ผู้รู้...ผู้ตื่น...

<<
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 มีนาคม 2553
 

หยดน้ำบนใบบัว

บทความนี้เกิดจากการสนทนาธรรมระหว่าง พระผู้รู้กับโยมอุบาสกนักปฏิบัติภาวนาท่านหนึ่ง ในวันที่ 24 มีนาคม 2553 โดยได้เรียบเรียงบางช่วงบางตอนใหม่ แต่เนื้อหายังคงเดิม ไม่มีการตัดต่อเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น  

ขอขอบคุณ พันธกุมภา ผู้ที่สามารถถ่ายทอดธรรมให้ออกมาเป็นตัวหนังสือ เพื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงธรรมอันเป็นที่สุดนี้ได้ สา..ธุ..

Free TextEditor


หลวงพ่อว่า การเรียนรู้กายและใจ แค่รู้ แค่เห็น ไม่ต้องไปวิตก วิจารณ์ต่อ การคิด วิเคราะห์จะเกิดหลังจากแค่รู้ แค่เห็น จิตมันมีธรรมชาติปรุงแต่งตามเหตุปัจจัย และปกติก็ไม่ได้มี ไม่ได้เป็นอะไร แต่เมื่อเกิดการปรุงแต่ง มีเหตุปัจจัยเข้ามากระทบ ก็เกิดการปรุงแต่ง เราก็แค่รู้ แค่เห็น รู้แล้วทิ้ง รู้แบบคนโง่ โง่เพื่อเรียนรู้ได้ทุกอย่าง รับรู้สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ไปทำต่อ หากทำต่อ เช่น ไปบังคับ ไปควานหา ไปทำให้หาย ก็เป็นการสร้างภพใหม่ไปเรื่อยๆ หรือแม้แต่นิพพานเองก็ไม่ได้มีไม่ได้นึกคิดเอาเอง แต่นิพพานมีอยู่แล้ว แต่เราไม่เห็น การที่เราจะเข้าถึงได้ เราต้องทิ้งทุกอย่างที่เรารู้ เราจำ ต้องกล้าหาญและอดทนอย่างยิ่งที่จะรู้ตามความเป็นจริง เวลาที่รู้แล้วจะมีช่องระหว่างเกิดดับ เป็นสุญญะวิโมกข์ รู้จุดนี้ เห็นจุดนี้ รู้ไปเรื่อยๆ จนถึงอาสวขญาณ ก็ถอดถอนความเห็นผิด จนวันที่แจ้ง สุญญตา ความว่างที่ปราศจากความปรุงแต่ง ความไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร ไม่เอาอะไร มันเป็นเช่นนั้นเอง จิตจะเห็น ไม่ใช่คิดเอาเอง



ธรรมชาติภายนอกและธรรมชาติภายใน ก็เป็นขันธ์ การจะดับทุกข์ได้ก็เมื่อดับขันธุ์ จิตใจที่อยู่เหนือธาตุขันธ์ ก็เป็นดั่งใบบัวและหยดน้ำ ใบบัว เป็นเหมือนขันธุ์ และน้ำคือจิต จิตของพระอรหันต์จะเหมือนหยดน้ำบนใบบัว น้ำมีแต่ไม่เปียกใบบัว ต่างคนต่างอยู่ รูป นาม ธาตุขันธ์ แยกกัน จากความเป็นตัวเป็นตน แต่จิตของปุถุชนทั่วไป เหมือนหยดน้ำที่กระจายเปราะเปื้อนบนใบบัว เกาะติดกับใบบัว เดี๋ยวก็หลุด เดี๋ยวก็เกาะ เวลาที่ใบบัวหายไป หรือ ขันธุ์ดับไป จิตก็ไปเกาะใบบัวใหม่ กระบวนการเกิดก็เลยเกิดขึ้น เป็นวัฎจักรหมุนเวียนไปไม่รู้จักจบสิ้น แต่หากจะไม่เกิดก็ห้ามไม่ได้ เพราะทุกอย่างต่างมีการเกิดและดับลงเป็นธรรมชาติ สิ่งที่เราทำได้คือการยอมรับความจริง รู้ว่าธาตุขันธ์เกิดขึ้นและดับลง แค่รู้แค่เห็น รู้คือญาณ เป็นปัญญาญาณเกิดในใจ เห็นคือ ทัศนะ ญาญทัศนะ จึงเห็นตามความเป็นจริง ก็ค่อยๆ ถอดถอนความยึดเงาของจิต ความมั่นหมาย การให้ค่าต่างๆ เป็นเพียงสิ่งที่เกิดดับ เป็นสิ่งที่ไม่มี ไม่เป็น น้ำจึงอยู่ส่วนน้ำเป็นกลุ่มก้อน บัวก็อยู่ส่วนบัว แต่ไม่ได้หายขาดจากกัน แต่อยู่ด้วยกันอย่างต่างคนต่างอยู่



