Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2552
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
3 มิถุนายน 2552
 
All Blogs
 

คิดถึงข้าวตัง



วันนี้จะเล่าถึงการจากไปของข้าวตัง เพื่อเตือนใจตัวเอง และหวังว่าอนาคตจะไม่ทำอะไรที่ผิดพลาดแบบนี้อีก


แค่เริ่มจะเล่า ก็รู้สึกว่าเริ่มจะร้องไห้ซะแล้วสิ Smiley



ท้าวความสักนิดว่าข้าวตังเป็นพี่น้องท้องเดียวกับข้าวหอม รับมาเลี้ยงพร้อมกันหลังจากที่เฉาก๊วย เหมียวทักซิโด้เพศผู้หายไปจากบ้านได้ราว 4-5 เดือน
วันแรกที่มาถึงบ้าน ข้าวหอมไม่มีทีท่ากลัวสถานที่ใหม่ๆ เลย เดินไปมา นั่งมองโน่นมองนี่ ไม่สนใจคนด้วย


ส่วนข้าวตังก็กลิ้งตัวลงนอนหงายเหงือกแล้วไถหลังเท้าแฟนเราอย่างเมามัน เราทั้งคู่ถึงกับกรี๊ดแตก เพราะแมวขี้อ้อนเป็นแมวในฝันมากๆ อยากได้แมวแบบนี้มาเลี้ยงมานานแล้ว อดไม่ได้ต้องอุ้มขึ้นมากอดมาหอมอย่างมันเขี้ยว
ทั้งคู่อายุราว 3 เดือน เพราะเราไม่อยากรับแมวยังเล็กมากมาเลี้ยง เนื่องจากกลัวจะเลี้ยงไม่รอด และอยากให้หนูๆอยู่กับแม่ให้นานหน่อย


ข้าวตังค่อนข้างขี้อ้อนมากๆ ผิดกับข้าวหอมลิบลับ รายนั้นเย่อหยิ่งจองหองสุดๆ แล้วก็อาศัยใบบุญข้าวตังเพื่อจะให้ได้กินข้าวเสมอ
เพราะข้าวตังจะร้องขอข้าวบ่อย ข้าวหอมก็อาศัยว่าตัวเองได้กินด้วยโดยไม่ต้องร้องขอ มันก็ทำตัวหยิ่งไปได้เรื่อยๆ เพราะถือตัวว่าหล่อนไม่เคยต้องขอใครกิน Smileyใครต่อใครมาบ้านก็ขออุ้มแต่ข้าวหอม ก็ยิ่งทวีความทรนงจองหองไปกันใหญ่ เวลาเราเองจะเข้าใกล้เจ๊แกก็ไม่เคยสบอารมณ์ ส่งเสียง "อื๊อออออ" เตือนภัยเป็นประจำ เป็นการส่งสัญญาณว่า "อย่ามากวนใจได้แมะ ช้านไม่ช๊อบบบ" ถ้าอยากอยู่ใกล้คน เจ๊จะเดินมาหาเอง


ข้าวตังเหมือนจะรับรู้ได้ว่าคนชอบข้าวหอมมากกว่าตัวเอง เลยเอาความขี้อ้อนเข้าสู้ ตอนยังเล็กๆ จะติดเราแจขนาดเกาะอยู่บนไหล่ไม่ยอมลง เราเคยล้างจานทั้งๆ ที่มีข้าวตังเกาะไหล่แน่น เห็นใครต่อใครเห่อข้าวหอมกันหมดก็นึกสงสารข้าวตัง เราเคยบอกกับมันว่า "ใครไม่รัก พี่จะรักหนูเองนะ"



ข้าวตังส่งสายตาแป๋วๆ กลับมา ไม่รู้ว่าข้าวตังจะเข้าใจรึเปล่า แต่ก็ถือว่านั่นเป็นคำสัญญาที่เรามีให้ข้าวตังไปแล้วล่ะ
ข้าวตังเป็นแมวที่เคี้ยวอาหารเม็ดไม่ได้ เพราะเหงือกไม่แข็งแรง ถ้ามันจำใจต้องกิน หรือว่ากลิ่นหอมมากๆ จนอดใจไม่อยู่ ก็จะกลืนลงคอไปทั้งแบบนั้นโดยไม่เคี้ยว
หมอบอกว่าเป็นเพราะเหงือกไม่แข็งแรง เราเลยต้องให้อาหารอย่างอื่น จำพวกตับย่างคลุกข้าว อาหารเปียก สลับกันไปมา และนั่นก็เป็นสาเหตุให้ฟันมีหินปูนจับ ส่งกลิ่นไม่โสภา ลงท้ายด้วยการพาไปขูดหินปูน ซึ่งหมอไม่ค่อยสนับสนุนให้ทำบ่อย เมื่ออายุเยอะแล้วต้องวางยาสลบบ่อยจะไม่เป็นผลดีกับแมว



