่เข้าให้แน่น ใช้งานได้เป็นอย่างดี
ทุกบ้านต้องมีครับ เป็นมีดที่ทุกบ้านต้องมี ถ้าไม่มีแล้วเที่ยวต้องไปยืมใครเค้าเมื่อต้องการใช้ ก็อาจถูกคนมองด้วยความรู้สึกแปลกๆ ว่า กะอีแค่พร้าก็ไม่ "สร้าง" ไว้เองเลยเชียวหรือ แล้วจะไปทำ'ไรกินกะเค้าวะเนี่ย!
ถัดมาเป็นมีดหั่นใบยาสูบครับ - บ้านผมก็ปลูกยาสูบเหมือนกันนะ ลับมีดนี้ให้คมกริบ ซอยใบยาให้ฝอยราวเส้นผม ห่อรัดด้วยใบจากอ่อนเป็นลำๆ รมควันเก็บไว้ได้นานเชียว อีกงานนึงที่ใช้มีดนี้บ่อยๆ คือเอาไว้หั่นหยวกผสมรำให้หมูกินครับ
เล่มสามนั่นลืมไปแล้วว่าใช้ทำไร (อ้าว!) แต่คุ้นๆ คล้ายๆ ว่าเป็นมีดผ่าฟืนนะครับ ผ่านละกัน ไม่ฟันธง อิ อิ
เล่มสี่ก็มีดโต้สับเนื้อสับกระดูกแน่นอน อันนี้มาตรฐานก้นครัวอยู่แล้วครับ
ต่อปายยยยยยย
ชุดที่ 3
สองเล่มจากซ้ายเรียก "พร้าโอ" ครับ
โอไร? อะไรคือโอ?
ผู้รู้ท่านว่าหมายถึง "โอ่" หรือ "โอ่อ่ากรีดกราย"
เลยบางทีก็เรียกพร้าโอ บางทีก็เรียก "พร้ากราย" ครับ
คือขณะที่พร้าขอข้างบนนู้นเค้าใช้ทำมาหากิน พวกพ่อหนุ่มอีกกลุ่มที่รักสบาย เสพการจีบหญิงต่างข้าวก็จะพกพาพร้าโอที่ว่านี้ วิธีการคือ ลับพร้านี้ให้ขาววาว คมกริบ กลึงด้ามด้วยไม้เนื้อแข็งดำมันปลาบ โค้งงาม สวมกั่นอย่างประณีต เลี่ยมปลายด้ามด้วยเงินยังได้ - ถ้ายังเบี้ย (ถ้ามีตังค์ : ผู้อยากแปล)
นุ่งโสร่งหรือเตี่ยว เสื้อไม่ต้องสวม อวดเกลื้อนดอกดวงขาวแต้มพราวหลัง อ้าว! เจงๆ เมื่อก่อนเค้านิยมกัน มันประกาศความเป็นหนุ่ม คือเด็กๆ น่ะ ไม่มีเกลื้อนหรอกครับ ต้องรุ่นหนุ่มโน้น เกลื้อนถึงจะมี แล้วก็แบกพร้าขาววาว หงายคมขึ้นฟ้า เดินกรีดกรายอวดสาวไปทั่ว เท่อุจจาระแตกอุจจาระแตนไปทั้งตำบลเชียว
แต่บางทีก็ถูกฟันแขนห้อยกลับมาหยอดน้ำข้าวที่บ้านเหมือนกันแหละ
ก็ไอ้บ่าวแบกพร้ามันไม่ได้มีคนเดียวในตำบลนี่คร้าบพ่อแม่พี่น้อง!
