|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
สภาวะปฐมฌาน
เริ่ม อุคคหนิมิตและเป็นอุปจารสมาธิดังนี้. --------------------------------------------------------------------------------- ในช่วงวันสองวันแรกก็ยังมีปัญหาระหว่างยุบหนอ-พองหนอ กับสติที่จมูกดูลมหายใจอยู่พอถึงวันที่ 3 จึงปลงใจได้ว่า ยุบหนอ-พองหนอไม่ต้องภาวนา ดูลมหายใจเหมือนเดิม และภาวนาอย่างอื่นเช่น นั่งหนอ-ถูกหนอ เจ็บหนอ คิดหนอ เดินจงกลม คืออะไรเด่นชัดที่สุดภาวนาสิ่งนั้นให้ทันเมื่อความกังวลเริ่มคลายจึงภาวนาสบายขึ้น ตัวเริ่มเบา มีอยู่ช่วงหนึ่งขณะนั่งกรรมฐานกำลังดูลมหายใจกระทบท้องอยู่เกิดตัวเบาสว่างนวล เหมือนปุยเมฆ มีความสุขปีติหูยังได้ยินเสียงภายนอกอยู่แต่เบามากสักพักหนึ่งมีเสียงกระสิบใสตรงทีจิตว่า "ให้พยายามทำต่อไป อย่าได้หยุด" หลังจากนั้นอีกประมาณ 10 หรือ 20 นาที ก็เป็นเวลาช่วงพักกรรมฐาน ความจริงเวลาพักกรรมฐาน ข้าพเจ้าก็ยังกำหนดภาวนาอยู่ทุกเวลาแต่อาจไม่เข้มข้นพอวันที่ 4 ของการเข้ากรรมฐานครั้งที่ 2 ข้าพเจ้าพิจารณาว่าเมื่อลมหายใจเข้า ลมหายใจออกก็ต้องพิจารณาให้ทัน จึงต้องมีคำภาวนากำกับ ตกลงใจใช้คำภาวนาว่า "ไม่เทียงเป็นทุกข์ " เมื่อหายใจเข้า และ "ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน" เมื่อหายใจออกโดยมีสติตั้งที่ปลายจมูกเป็นหลัก และเมื่อหายใจเข้าต้องให้พิจารณาเห็นว่าลมไม่เที่ยงจริงต้องเปลี่ยนไปเป็นทุกข์คือทนอยู่ไม่ได้ เมื่อหายใจออก พิจารณาเห็นว่า ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนจริงๆ ยึดถือไม่ได้ ส่วนคำภาวนาอย่างอื่นก็ตามแบบของคณะ 5 ทุกอย่าง --------------------------------------------------------------
สภาวะนี้คือ อุปจารสมาธิ
ภาวนาสบายขึ้น ตัวเริ่มเบา มีอยู่ช่วงหนึ่งขณะนั่งกรรมฐานกำลังดูลมหายใจกระทบท้องอยู่เกิดตัวเบาสว่างนวล เหมือนปุยเมฆ มีความสุขปีติหูยังได้ยินเสียงภายนอกอยู่แต่เบามากสักพักหนึ่ง
ปฐมฌาน เป็นดังนี้ -------------------------------------------------------------------- พอวันที่ 7 หลังจากพักกรรมฐานช่วง 20.00 น เป็นเวลาที่เตรียมตัวอาบน้ำข้าพเจ้าเห็นว่าช่วงนั้นมีคนใช้ ห้องน้ำกันมาก จึงทำกรรมฐานรอไปเรื่อยๆ แล้วเอนกายลงนอนแต่กำหนดภาวนาอยู่ ความรู้สึกก็หายไปมารู้อีก ครั้งคล้ายเป็นนิมิตที่ชัดเจน เห็นพระอายุประมาณ 50 ผิวขาวท้วมกำลังเดินขึ้นกุฏิ ความรู้สึกก็ได้น้อมมาที่จิต ของตนเองและคำนึงขึ้นว่า เป็นพระนี้ดีหนอถ้าไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ จะอยู่อย่างสงบสุขหลังจากนั้นจิต ก็มีความรู้สึกเต็ม แต่ไม่ได้รู้ที่ร่างกาย แล้วรวมตัวดิ่งลงภวังค์ลึก ถอยขึ้นมารับความรู้สึกเหมือนเดิมแล้ว รวมตัวลงภวังค์ลึกไปอีก เป็นอยู่ 3 ครั้ง จึงขึ้นมารับรู้ทั้งตัวทันทีทันใด หลังจากนั้นร่างกายทุกส่วน ก็สะบัดอย่าง รวดเร็วติดต่อกันหลายครั้ง คล้ายปลาที่โดนตีหัว ต่อจากนั้นจิตใจวางเฉยมาก และไม่สนใจเรื่องที่ผ่านมา จึงเตรียมตัวไปอาบน้ำ ขณะที่อยู่ในห้องน้ำพอตักน้ำรดตัวขันแรกก็นึกขึ้นว่า เอะ ! ที่ผ่านมาคืออะไร? จึงคิดเข้าข้างตนเองว่าเป็นมรรคผลนิพพาน ก็บังเกิดตัวร้อนวูบวาบด้วยความดีใจ เมื่ออาบน้ำเสร็จขึ้นมาที่ห้อง ได้พูดกับเพื่อนถึงอารมณ์ที่ผ่านมา แล้วเข้าใจว่าเป็นมรรคผลนิพพาน หลังจากนั้นร่างกายร้อนวูบวาบมากขึ้น มีปีติบังเกิดขึ้นอย่างมากมายคล้ายระลอกคลื่นที่กระทบฝั่ง นอนไม่หลับต้องนั่งตัวโยกเพราะปีติทั้งคืน รุ่งวันใหม่ก็ยังมีปีติอยู่ ----------------------------------------------------
