เก็บข้าวที่บางแก้ว
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2549 มีคนจำนวนนึงย้อนรอยความหลัง นั่งรถไฟไปเก็บข้าวที่บางแก้ว....
หน้าตาของทีมครับ เด็กเมืองเป็นส่วนมาก ส่วนอีกหลายคนเป็นผู้สูงวัยที่เป็นคนเมือง ทั้งๆ ที่มีอดีตเป็นคนบ้านนอก กับบางคน เป็นเจ้าถิ่น อันหลังนี้ส่วนใหญ่อยู่ทางขวาของเราครับ
"บางแก้ว" เป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดพัทลุง เป็นแหล่งผลิตข้าวเลี้ยงคนลุ่มทะเลสาบสงขลามาเนิ่นนาน เมื่อมีทางรถไฟ ชาวนาบางแก้วก็ขนข้าวขึ้นรถไฟ มาขายคนหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพราะเป็นเมืองที่คึกคักกว่า มีคนอยู่มากกว่า หาดใหญ่อาศัยข้าวบางแก้วเลี้ยงท้องอยู่หลายปี จนกระทั่งมีทางรถยนต์....
สาวน้อยสาวใหญ่หน้าใส กับหนุ่มๆ หน้าตาขี้เหร่เป็นส่วนใหญ่ยกเว้นผม หอบสัมภาระปุเลงๆ ขึ้นรถไฟเมื่อตอนหกโมงครึ่ง ที่สถานีชุมทางหาดใหญ่ ขณะยังอยู่ในภาวะเมาขี้ตา
ชมลมชมฝนอยู่ชั่วโมงครึ่งก็ลุถึงสถานีบางแก้ว และก็ถ่ายรูปยืนยันว่าถึงแล้วจริงๆ นา.... (คล้ายๆ มันไม่มีอะไรจะถ่ายเลยเนาะ)
คุณโต เจ้าของโครงการ หนุ่มน้อยร่างบาง ปริญญาโทมหิดล และเป็นเจ้าของนาในกลุ่มที่ร่วมโครงการด้วย ตอนนี้กะลังโม้กล่อมเด็กเมืองที่หลงผิดมาลงนาเก็บข้าว
โครงการนี้เริ่มต้นตรงที่ คุณโต มีนาสมบัติแม่อยู่ผืนนึง และมีเพื่อนชาวนาที่ใกล้กันซึ่งกำลังจะเลิกทำนาอยู่แล้ว ด้วยปัจจัยหลายประการ จน - อันนี้แน่นอน (ชาติหน้าขอเป็นชาวนาญี่ปุ่นเทอะ ซ้าธุ) วีถีเปลี่ยน นาไถควายเหล็ก, ใส่ปุ๋ยวิทย์, ใส่ยาฆ่าทุกชีวิตยกเว้นข้าว (ฆ่าคนด้วย), เกี่ยวด้วยเครื่อง มันไม่ใช่นาข้าวที่พวกเค้ารู้จักเสียแล้ว เลยคิดเลิก
คุณโตเลยรวบรวมสมาชิกเหล่านี้มา ถามว่า "ยังอยากทำนาอยู่มั้ย?"
อยากสิ โคตรตระกูลฉันทำมาอย่างนี้ ใครจะอยากทิ้งนา แต่ถ้าเป็นอย่างที่ผ่านมาก็ไม่ไหว ขายข้าวถังละไม่กี่บาท แต่ซื้อข้าวแพงตายโหง (สำนวนแถวนี้)
งั้นเอาใหม่ ไถควายเหล็กได้ - เพราะขายวัวไปหมดแล้ว ปุ๋ยไม่ต้องใส่ ถ้าอยากใส่ไปขนมายา (ขี้ค้างคาว) มาใส่ ยาฆ่าเวร......อะไรก็ไม่ต้อง เก็บข้าวด้วยมือ - อ๊ะ ๆ อย่าเพิ่งเถียง เก็บจริงๆ ไม่ใช่เกี่ยว
แล้วขายให้แพง กิโลฯ ละเก้าสิบเลย เอ้า!!!