ต่อมาเป็นมีดสำหรับงานชั้นต่ำครับ.....อิ อิ พูดเล่นครับ เด๋วคนบ้านเราน้อยใจ จะล้อกับมีดปาดตาลที่ว่าเป็น "งานชั้นสูง" น่ะครับ
อันนี้เป็น "พร้าหวด" หรือ "มีดหวด" มีดปลายตัด ตัวใบมีดหักทำมุมกับบ้องราว 120 องศา ทำด้ามยาวเมตรเศษสวมลงบ้อง เวลาใช้ให้ตั้งท่าคล้ายไดรฟ์กอล์ฟ ใบมีดจะขนานกับพื้นพร้อมที่จะปาดคมปลิดหญ้ากอและวัชพืชให้โล่งเตียน หวดเหมือนหวดกอล์ฟแหละครับ ถ้าข้อลำแกร่งหน่อยก็จับด้ามมือเดียว เหวี่ยงมีดเฉวียงวนคล้ายกงจักรลุยตัดหญ้าก็ยังได้ จับจังหวะให้ดีๆ หวดกันมันเลยละครับ
สุดท้ายของชุดสามนี้ "เคียว" ครับ เกี่ยวหญ้าให้วัวให้แพะให้หมูเน่อ มิใช่เกี่ยวข้าว เพราะแถวบ้านผมไม่เก็บเกี่ยวข้าวด้วยเคียว อันนี้ถ้าไม่get ให้อ่านเพิ่มเติมได้ที่ "เก็บข้าวที่บางแก้ว" ครับ
ชุดที่ 4
สุดท้ายแล้วแหละ
ขอซ้ายสุดกับขวาสุดก่อนนะครับเพราะไฮไลต์มันอยู่ที่สองเล่มกลาง
ซ้ายนั้น "มีดตอก" ครับ บางบ้านมีดตอกอาจด้ามสั้น แต่บ้านผมด้ามยาว เวลาใช้จับคอมีด หงายมือ หันคมออกนอกตัว เหยียดนิ้วชี้แนบใบมีด ปล่อยด้ามขนานไปกับแขนที่งอข้อศอกขนานพื้น ดันศอกหนีบด้ามมีดแนบสีข้าง "ตอก" คือไม้ไผ่ที่ผ่าและเหลาให้แบนบางเป็นซี่หรือเป็นเส้น ใช้เป็นเชือกหรือเป็นซี่อะไรซักอย่าง เช่น โคร่งว่าว เป็นต้น ซึ่งโดยรูปลักษณ์ของมีดตอกและการจับกระชับใช้แบบนี้ ก็จะทำให้ใช้งานได้สะดวกคล่องมือ และเส้นตอกก็จะออกมาสวยงามครับ
ขวาสุดเข้าใจว่าเป็นของใหม่ ราวสามสิบสี่สิบปี เป็นมีดสอยและกระทุ้ง ใช้ได้ทั้งตัดแต่งและเก็บเกี่ยวครับ ใส่ด้ามยาวเข้าวา - สองวา สอยเงาะ ลองกอง หรือกระทั่งมะพร้าวได้สบายๆ
ทีนี้ก็ที่สองจากซ้าย เรียก "อ้ายคล็อก" ครับ เป็นมีดสารพัดประโยชน์ของผู้ชาย - โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกพราน สับ ฟัน หั่น ซอย ได้ทั้งนั้น ลับให้คมกริบ ใส่ด้ามทำฝักหุ้มคมให้เรียบร้อย เหน็บเอวด้านหลัง หันด้ามไปด้านมือถนัด เวลาลุยป่าเจอลำไผ่ล้มเอนกีดขวาง ใช้มือถนัดที่ว่า เอื้อมไพล่ไปทางหลัง ชักอ้ายคล็อกออกจากฝัก ฟันเฉียงๆ ไม่เกินสองฉับ ก็ลุยเดินได้ต่อสบายๆ
ใช้งานสวนประเภทแต่งกิ่ง รานไม้เลื้อยที่ป่ายพันพืชผลก็สะดวกดาย สับไม้ผ่าฟืนก็เยี่ยม เพราะท้องมีดที่กว้างด้วยเนื้อเหล็ก ทำให้น้ำหนักฟันกำลังดี ไม่ต้องใช้แรงมาก
