วิธีการท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆ ของจิต
วิธีการท่องเที่ยวไปในภพภูมิต่างๆ ของจิต ที่มา: นิตยสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับที่ 86 คอลั่ม: ไดอารี่หมอดู ผู้เขียน: หมอพีร์ มกราคม 2553 อาทิตย์นี้นั่งรอเรื่องที่จะนำมาเขียนเป็นอาทิตย์เลยค่ะ คิดไม่ออกเลยว่าจะเอาเรื่องไหนมาเขียน ไม่มีเหตุการณ์อะไรสะดุดใจเท่าไหร่ จนวินาทีสุดท้ายเมื่อคืนก่อนนี้เอง มีพี่คนหนึ่งเธอโทรมาปรึกษาเรื่องวิปัสสนา เริ่มต้นคุยกันเรื่องปฏิบัติธรรม พีร์บอกเธอไปว่าถ้าไม่เกินความรู้ความเข้าใจของตัวเองก็พอตอบได้ และคำถามของเธอไม่เกินความสามารถเท่าไหร่ ทำให้คุยกันไปเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่จิตใจของเธอจะเป็นโรคกังวล กลัวพลาดทำผิดศีล กลัวการทำบาป กลัวผลของบาป ซึ่งไม่แปลกเลยค่ะธรรมชาติของคนเราเมื่อเริ่มทำความดีมาได้ระดับหนึ่งจะรู้สึกว่าสิ่งที่ต้องทุกข์ที่ผ่านมา ไม่ได้เป็นเพราะใครทำมาหรอก จิตใจจะเชื่ออย่างสนิทใจเลยว่าเกิดจากการผิดศีลของตัวเองนี่แหละ พอเริ่มเห็นต้นเหตุจากจิตตัวเอง จะเกิดสภาวะต่อมาคือกลัวตัวเองไปพลาดพลั้งผิดศีลข้อไหนเพิ่มอีกโดยไม่ตั้งใจหรือเปล่า ความจริงที่กลัวแบบนี้เพราะรักตัวเอง กลัวตัวเองต้องมาใช้กรรมอีก กลัวความทุกข์จากบาปที่ทำไปมาก ๆ เลยกังวลกลัวพลาดผิดศีล ความจริงเมื่อจิตกระสับกระส่ายเพราะกลัวพลาดทำบาปอีก ให้ตั้งหลักให้ดีว่าการผิดศีลห้านั้นต้องมีเจตนาเป็นองค์ประกอบ เช่นเจตนาฆ่าสัตว์เผลอปัดมันแรงไปหน่อยมันตาย ถือว่าองค์ประกอบของศีลขาดเจตนา หรือใจด่าคนอื่นไปเรียบร้อยแล้วมีสติเห็นทัน ปากยังไม่ทันด่ากริยาไม่ทันแสดงออก ถือว่าศีลห้าครบ ถ้ายึดหลักว่าไม่มีเจตนาทำร้ายเป็นหลักไว้จะทำให้ใจกระสับกระส่ายน้อยลงไม่กลัวว่าตัวเองจะทำผิดศีลมากเกินไป แต่บางคนต้องสังเกตให้ดีนะ กิเลสมันชอบหลอกเราให้คิดว่าเจตนาดี เหมือนประมาณว่าถือช่อดอกกุหลาบแต่ซ่อนมีดดาบไว้ข้างในช่อ คือรู้ว่าเมื่อพูดแบบนี้ไปเขาจะเกิดความเจ็บใจ หรือเขาต้องไปทะเลาะกัน ปากทำเป็นบอกว่าหวังดีนะ พอเขาทะเลาะกันเสร็จเกิดความกระหยิ่มยิ้มย่องสะใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น อันนี้วิบากค่อนข้างหนักมีความโสมนัสในกรรมที่ทำไปด้วย ต้องระวังด้วย เหมือนคำสุภาษิตที่ว่าปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ เธอถามพีร์อีกว่า บางขณะเธอจะเห็นจิตเกิดอาการแปล๊บขึ้นมาและปวดแสบปวดร้อน มันเกิดอะไรขึ้น อาการแบบนี้ไม่แปลกหรอกค่ะ ธรรมชาติของใจมนุษย์สามารถสัมผัสนรกได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย จิตตอนนั้นเกิดโทสะเกิดความโกรธขึ้นมาทำให้รู้สึกแบบนี้ได้ หรืออยู่ ๆ ไปเห็นอาการแปล๊บขึ้นมาเลยก็ได้ มีสภาวะตามหลังมาคือปวดแสบปวดร้อน และเล่าให้พี่เขาฟังว่า เคยไปภาวนาที่วัดทางใต้ หลวงพ่อท่านเคยเทศน์เรื่องของจิตไว้ว่า จิตมนุษย์เราวัน ๆ หนึ่งมีแต่ท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ ครั้งกลับมาที่บ้านเกิดอาการหิวข้าวมาก ใจมันอยากกิน ร่างกายยังไม่อยากขนาดนั้น พอกลับมาบ้านเจอของถูกใจรีบตักใส่ปากเหมือนยัดใส่ จำได้ว่าจิตกลับมามองดูเกิดคำพูดผุดขึ้นมาในสมองสั้น ๆ ว่า เปรต เป็นแบบนี้เองเหรอ ไม่อยากจะเชื่อค่ะ เกิดสภาพค้างกินไม่ลงเลย ใจโลภอยากกินเข้าไปมาก ทั้งที่ร่างกายยังไม่ได้ต้องการขนาดนั้น เหมือนกินสนองความอยาก สะอึกไปหลายวันเหมือนกันหลังจากนั้นเลยเข้าใจสภาวะคำว่าเป็นเปรตตั้งแต่ยังไม่ตาย หลัง ๆ เวลากินตามกิเลสขึ้นมา จิตจำคำว่าเปรตได้เลยค่ะ มีบางครั้งค่อนข้างยึดมั่นความคิดเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ อยากให้คนใกล้ตัวเห็นตามตัวเองหมดใครไม่เห็นด้วยก็โกรธ เห็นภูมิอสุรกายขึ้นมาชัด ๆ เลยค่ะ หรือบางวันใจลอย เหม่อลอยมึน ๆ ขึ้นมา เป็นสัตว์ตั้งแต่ยังไม่ตายอีก มีอยู่อีกวันหนึ่ง มีคนหนึ่งทำให้เกลียดมาก จิตใจมันโทษแต่เขาว่าไม่ดีเลวมากเกลียด คิดย้ำ ๆ ถ้ามาทำให้ฉันเดือดร้อนจะตบกลับไป หรือมาแล้วจะจัดการให้หงายหลังกลับไปเลย สติไวกลับมาเห็นจิตจมลงหลุมนรกชัดมากเลยค่ะ ถ้าไม่ฝึกสติมานี่คงแช่ลงไปทุกภพทุกภูมิแน่ๆ เห็นผลของการฝึกเจริญสติมาก ๆ เลยค่ะว่า เมื่อรู้ทันอาการทางใจเหล่านี้ จะเกิดการแยกออกมาไม่จมลงไปเป็นตัวตน ลองสังเกตใจตัวเองแต่ละวันดูกันนะคะ ว่ากำลังลงอยู่ภูมิไหนกันบ้าง ยิ่งคนไหนยอมจมอยู่กับความเศร้า คิดแต่เรื่องเศร้า แช่อยู่กับอารมณ์นี้เท่ากับซ้อมลงนรกทุกวันเลยค่ะ หลักมีอยู่ว่าเมื่อจิตถูกโลภะครอบงำ จะมีสภาวะเอาเข้าตัว เช่น ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงสมบัติ หวงของรัก อยากกินมาก เป็นทางที่ไปเป็นเปรต จิตถูกโทสะครอบงำ จะมีสภาวะผลักออกไปไกล เช่น กลัว เศร้าหมอง หงุดหงิดเกลียดชัง ภูมิที่เสวยอยู่คือนรก จิตถูกโมหะครอบงำ จะมีสภาวะเบลอ ๆ ใจลอย ไม่รู้เรื่องอะไร ฟุ้งซ่าน หดหู่ ภูมิที่จะไปคือเดรัจฉาน จิตเกิดความยึดมั่นตัวตนรุนแรง อีโก้จัด อัตตาจัด ภูมิที่ไปคืออสุรกาย จิตมีความสุข สบายสว่าง ภูมิที่ไปคือสวรรค์ จิตเกิดความสงบในสมาธิอยู่ในฌานก่อนตายภูมิที่จะไปคือเป็นพรหมโลก เมื่อพบว่าจิตตัวเองมีลักษณะในทางไม่ดี มีทางออกตรงนี้ค่ะ เช่น จิตถูกความโลภครอบงำ แก้ได้โดยฝึกเป็นคนเสียสละทำทานบ่อย ๆ จิตถูกความโกรธครอบงำ ให้ฝึกเจริญเมตตามาก ๆ จิตถูกโมหะครอบงำ ฝึกขยับตัว เช่นเดินจงกรมรู้กาย การเล่นกีฬา ออกกำลังกายเป็นของแก้โมหะ แต่ที่ดีกว่านี้คือฝึกวิปัสสนาไปเลย จิตจะไม่ติดในภูมิใดภูมิหนึ่ง จะมีแต่ว่ามีโลภะก็รู้ มีโทสะก็รู้ มีโมหะก็รู้ ฝึกหนทางที่เป็นกลางนำไปสู่เส้นทางพระนิพพาน จิตของคนเราเมื่อทำความดีตรงกันข้ามกับทางเดิมมาก ๆ สิ่งแรกที่จะสัมผัสได้คือกรรมมีจริง กรรมเกิดจากการกระทำของตัวเองทั้งนั้น จิตจะไม่โทษคนอื่นว่าเขาทำเรา หลังจากนั้นจิตจะสัมผัสกับนรกสวรรค์ได้ในใจตั้งแต่ยังไม่ตาย จะเชื่อว่าภพชาติมีจริง เพราะจะเห็นว่าจิตของเราท่องเที่ยวไปในภพน้อยใหญ่ตลอดเวลา ถ้าไม่ฝึกสติไว้เลยเราก็จะไปติดอยู่ในภพภูมิเหล่านั้น ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นอบายภูมิ ดังนั้นมาเริ่มฝึกสติกันเลยดีกว่าค่ะ
Free TextEditor
Create Date : 21 มกราคม 2553 |
|
4 comments |
Last Update : 21 มกราคม 2553 11:07:34 น. |
Counter : 792 Pageviews. |
|
|
|