เอาสิทีนี้ สนุกละ
คุณโตเล่าวิถีท้องถิ่นคนนาข้าวบางแก้วให้ฟัง เด็กเมืองได้ยินอ้าปากหวอ....... ไม่ใช่อินหรอกนะ
งงซะมากกว่า ไม่เป็นไรน้อง มาบ่อยๆ เด๋วก็หายงง
เจ้าคนคิ้วขมวดกำหมวกแดงนี่ชื่อ "โจ้" โจ้ซ่ามากกกกก แต่พ่อเค้าเก่ง เลี้ยงลูกรู้เรื่องรู้ความทุกคน แม้จะซนไปนิด เจ้าคนนี้ตอนมาดำนา สงสัยจะเข้าใจอะไรผิด เพราะพ่อดำข้าวไป ดันดำน้ำในนาไปอีกต่างหาก น้ำลึกแค่หัวเข่า ดำเอ๊า ดำเอา
ที่นาของคนบางแก้ว มีทั้งนาที่ลุ่มและนาที่ดอน ถ้าดูภาพแผนที่เดินทางประกอบ จะเห็นว่าบางแก้วนั้นตั้งอยู่ใกล้ทะเลสาบสงขลา ห่างมาแค่เกือบสิบกิโลฯ เท่านั้น ถัดจากทะเลสาบก็เป็นทะเลอ่าวไทยของจังหวัดสงขลา ฟากซ้ายของทางรถไฟ เป็นแหล่งต้นน้ำ ภาคใต้ของไทยเราถ้ามองเป็นรูปตัดขวาง โดยเราหันหน้าไปทางทิศเหนือ ก็จะเห็นภูเขาสูงอยู่กลางแผ่นดิน ฟากซ้ายเป็นฝั่งอันดามัน - ลาดชันสูง ไหล่ทวีปแคบ ทะเลลึก ส่วนฟากขวาเป็นทะเลอ่าวไทย ลาดชันน้อยกว่า และทะเลตื้น เรือแล่นมา ปลาว่ายไป คลื่นมาลูกใหญ่ๆ ก็ตีตะกอนขุ่นขึ้นมาได้ง่ายๆ ไม่รู้เกี่ยวกันรึเปล่า แต่น้ำบ้านผมไม่ใสเป็นช่วงยาวๆ เท่าอันดามันครับ
น่าจะเพราะความลาดชันที่ต่างกันนี่เอง ที่ทำให้ฝั่งตะวันออกซึ่งมีที่ราบและที่ลุ่มมากกว่า เหมาะแก่การปลูกข้าวทำนา ขณะที่ฝั่งตะวันตกจะรุ่งทางสวนผลไม้ เพราะให้ผลดีในพื้นที่ลาดชันน้ำขังยากแบบนั้น
ได้ยินเรื่องน้ำท่วมภาคใต้บ่อยใช่มั้ยครับ? ฟังดูแย่เนาะ เดี๋ยวก็ท่วม เดี๋ยวก็ท่วม โดยเฉพาะพัทลุงนี่ ท่วมทู้กกก ปี
ความจริงไม่แย่ยังงั้นหรอกครับ ถ้าคนพัทลุงยังยอมให้เมืองเป็นเมืองข้าวปลาเหมือนครั้งกระโน้น เพราะพัทลุงมีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นราบไล่ลาดเอียงสู่ทะเลสาบ - อ้อ พัทลุงไม่มีทะเลเค็มนะครับ เพราะไม่ติดอ่าวไทยเลย มีแต่เกือบเค็มกับจืดเท่านั้นเอง
กลางแผ่นดินที่ราบบ้างลุ่มบ้างนั้น มีภูเขาหินปูนกระจายอยู่ทั่วไป เป็นเทือกทิวบ้าง โด่เด่คล้ายเขาพระศิวะเรื่องเพชรพระอุมาบ้าง เขาหินปูนเหล่านี้มีสิ่งโดดเด่นอยู่หลายประการ จันทน์ผา ที่เอาแก่นมาเป็นเครื่องยา มีมากที่นี่ กล้วยไม้รองเท้านารีบางพันธุ์ก็พบเห็นที่นี่แห่งแรกในโลก และที่สำคัญ ต้นทางความสมบูรณ์ของนาข้าวพัทลุง
"ค้างคาว"
ก็พำนักอยู่ที่เขาหินปูนเหมือนกันครับผม