สมัยกิน - เล่นอยู่ในป่า มีดทำครัวในป่าก็แบบนี้แหละ ซอยตะไคร้ซอยพริก หั่นสับเนื้อสัตว์ที่ล่าได้ หรือแม้แต่ไม่ได้อะไรเลย ก็เอาอ้ายคล็อกเจาะกระป๋องปลากระป๋อง ทำต้มยำกินกลางป่าได้อิ่มพุงเหมือนกัน
แต่ที่ผมใช้เป็นมีดจากแถวอีต่อง กาญจนบุรีครับ ทรงเดียวกันแหละ แต่เรียก "อีเหน็บ" ก็อ้ายคล็อกของคนสงขลาดีๆ นี่แหละครับ
สุดท้าย เล่มที่เหลือ เล่มนี้ใบยาวไม่ถึงคืบ คนใต้เรียก "มีดเหน็บ" เป็นมีดคนหนุ่มอีกอย่างนึง ใช้พกป้องกันตัวประสาพ่อหนุ่มเลือดร้อนทั่วไป
คุณวาณิช จรุงกิจอนันต์ เขียนไว้ในเรื่องสั้น "ไก่ชน" ว่า
"...เพื่อนพี่ชายผมซึ่งอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์เคยไปบ้านญาติแถวสามชุก และต้องค้างคืนอยู่หลายวัน ตื่นเช้าก็ถีบจักรยานไปที่ร้านกาแฟในตลาด นั่งกินกาแฟ เจ้าถิ่นเขาก็มอง เพื่อนพี่ชายผมเห็นว่าไกลบ้าน ไม่อยากมีเรื่อง ก็พยายามทำตัวสงบหลบตาไว้ แต่ก็สงสัยว่าทำไมจึงถูกจ้องมองระรานเหมือนจะหาเรื่อง กลับมาเล่าให้ญาติฟัง ญาติก็ส่งมีดให้เล่มหนึ่ง บอกว่าคราวหน้าคราวหลังเอาติดไปด้วย ไม่มีของอะไรเลย เขานึกว่าคงจะแน่และอยากลองดีด้วย..."
หลายๆ ถิ่นในสมัยก่อนก็คงคล้ายๆ กับที่สุพรรณของคุณวาณิชละนะ ผมว่า ไม่มีดเหน็บหยั่งหนุ่มบ้านผม ก็เป็น "มีดซุย" แบบลุ่มน้ำภาคกลาง หรือซุยของอ้ายบ่าวจาวเหนือเปิ้นโน่นละเน่อ
แถมนิดนึง! อันนี้สากลครับ ไม่ใช่เทคนิกเฉพาะถิ่น คือวิธีทดสอบคมมีด โดยเฉพาะพวกมีดงานละเอียดอย่างปาดตาล ลับเสร็จลองคมครูดที่ปลายนิ้วว่าคมเบี่ยงหรือเปล่า แล้วก็ถึงทีทดสอบว่าคมจริงหรือไม่ เอาคมมีดครูดกับเส้นผม แบบสับๆ ตรงท้ายทอยครับ ถ้าครูดแล้วรูดปรื๊ดไปก็หมายความว่ายังคมไม่พอ แต่ถ้าครูดแล้วสะดุดติด แสดงว่า ใช้การได้แล้ว OK
ทุกวันนี้เรายังพอได้ยินเสียกโป๊กเป๊ก แว่วมาจากชุมชนน้ำน้อยละแวกที่มีการตีมีดนี้ได้อยู่บ้าง แม้ครอบครัวที่สืบทอดการตีมีดแบบพี่มนูญยังมีเหลืออยู่ไม่มากนัก ตำนานการตีมีดของคนน้ำน้อยที่เคยรุ่งเรืองขนาดคนบ้านอื่นต้องเดินทางเป็นร้อยกิโลเมตร มารอเอามีด ถึงค้างคืนหลายๆ คืนก็มีนั้น มาบัดนี้ยิ่งนับวันจะถดถอยน้อยลง เพราะวิถีชุมชนเปลี่ยนไป มีดหั่นหยวกไม่จำเป็น เพราะหมูกินอาหารสำเร็จจากโรงงาน มีดผ่าฟืนจะมีความหมายอะไร ในเมื่อใช้แก๊สกันทุกครัวเรือน? ตาลโตนดยืนต้นตายเกือบหมดแล้ว เพราะน้ำเค็มนากุ้งรุกที่นา แล้วความคมของมีดปาดตาลก็คงแค่รอวันสึกหรอด้วยคราบสนิมอยู่ข้างฝาบ้านโน่น มีดหวดที่หนักจนชวนให้แขนเคล็ด ยังไงก็ตัดหญ้าได้เร็วไม่เท่าเครื่องตัดแบบสะพายไหล่กระมัง? .......