ชีวิตคนเราก็เหมือนดังภาพยนตร์ ในจอภาพยนตร์เราเห็นนักแสดงเต็มไปหมด ชีวิตเราก็เหมือนหนังเรื่องหนึ่ง ทุกอย่างที่เห็นเป็นสมมติเป็นนิมิตที่ดำรงอยู่ แต่เราไปสำคัญว่าเป็นตัวเป็นตน เข้าไปอินกับหนังเรื่องนั้น จริงจังกับมัน แทนที่จะเป็นธรรมดา เฉยๆ กับมันแต่มันอดไม่ได้ที่จะเข้าไปดัดแปรงบท ตกแต่งบทใหม่ ให้มันเป็นอย่างที่เราต้องการ มันช้าก็เร่งมันเร็ว มันไม่ดีก็ทำให้มันดี ฉะนั้นเราจึงแค่อดทนดูไป เห็นไป รู้ไป หรือมันเหมือนเวลามือเราเปี๊ยกน้ำ แทนที่เราจะรอให้มันแห้งแต่เราก็ไปทำมันให้มันไปเช็ดมันให้แห้ง ดังนั้นการที่เราไปทำ คือมีเจตนา อยากให้มันเป็น อยากให้มันดี มันก็สร้างภพใหม่ไปเรื่อยๆ สิ่งที่ควรทำก็แค่รู้ แค่เห็น ตามจริง อดทน ดู เพราะมันก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่มีอะไรคงทนถาวร ทุกอย่างเป็นไปเพื่อความเสื่อม โลกไม่ได้เจริญขึ้น แต่ความจริงโลกคือความเสื่อมลงๆ แม้แต่พระพุทธศาสนาก็เสื่อมๆ ลง นี่คือความจริง ที่อยู่อย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ฉะนั้นเราจึงเพียงแค่รู้ แค่เห็น ตามจริง ไม่ให้ความเห็น ไม่บัญญัติ ไม่ให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างมือเราก็ปล่อยให้มันแห้งเอง เมื่อแห้งแล้วมันก็แค่มือ มือก็คือมือ กายใจก็คือกายใจ รูปนามก็คือรูปนาม มันเป็นของมันอย่างนั้น มันไม่มีอะไรอยู่จริง แม้กระทั้งนิพพานก็ไม่มีอยู่ ไม่มีอะไร แม้กระทั่งท้ายที่สุดมือเราก็จำเป็นต้องตัดทิ้ง




ไม่ว่าจะเป็นคน เป็นฆราวาสหรือเป็นพระ เป็นนักบวช มันก็แค่สมมติ ความจริงไม่มีอะไร ถึงจะอยู่ในสภาวะไหนงานหลักที่ต้องทำคือรู้ รู้แบบนี้ รู้ซื่อๆ รู้แล้วทิ้ง รู้และคนโง่ ไม่ต้องกลัวไม่ฉลาด ฉลาดที่จำได้ แต่ก็ไม่เท่าโง่แต่เรียนรู้ ฉลาดในทางสมมติกับโง่ในปรมัตถ์จะเลือกแบบไหนก็อยู่ที่เรา เป็นอะไร ก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย การเปลี่ยนสภาพภายนอกเป็นการเรียนรู้ในบรรยากาศใหม่ๆ รู้ทุกอย่างเห็นตามจริง การให้ค่าก็คือสีลพตปรามาส เป็นธรรมชาติ ทุกๆ ขณะอยู่แล้ว ที่เกิดขึ้น ห้ามไม่ได้ จึงแค่รู้ แค่เห็นมันตามจริง การให้ค่า แบบนี้ดี แบบนี้ไม่ดี ก็เป็นการลูบคลำศีล เข้าไม่ถึงความจริงเพราะเห็นหลายอย่างเป็นคู่ๆ สุข ทุกข์ ดีไม่ดี เขา เรา กิเลส นิพพาน แยกออกจากกัน สิ่งที่เห็นเป็นคู่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ห้ามไม่ได้ แต่เราแค่รู้ แค่เห็น เพื่อสู่ความเป็นหนึ่ง ไม่มีนอก ไม่มีใน ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร เห็นมันแค่นั้น สิ่งทั้งหลายเพียงแค่สมมติขึ้นมา แล้วเราก็ไปให้ค่า ยึดถือเอาไว้ จนเป็นวงจรทุกข์ไม่รู้สิ้น เวลาที่จิตมันปรุงมันก็เกิด เวทนาต่างๆ รับรู้ที่ละส่วนๆ ตาได้เห็น ก็เกิดคนละขณะกับหูได้ยิน และได้กลิ่นก็ต่างคนต่างรับรู้ที่ละขณะ อารมณ์เกิดทีละขณะ แต่เราไม่เห็น เหมือนหนังมันจะเป็นช๊อตๆ แต่เราเห็นมันต่อเนื่องเราจึงคิดว่ามันเที่ยง มันเป็นจริง ไปจริงจังกับมัน ทั้งที่มันต่างคนต่างอยู่ แยกกันอยู่ ไม่มีอะไรเป็นตัวตนจริงๆ กระบวนการเกิดอุปทานก็เกิดขึ้น ภพก็เกิด หมุนเวียนเป็นวงจรแบบนี้ไปเรื่อยๆ การจะข้ามพ้นก็แค่ยอมรับความเป็นจริง รู้กายใจตามจริง รู้แล้วทิ้ง ไม่เอาอะไร จุดที่เขาจะเข้าสู่มรรคผลก็เรื่องของจิต