อยู่ด้วยกันมาจนอายุ 4 ขวบ วันหนึ่งข้าวตังไม่ยอมกินข้าว เดินไปถึงชามข้าวแล้วดมๆ ทำเหมือนจะกิน แต่ไม่กิน แล้วก็เดินกลับไปนอน
ก่อนหน้านี้ ข้าวตังจะมีอาการแบบนี้บ้าง ไม่กินข้าววันนึง บางครั้งก็สองวัน แล้วรุ่งขึ้นก็กลับมากินได้ปกติ
เคยปรึกษาหมอ หมอบอกว่าให้ดูอาการ ถ้าเหงือกไม่ซีด หรือไม่มีอาการซึม ไม่ต้องพามาหาหมอก็ได้ เราก็นึกว่าครั้งนี้จะเป็นเหมือนทุกที วันที่หนึ่ง วันที่สอง วันที่สามผ่านไป จนวันที่สี่ ตัดสินใจพาไปหาหมอ ซึ่งตรงนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิต เราควรพาข้าวตังไปหาหมอตั้งแต่วันที่สองแล้ว แต่ยังไปวางใจคิดว่าเดี๋ยวข้าวตังก็หายเองได้อยู่



คลีนิคเจ้าประจำ อยู่ไกลบ้านพอสมควร นั่ง Taxi ไปจะเสียค่ารถประมาณ 120-130 บาท
แล้วเป็นคลีนิกที่.. วันธรรมดาเปิด 17.00-19.30 เสาร์อาทิตย์เปิด 14.00-19.30
เราโทรไปนัดหมอไว้ตั้งแต่ 17.00 พอเลิกงานก็รีบกลับบ้านไปรับข้าวตัง แล้วบึ่งขึ้น Taxi ในขณะที่ท้องฟ้าครึ้ม ฝนตั้งเค้ามาดำมืด


ไม่ใช่ Taxi ทุกคันจะเต็มใจรับผู้โดยสารที่ถือตะกร้าแมว เราก็ไม่ได้โทษเค้า แต่ในช่วงเวลาที่ฝนปริ่มว่าจะตก ได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้โชคเข้าข้างเราด้วยเถิด
รอรถได้พักใหญ่ ก็ได้ Taxi ขึ้นนั่งได้แป๊ปเดียว ฝนก็กระหน่ำเทลงมาไม่ลืมหูลืมตา เรากระซิบบอกข้าวตังเบาๆ ว่า "อดทนอีกนิดนะ เดี๋ยวจะได้เจอหมอแล้ว"
ตอนแรกคิดว่าจะโทรหาหมออีกรอบ แต่แฟนบอกว่าเรานัดไว้แล้ว คงไม่ต้องโทรไปอีก เพราะกลัวว่าจะเป็นพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำ เดี๋ยวหมอจะรำคาญซะเปล่าๆ


อากาศข้างนอกชุ่มฉ่ำ คงมีแต่ใจเราเท่านั้นที่ร้อนรนเหมือนไฟเผา



ไปถึงคลีนิก 19.30 น. หน้าคลีนิกน้ำท่วม ฝนยังไม่หยุด เราหอบหิ้วแมวลงรถอย่างทุลักทุเลเพื่อที่จะพบว่าคลีนิกปิดแล้ว
เราใจเสียมากๆ โทรเข้ามือถือหมอ เมื่อพูดคุยกัน ได้ยินหมอตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า "ฝนตกหนักมาก คลีนิกปิดแล้วค่ะ"
ทั้งที่ก่อนหน้านี้เราก็นัดกันไว้แล้ว นั่นทำให้เราเสียใจ จะวีนแตกใส่หมอก็รู้ว่าไร้ประโยชน์ เพราะนาทีนี้..คลีนิกที่เห็นผ่านทางมาก็กำลังจะปิดร้านกันหมดแล้ว


เราต้องกลับเข้าบ้านทั้งน้ำตานองหน้า ขากลับยิ่งทุลักทุเล ไหนจะต้องแย่งรถกับคนด้วยกันเอง แล้วยังจะต้องผจญกับ Taxi ที่เป็นโรคเดียวกันหมดเวลาฝนตก ก็คือ เล่นตัว ไม่เคยไปไหนที่เราอยากจะไปเลย ไม่รู้ว่าถ้าไม่อยากวิ่งรถ แล้วเอารถออกมาวิ่งทำไมกันนะ