เขาหินปูนทุกแห่งเต็มไปด้วยโพรงเพิง ชะโงกช่องผา มีถ้ำใหญ่น้อยยุบยั่บ ทุกถ้ำโพรงที่กว้างพอมักเป็นแหล่งอาศัยของค้างคาว ไม่เว้นแม้แต่ชะง่อนผาที่เปิดโล่ง ฝนมากมายในแต่ละปีที่ทั้งตกนานและตกแรง ชะเอาขี้ค้างคาวจากทุกตีนเขา ไหลเคล้ากับน้ำช่วงเดือนพฤศจิกาฯ ธันวาฯ บ่าท่วมทุ่งนาจนกลายเป็นทุ่งน้ำในแทบทุกฝน เกลี่ยอาหารทุกอย่างที่ต้นข้าวต้องการลงในเนื้อดินพัทลุง ให้เป็นดินที่แสนเอร็ดอร่อยของธัญพืชตลอดมา
นั่นหมายถึงถ้ายังทำนา น้ำท่วมที่ว่านี้ย่อมเป็นคุณ.....
ที่เห็นข้างบนนี้คือ "แกะ" เครื่องมือเก็บข้าวที่คุณ lasiP IP เคยใช้ครับ คนที่อื่นๆ เขาเกี่ยวข้าวด้วยเคียว เกี่ยวเป็นกำๆ คนบ้านผม "เก็บ" ข้าวเป็นรวงๆ ทีละรวง ทีละรวง
ข้าวทั้งนา - นาหลายๆ แปลงเนี่ยนะ เก็บทีละรวง!!!!!!
คงมีบางคนที่คุ้นเคยกับเคียว ฟังแล้วรู้สึกว่า "โห แล้วทำไมไม่ใช้เคียวละคร้าบ เหล็กมันหายากนักรึไงปักษ์ใต้เนียะ?"
แล้วคนที่คิดแบบนี้ก็มีจริงๆ ซะด้วยสิครับ!
ในเอกสารชื่อ เอกสารมณฑลนครศรีธรรมราชในสมัยที่เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เป็นข้าหลวงเทศาภิบาล รศ.115-125 (พ.ศ.2439-2449) เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ในเวลานั้น ท่านยังเป็นพระยาอยู่ บรรดาศักดิ์และราชทินนามคือ พระยาสุขุมนัยวินิจ ตำแหน่งข้าหลวงพิเศษตรวจราชการเมืองสงขลาและพัทลุง ท่านมาตรวจราชการแถวๆ นี้ เมื่อ รศ. 114 (ปี 2438) ตรวจเสร็จก็เขียนรายงานทูลสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระยศขณะนั้นทรงเป็น พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดี (รัฐมนตรี) กระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นด้วย
ด้วยความปรารถนาดีต่อบ้านเมือง พอพระยาสุขุมนัยวินิจมาเห็นการเก็บข้าวของชาวบ้านย่านนี้ ท่านก็เขียนรายงานส่วนหนึ่งว่าอย่างนี้ครับ
...นาปีนี้บริบูรณ์ทั่วกันหมดถึงแก่เก็บไม่ทัน ต้องขายเข้าในก็มีบ้าง มากที่แขวงเมืองนคร เมืองพัทลุงก็เหมือนกัน แต่ข้าพระพุทธเจ้ามีความเสียดายอยู่อีกอย่างหนึ่งซึ่งราษฎรชาวเมืองสงขลา เมืองนคร เมืองพัทลุง มาพากันนิยมในการเก็บเข้า ไม่เกี่ยวเหมือนแถบข้างเหนือ ข้าพระพุทธเจ้าได้ไปยืนดูเขาเก็บออกรำคาญในตาเปนล้นเกล้าฯ เสมือนยืนดูคนมีท้าวบริบูรณ์ดีอยู่แต่ไม่เดิน ใช้คลานหรือคุกเข่าไปตามถนนก็เช่นกัน ถ้าได้เดินดูเข้าไร่หนึ่งฝีมือเก็บเร็วๆ อยู่ใน ๔ วัน ๕ วันจึงจะแล้ว ถ้าเกี่ยววันเดียวหรือวันครึ่งก็แล้วเสร็จ...