สภาวะ ปฐมฌาน พร้อมทั้ง อัปปนาสมาธิคือ
จึงทำกรรมฐานรอไปเรื่อยๆ แล้วเอนกายลงนอนแต่กำหนดภาวนาอยู่ ความรู้สึกก็หายไปมารู้อีก ครั้งคล้ายเป็นนิมิตที่ชัดเจน เห็นพระอายุประมาณ 50 ผิวขาวท้วมกำลังเดินขึ้นกุฏิ ความรู้สึกก็ได้น้อมมาที่จิต ของตนเองและคำนึงขึ้นว่า เป็นพระนี้ดีหนอถ้าไม่มี ราคะ โทสะ โมหะ จะอยู่อย่างสงบสุขหลังจากนั้นจิต ก็มีความรู้สึกเต็ม แต่ไม่ได้รู้ที่ร่างกาย แล้วรวมตัวดิ่งลงภวังค์ลึก ถอยขึ้นมารับความรู้สึกเหมือนเดิมแล้ว รวมตัวลงภวังค์ลึกไปอีก เป็นอยู่ 3 ครั้ง จึงขึ้นมารับรู้ทั้งตัวทันทีทันใด หลังจากนั้นร่างกายทุกส่วน ก็สะบัดอย่าง รวดเร็วติดต่อกันหลายครั้ง
สิ่งที่เกิดหลังจากนั้นคือ จิตเป็นอุเบกขาแล้วเกิดปิตีอย่างมากมายดังที่กล่าวไว้
แต่หลังจากนั้นเกิดวิปัสสนูกิเลสขึ้น ------------------------------------------------------------ หลังจากนั้นรู้สึกว่าผิวหนังและกล้ามเนื้อกระชับ ไม่มีอ่อนเพลียและง่วงนอนเลย แถมดวงตาเริ่มมองเห็นรัศมีจากคนทั่วไป และรูปพระต่างๆ ในขณะปกติไม่ใช่ขณะนั่งสมาธิ รัศมีของแต่ละคน นั้นแตกต่างกันตามระดับสมาธิ บุคคลทั่วๆ ไปรัศมีสีเหลืองอ่อนไม่ใสคลุมจางๆ สำหรับผู้ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่ เป็นสีเหลืองอ่อนใสมากขึ้นพอกับผู้ที่เพิ่งเริ่มเข้ากรรมฐานวันแรกๆ ที่เข้ามาทำกรรมฐานที่ทำจริง แต่ผู้ที่ทำกรรมฐาน จะทรงอยู่ตลอดเวลา และผู้ที่ทำกรรมฐานที่ดีขึ้นก็จะมีสีใสมากขึ้นแล้วกระจายเป็นวงกว้างมาขึ้น มีผู้ทำกรรมฐาน ถึงอีกระดับหนึ่ง จะมีรัศมีขาวนวลสว่างคลุมอานาบริเวนกว้างประมาณช่วงแขนของตนเองซึ่งมีน้อยคน แต่มีรัศมี ท่านผู้หนึ่งที่ต่างจากบุคคลทั่วไปมากและเป็นอยู่ตลอดเวลา รัศมีของท่านเป็นสีเหลืองทองอ่อนเข้มข้นระยิบระยับ เคลือบผิวอย่างหนาแน่นห่างจากผิวประมาณครึ่งนิ้วถึงหนึ่งนิ้ว แม้ว่าท่านจะเดินอยู่กลางแดดจ้าทามกลางฝูงชน รัศมีของท่านก็ยังคงอยู่ ทั้งที่ช่วงนั้นข้าพเจ้ายังมีความศรัทธาในตัวท่านน้อยอยู่มาก แต่ศรัทธาในตัวหลวงพ่อ มากกว่า ท่านผู้นี้คืออาจารย์ เมื่อข้าพเจ้าสามารถเห็นรัศมีจากผู้อื่นทำให้ข้าพเจ้ามีความหลงในตัวเองมาก ว่าเป็น พระอริยะไปแล้ว --------------------------------------------------
เมื่อหลง เปรียบเสมือนเห็นกองไฟ สองแสงสว่างในความมืด ก็ปีติยินดี และด้วยฐานะที่เป็นทุกข์อยู่แล้ว จึงไปหยิบถ่านไปที่ลุกไหม้นั้นว่าเป็นของตน ตนเป็นพระอริยะแล้วเพื่อคานกับฐานะที่เ็ป็นทุกข์ทางสังคมนั้น ไม่ย่อมปล่อยไม่รู้จักว่าร้อนว่าเป็นทุกข์ โดยไม่รู้ตัว.
แล้ววิบากกรรมส่งให้ทุกข์เพิ่มอย่างประจวบเหมาะกับเหตุการณ์ที่จะสงผลต่อไป. -------------------------------------------------- ขอบคุณพันทิพ.คอม ห้องศาสนา ครับ
Create Date : 14 มิถุนายน 2554 |
Last Update : 14 มิถุนายน 2554 21:56:36 น. |
|
1 comments
|
Counter : 685 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ดอกไม้ IP: 124.122.205.235 วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:11:36:02 น. |
|
| |
|
หนุ่มทิพย์ |
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
เว็บบล็อคแห่งนี้ เป็นสถานที่สำหรับบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้จากประสบการณ์การศึกษาปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐานสี่ ของข้าพเจ้า...
|
|
|
|
มี
ข้อสงสัยแต่ไม่มีคนตอบให้ค่ะ. ขอบคุณค่ะ
cometrue.dream1@gmail.com