เช้าวันต่อมา รอจนคลีนิกที่ใกล้บ้านที่สุดเปิด  ก็พาข้าวตังไปหาหมอ สภาพในตอนนั้นคือ น้ำลายยืด ตาลอยๆ ข้าวตังเดินมาซบตักเรา ยิ่งทำให้เราเสียใจและเจ็บใจตัวเอง เหมือนว่าเค้ามาบอกว่าเค้าไม่ไหวแล้ว


เราพาข้าวตังไปพบคุณหมอที่คลีนิกใกล้บ้าน หมอบอกให้ทิ้งข้าวตังไว้ จากการตรวจสภาพร่างกายเบื้องต้น พบว่าข้าวตังตาบอดไปแล้วหนึ่งข้าง โดยที่เราไม่เคยรู้มาก่อนเลย คลีนิกที่เคยพาไปหาประจำไม่เคยบอกเราเรื่องนี้ (ก็คลีนิกที่พูดถึงไปข้างบนนี้ล่ะค่ะ) เค้าแค่ให้ยาหยอดตามา บอกว่าแก้วตามีปัญหา หรืออะไรซักอย่าง เราเองก็จำรายละเอียดตรงนี้ไม่ได้แล้ว แล้วก็เกล็ดเลือดต่ำมาก หมอต้องให้น้ำเกลือ แล้วนอนที่คลีนิกนั่นเลยเพื่อเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด



เราหวังอยู่เสมอว่าข้าวตังจะต้องหายดี แต่เมื่อมีสายเข้าจากคลีนิกมาตอนบ่ายสองโมง เราก็ได้รับคำตอบว่า "น้องข้าวตังไม่อยู่กับเราแล้วนะคะ"
ทันทีที่เราได้ยินคำนี้ เรี่ยวแรงไปรู้หายไปไหมหมด พูดอะไรไม่ออก น้ำตามาจากไหนไม่รู้ ดูเหมือนจะไหลไม่ยอมหยุด
"หมอเสียใจด้วยนะคะ"
เราต้องส่งโทรศัพท์ให้แฟนคุยแทน ก้อนอะไรบางอย่างมันวิ่งมาจุกแน่นที่ลำคอ จนไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา
สุดท้าย ก็ต้องไปรับข้าวตังกลับบ้านทั้งร่างไร้ลมหายใจ เรามองดูถุงดำเล็กๆ นั้นแทบไม่อยากเชื่อสายตา
ตกลงใจฝังข้าวตังไว้หน้าบ้าน เพื่อให้เค้าได้อยู่กับเราตลอดไป



เหตุการณ์ในครั้งนี้ เราไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ ถ้าเราเอาใจใส่เค้ามากกว่านี้ ข้าวตังก็จะไม่จากไป
เป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากอีกช่วงหนึ่ง ทุกทีกลับถึงบ้านจะเจอข้าวตัง ข้าวหอม มารอรับหน้าประตู มีเสียงร้องเรียกเวลาเข้าห้องน้ำ
มีใครบางคนเล่นซ่อนแอบอบู่ตรงราวบันไดชั้นบน ที่นอนประจำที่ข้าวตังแอบไปนอนเสมอ ก้านขนไก่ ของเล่นที่ข้าวตังคลั่งเพียงแค่เห็น
แล้วไหนจะข้าวหอม ที่ร้องหา ตามหาข้าวตังทั่วบ้าน แล้วก็ดูจะเสียขวัญเมื่อเห็นว่าข้าวตังไม่กลับมาบ้านหลายวันแล้ว


บ่อยครั้งข้าวหอมจะวิ่งไปดูตะกร้าที่ใช้ใส่ข้าวตังไปหาหมอ มอง ร้อง แล้ววนเวียนอยู่ตรงนั้น บางครั้ง อยู่ดีๆ ข้าวหอมจะเดินมาหาเรา ร้องเสียงดังแล้วมองหน้าทำนองเหมือนจะถามว่าเราเอาข้าวตังไปทิ้งไว้ที่ไหน ช่วงนั้นร้องไห้ทุกวัน นั่งอยู่ดีๆ น้ำตาก็ไหลออกมาเอง ไม่สามารถควบคุมอาการได้