.......... .......... หนังสือฉบับนี้ถวายข้อสรุปและความเห็นในประเด็นนี้ว่า น่าจะแจกเคียวและออกระเบียบให้ชาวบ้านใช้เคียวแทนแกะ!!!!!
สงสัยมั้ยครับ ว่าพระวินิจฉัยของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเป็นอย่างไร?
(ไม่ว่างเท่าไร แต่เกรงใจคนบ่น เลยมาโม้ต่อ อิ อิ)
ทรงวินิจฉัยโดยใจความว่า จารีตประเพณีหรือวิถีชาวบ้านที่ดำเนินมาเนิ่นนานย่อมต้องมีเหตุผล ที่ราษฎรไม่ใช้เคียวคงไม่ใช่เพราะไม่รู้จักใช้ แต่คงเพราะเหตุอะไรบางอย่าง และทรงไม่เห็นด้วยกับที่จะบังคับให้ราษฎรใช้เคียว อานิสงส์ที่มีเสนาบดีผู้ทรงรอบรู้รอบคอบและละเอียดอ่อนครั้งนั้น ทำให้เด็กจำนวนนึงมีโอกาสเห็นและสัมผัส "แกะ" ในกิจกรรมเก็บข้าววันนี้
วันหน้าถ้าไม่ลืมจะอธิบายวิธีเก็บข้าวด้วยแกะให้ฟัง พร้อมภาพประกอบ
แต่สงสัยจะลืมนะ เพราะเป็นคนขี้ลืม อิ อิ
ข้างบนนี่คือ "ครกสี" ครับ เทคโนโลยีเดียวกับ "โม่หิน" ที่ใช้โม่แป้งทำขนม ขนมจีนสมัยก่อน คือใช้ระบบหมุน เบียด เสียดสี แยกเปลือกออกจากข้าว ข้าวที่ได้จากขั้นตอนนี้เรียก "ข้าวกล้อง" รำ จมูก กากต่างๆ อยู่ครบ วิตามินล้นหลาม แต่ต้องคนกินข้าวรุ่นตัวจริงถึงจะถูกคอ เพราะค่อนข้างแข็งและกากเยอะ แถมกระด้างลิ้นหน่อยๆ ตอนกินเสร็จใหม่ๆ มือสมัครเล่นในรูปหมุนโม่ครกสีกันเอวเคล็ดเอวยอก ความจริงถ้าคล่องแล้ว จะเป็นการออกกำลังกายแอโรบิกสมบูรณ์แบบมากแบบนึง
เอ้า วั้น แอนด์ อะ ทู้ แอนด์ อะ ทรี้ ฮึบ ฮื่ย.....ยะ
ถ้าอยากกินที่นิ่มกว่าข้าวกล้องก็ต้องนี่ "ข้าวซ้อมมือ" กางเกงชมพูนั่นข่าวว่าเป็น สมาชิก อบต. แถวบางแก้วเชียวนะครับ คงเขินมัง เอาสากบังหน้าอีกต่างหาก.....