ฯลฯ
เหลือแต่พร้าขอที่ยังพอจำเป็นกับงานสับรานถางถากเล็กๆ น้อยๆ รอบบ้าน ซึ่งไม่นานก็อาจถึงกาลสิ้นอายุ เมื่อรอบบ้านมีแต่คอนกรีตปูพื้น หาที่ปลูกส้มสูกลูกไม้ไม่ได้
แต่สถานการณ์วันนี้ก็ยังไม่เลวร้ายขนาดนั้นหรอกครับ มีดจากโรงมีดพี่มนูญยังคงขายได้หมดเกลี้ยง ตีเท่าไหร่ขายได้เท่านั้น ตามออเดอร์แหละครับ ถ้ามีกำลังตีเพิ่มก็น่าจะยังขายได้หมดอยู่ดี แต่คงเพิ่มยาก เพราะขาดลูกมือที่มาฝึกเรียนเพื่อเป็นลูกมือทำมีด ดูเหมือนว่างานโรงงานและลูกจ้างบริษัท หรือแม้แต่เป็น รปภ. ก็ยังเท่กว่าหน้ามันตีมีดอยู่หน้าเตาเป็นอันมาก แถมเหนื่อยน้อยกว่าอีก นี่แหละครับเรื่องที่น่าห่วง
วันที่ผมไปเยี่ยมโรงมีดนั้น หลายคนเสนอว่าถ้าจะรักษาอาชีพนี้ไว้ และผลักดันให้เติบโตขึ้นมาได้ พี่มนูญและทีมงานคงต้องทำมีดเป็นสองกลุ่มตามลักษณะใช้สอย คือทำเป็นมีดสวยงามแบบอรัญญิกหรือมีดอุทัย ใช้สเตนเลสเป็นวัสดุ เพื่อได้งานที่แวววาวสวยงามปลอดสนิม แต่สร้างแบบให้มีอัตลักษณ์ถิ่นน้ำน้อย แบบนี้ราคาแพงและเปิดตลาดสากลได้ไม่ยาก ในฐานะมีดประดับ อีกส่วนก็ทำงานคุณภาพแบบใช้งานจริงได้ดีเป็นเลิศแม้ไม่ค่อยงาม - เหมือนเดิม
ก็ได้แต่หวังว่าลมหายใจที่เปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิของบรรพบุรุษ ในนาม "มีดน้ำน้อย" นี้ จะคงดำรงอยู่ได้อีกนาน
อย่างน้อยก็ตราบเท่าที่ชีวิตที่แนบแน่นกับสวนกับนาเหล่านี้ยังคงอยู่
อืม..........
ตายแล้ว!
เพิ่งนึกออกว่าสั่งเสียมแบบที่ไม่มีขายในตลาดเอาไว้ด้ามนึง ตั้งเดือนแล้ว ยังไม่ได้ไปเอาเลย อิ อิ ดีนะเนี่ย ที่เอาเรื่องนี้มาเขียน
ไม่งั้นพี่มนูญบ่นตาย
ไอ้นี่.........
สั่งทำแล้วก็ไม่มาเอา
เอ้อ
ถ้าได้มาแล้วจะถ่ายรูบมาให้ดูครับ
ขอบคุณที่หลงมาอ่านครับ.
Create Date : 06 พฤศจิกายน 2549 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 1:02:57 น. |
|
59 comments
|
Counter : 11817 Pageviews. |
|
|