ความอดทนเป็นสิ่งสำคัญ อดทนต่อความอยากได้ อยากเป็น อยากภาวนา เช่น เร่งความเพียรหลายคนเร่งความอยากมากกว่า เพราะอยากดี อยากบรรลุ ก็ไปนั่งสมาธิ ไปเดินจงกรม ไปเร่งจนขาดสติไม่เห็นความจริง ไปสร้างภพขึ้นมา ความเพียรที่แท้คือการรู้และเห็นตามจริง อดทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้นและแปรเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัย ไม่ไปให้ค่า ไม่ทำอะไรต่อ จุดที่จะเกิดมรรคผลเป็นเรื่องของจิต อดทนไปเรื่อยๆ เช่น ต้นไม้มันมีอายุของมัน ไม่ต้องไปให้ปุ๋ย ต้นไม้ก็ขึ้น มันขึ้นของมันเอง เราก็ไม่ต้องไปเร่งให้มันรีบ ค่อยๆ เป็นไป ดูมันไป เห็นมันเป็นไปเองตามธรรมชาติ มีอะไรให้รู้ก็รู้ ไม่มีอะไรก็รู้ว่าไม่มีอะไร สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ รู้ไปเรื่อยๆ นี่คือความเป็นธรรมดาของธรรมชาติ ทั้งธรรมชาติภายนอกและธรรมชาติภายใน เป็นของมันเอง เราจึงแค่รู้ แค่เห็น ในกายในใจนี้ก็พอ



โลกก็มีความเสื่อมเป็นธรรมดับ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นไปเพื่อความเสื่อม สิ่งใดเกิดขึ้นมาย่อมทุกข์เสมอๆ ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ เสื่อมลงๆ เป็นธรรมดาของมัน ธรรมชาติสรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยแม้แต่ดอยเชียงดาวเมื่อก่อนยังเป็นทะเล ตอนนี้เป็นดอย มันก็เป็นไปของๆ มัน ธรรมชาติภายนอกที่เราเห็น ผ่านหน้าต่าง ผ่านบานประตูก็เป็นเหมือนหนังเรื่องหนึ่งที่ผ่านมาให้เรารู้และเห็น  เราเพียงแค่ยอมรับในสิ่งที่มันเป็น น้อมเข้ามาสู่ใจ เรียนรู้ภายในใจ โอปะนะยิโก น้อมเข้ามาใส่ตัว และมันจะปัจจัตตัง เวทิตัปโพ ... รู้ได้เฉพาะตัว เห็นเฉพาะตน มันจะเป็นอย่างไร จะคิด จะให้ค่า จะฟุ้งหรือสงบ ก็แค่รู้และเห็น มันจะเข้าใจได้เฉพาะตัว

ฯลฯ 




Create Date : 26 มีนาคม 2553
Last Update : 26 มีนาคม 2553 7:58:54 น. 2 comments
Counter : 5361 Pageviews.  
 
 
 
 
ขอบคุณสำหรับ blog ดีดี แบบนี้ค่ะ
 
 

โดย: พี่บุญ IP: 124.121.115.17 วันที่: 27 มีนาคม 2553 เวลา:19:12:22 น.  

 
 
 
ขอบคุณค่ะ
 
 

โดย: daruneekarn IP: 58.136.65.218 วันที่: 27 มีนาคม 2553 เวลา:23:43:12 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

หนุ่มทิพย์
 
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




เว็บบล็อคแห่งนี้ เป็นสถานที่สำหรับบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่ได้จากประสบการณ์การศึกษาปฏิบัติธรรมตามแนวสติปัฏฐานสี่ ของข้าพเจ้า...
web counter
[Add หนุ่มทิพย์'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com