หรือหากไม่ถนัดซ้อมด้วยมือ ก็มาซ้อมด้วยตีน ในสไตล์ครกกระเดื่องแทน เจ้าลิงพวกนี้โปรดครกกระเดื่องมาก เลยต้องดูแลอย่างใกล้ชิด สากนั่นอย่าว่าแต่ข้าวเลยครับ เอาหัวไปขวางก็ โบ๊ะ! นั่นแหละ
ซ้อมด้วยกระเดื่องจนได้ที่ ก็จะเกิดผลิตผลขึ้นมาสองอย่างคือ "ข้าวซ้อมมือ" และ "รำข้าว" รำข้าวนี้ประโยชน์มากมาย ฝรั่งเอาไปอัดเม็ดมาหลอกขายเราเป็นพวก ดูเหมือนจะเรียก วิลเบอร์ยีสต์ หรือ วีตเยอร์ม ไรทำนองนั้น เขาว่ากินแล้วจะช่วยเรื่องความจำ
ถึงว่า.... เพราะผมกินข้าวขัดขาวตั้งแต่เล็กนี่เอง ถึงขี้ลืมซะขนาดนี้
เจ้าโจ้อยากมีส่วนร่วมอีกแล้ว
พ่อ - ลูก คู่นี้นั่งอยู่ข้างครกกระเดื่อง น่ารักมากครับ เนี่ยเห็นมะ ใครว่าผู้ชายไม่ช่วยเลี้ยงลูก ส่วนไอ้หนุ่มแบ็กกราวด์ จากรูปครกกระเดื่องรูปแรก มารูปนี้ยังมีกรวยขนมคาปากอยู่เลย นั่นคือขนมขี้มอดครับ ข้าวป่นคั่วหอมเจือน้ำตาล กรอกใส่ปากทีละนิด เคี้ยวบ้างละลายเองบ้าง สุขี สุขี
สาวน้อยนัยน์ตาประกายคนนี้เป็นขวัญใจทีมเกี่ยวอาสาคราวนี้ครับ ลูกสาวของสมาชิกกลุ่มชาวนาไร้สารพิษที่บางแก้วนี่เอง ส่วนคนอุ้มเป็นเด็กเมืองครับ - พี่สาวนายโจ้ เด็กคนนี้มาตั้งแต่ครั้งดำนา หัดสีข้าวแต่คราวโน้น คราวนี้ก็ยังไม่ลืม สีเก่งจนผู้ใหญ่เขินเลยละ
เมื่อคุณโตรวบรวมและหลอกล่อสมาชิกได้ก็ร่วมลงมือทำนากัน ดูเหมือนฤดูกาลนี้จะเป็นนาที่สอง ซึ่งแม้ไม่ใส่ปุ๋ยใดๆ ผลผลิตก็ยังคงผลิงามเป็นอย่างดี แต่ก็เสียไปกับน้ำเดือนสิบสองบ้างเหมือนกัน นาที่งอกเงยจากแรงคนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ยกเว้นตอนไถที่ใช้ควายเหล็ก บัดนี้งอกงามเป็นรวงอร่ามรอเกี่ยว และเปลี่ยนเป็นธัญญาหารทรงคุณค่าแก่คนไทยตลอดมา -คงเป็นพันปี
ข้าวที่สีแล้ว และซ้อมแล้ว ถูกใส่ในถุงพลาสติกและห่อหุ้มด้วยบรรจุภัณฑ์งดงาม เราเรียกของแบบนี้ว่า "สอบจูด"
คุณป้าเสื้อกรมท่าข้างบนนี่ไม่ได้ทำงานอยู่กรมท่านะครับ ถึงจะสวมเสื้อสีกรมท่าก็เหอะ อิ อิ
แกเป็นเจ้าของที่นาตรงนี้ ตรงที่เด็กซนผู้ใหญ่ซนมาทำกิจกรรมกันอยู่นี่ละครับ ชื่อ "ป้าปลอด" ครับ ป้าแกใจดี เราดำนากล้าลอยฟ่อง แถมไม่เป็นแถวเป็นแนว เก็บข้าวแบบเหยียบมั่งเก็บมั่ง ข้าวล้มระเนระนาด เดินเก็บกันไปคนละทิศละทาง ฝัดข้าวหกเรี่ยราด แกก็ดูเช้ย เฉย
ตาปริบๆ ด้วยความชื่นชม
อิ อิ
ความจริงแกทำใจมาแล้วน่ะครับ
สอบจูดที่ว่าใช้ใส่ข้าวนี้ คนลุ่มทะเลสาบเค้าทำมาแล้วแต่ไหนแต่ไร แต่เป็นสอบใหญ่ๆ จุข้าวเป็นถัง เก็บไว้กิน
จูดที่ว่าก็คือ "กระจูด" พืชพวกหญ้า ขึ้นริมน้ำ แบบเดียวกับกก และใช้สานเป็นเสื่อ เป็นภาชนะเหมือนกกด้วย
คุณโต เอาสอบจูดมาบรรจุข้าวโดยมีแนวคิดว่า เป็นของที่ "คนแต่แรก" ใช้กันเป็นปกติ และเป็นการเพิ่มมูลค่าให้แก่ภูมิปัญญาเก่าแก่ลุ่มเลสาบ ทั้งข้าวและจูด
ก็มีทั้งแบบกระสอบ ถุงหิ้ว และกระเป๋าหิ้ว น่ารักทั้งนั้นเลยครับ
ความจริงเรื่องวิถีจูดก็เป็นเรื่องน่าคุย เพราะกำลังจะสูญหายเหมือนกัน คนแก่ที่กะลังอ่านอยู่เนี่ย ต้องถอนใจกันเฮือกๆ เลยละ อิ อิ
เสร็จจากลงนาเราไปไหว้พระที่วัดบางแก้วครับ พัทลุงมีวัดที่มีคำว่า "บางแก้ว" อยู่สองแห่ง วัดเขียนบางแก้วแห่งนึง ดังมาก เป็นโบราณสถานขึ้นทะเบียนกรมศิลปากร อายุอาจถึงยุคศรีวิชัย คือร่วมพันปี อยู่ที่บ้านบางแก้ว อ.เขาชัยสน
ส่วนที่นี่วัดบางแก้ว อ.บางแก้ว อายุน่าจะร่วมสอง - สามร้อยปี ร่มรื่น เรียบง่าย พระทั้งวัดขยัน กวาดลานวัดกันขันแข็งเชียวละ
รูปข้างบนเป็นสัมภาระของชาวคณะครับ มาตรวจทานกันในวัดว่าครบมั้ยขาดมั้ย กราบพระเสร็จพอเป็นมงคลก็เดินทางกลับโดยรถไฟ
ส่วนรูปล่างถ่ายมาระหว่างรอรถ นอนรอใครที่ชานชลาก็ไม่รู้
สรุปว่าทุกคนถึงบ้านโดยสวัสดิภาพครับ อิ่มใจ ได้ความรู้ ได้ทักษะ สนุกด้วย ปรัชญาการศึกษาสมบูรณ์เลยนะเนี่ย "เก่ง ดี มีสุข"
ความจริงมีรูปอีกหลายรูป แต่ฝีมือขี้ริ้วมาก เลยไม่ได้เอามาให้ดู งวดนี้แค่นี้ก่อนเน่อ
ขอบคุณที่ทนอ่านมานะครับ
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2549 |
Last Update : 27 พฤษภาคม 2551 1:03:41 น. |
|
32 comments
|
Counter : 2809 Pageviews. |
|
|