ใครที่ผ่านมาอ่าน อาจมีคำถามว่าทำไมถึงต้องเลือกคลีนิกขนาดนั้น
เรื่องนี้เริ่มต้นตั้งแต่ตอนพาข้าวหอมข้าวตังมาเลี้ยงได้แค่สองสามเดือน มีคลีนิกแมวๆ หมาๆ 24 ชั่วโมงอยู่แถวบ้านที่นึง เราเคยพาข้าวหอมไปหาที่นี่ เพราะเห็นว่าไม่กินข้าว 1 วัน เรากลัวแมวจะป่วยเป็นอะไร ก็พาไปหาที่นี่ เห็นว่าสะดวกดี ใกล้บ้านแล้วยังเปิดตลอดเวลา
สิ่งที่ได้ฟังจากหมอคือ แมวเป็นมะเร็ง หรืออะไรซักโรคที่เป็นโรคเฉียบพลัน ประมาณว่าจะต้องตายภายในวันสองวันนี้แหละ
แล้วก็จับแมวฉีดยาด้วยท่าทางแบบเดียวกับที่ใช้จับหมา แถมเมื่อแมวทำน้ำลายฟูมปากไปเปื้อนชุดกาวน์ หมอหนุ่มน้อยก็ทำท่ารังเกียจ แถมยังนัดให้เราพาแมวมาฉีดยาทุกวัน วันละเข็ม เข็มนึงประมาณร้อยกว่าบาท-สองร้อย



ท่าทางแบบนั้นของหมอ ทำให้เราไม่คิดจะพาแมวไปอีก เมื่อกลับถึงบ้าน เราโทรหาเพื่อน เจ้าของที่ยกข้าวตังกับข้าวหอมให้เนี่ยแหละ
เพราะเห็นว่าเพื่อนเลี้ยงแมวเยอะ 20 กว่าตัว เลี้ยงมาหลายปีแล้ว น่าจะมีความรู้ดีกว่ามือใหม่อย่างเรา ก็โทรไปปรึกษา


เพื่อนเลยให้เบอร์คลีนิกประจำของเค้ามาให้ บอกว่าหมอคนนี้ดี ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์เกษตรด้วย แถมหมอยังคิดราคาไม่แพง หมอและภรรยาก็รักแมวๆ หมาๆ มากด้วย ซึ่งก็เป็นคลีนิกต้นเรื่อง ที่เราต้องนั่ง Taxi ไปหาด้วยค่ารถ 120 บาทข้างต้นนั่นเอง เราคิดว่ายอมนั่งรถไกลๆ แต่ได้รับการรักษาที่ปลอดภัย มั่นใจได้ ก็ยังนับว่าคุ้มกับค่ารถไปกลับ 240-250 บาทที่เสียไป



พาไปหาที่นี่ หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรซักหน่อย แล้วหมอก็สอนวิธีดูเหงือกให้ก่อนกลับด้วย
นั่นจึงเป็นที่มา ว่าทำไมเราไม่เคยไว้ใจคลีนิกแปลกหน้า แต่สุดท้ายหมอที่เราเคยไว้ใจมากๆ ก็ทำให้เราเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนความรู้สึก
มาไว้ใจคลีนิกใกล้บ้านอีกที่ในที่สุด (ซึ่งไม่ใช่คลีนิก 24 ชั่วโมงนั้น) ซึ่งคุณหมอก็ใจดี และไม่ได้คิดราคาหน้าเลือดแบบที่เราเคยมองคลีนิกอื่นด้วยความหวาดระแวงมาตลอดอีกด้วย



ในบางคืนยังนึกถึงข้าวตัง รูปถ่ายเก่าๆ ยังไม่กล้าไปเปิดดู กระพรวนอันสุดท้ายยังพกติดตัวอยู่ในกระเป๋า
เดือน ก.ค. นี้จะครบปีที่ข้าวตังจากไปแล้ว พร้อมๆ กับที่แป้ง น้องเหมียวตัวใหม่มาอยู่กับเราได้ครบหนึ่งปี (ข้าวตังจากไปได้ซักสองอาทิตย์ เราก็ได้แป้งมาอยู่เป็นเพื่อนข้าวหอมแล้วค่ะ สภาพจิตใจไม่ไหวทั้งคนทั้งแมว) กลายมาเป็นกฏของตัวเองว่า จะต้องกอดแมวทุกวัน คุยกับเค้า นั่งใกล้ๆ แล้วลูบเนื้อลูบตัวว่ามีอะไรผิดแปลกไปตรงไหนหรือเปล่า เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นกับเค้า เราจะได้รู้แต่เนิ่นๆ รักษาได้ทันท่วงที เวลาแมวป่วย เค้าไม่สามารถบอกเราได้ว่าเจ็บอะไรตรงไหน ต้องอาศัยการสังเกตจากเจ้าของ


หวังว่าเรื่องของเราคงเป็นอุทาหรณ์ให้คนเลี้ยงแมวได้บ้างนะคะ



Free TextEditor




 

Create Date : 03 มิถุนายน 2552
9 comments
Last Update : 3 มิถุนายน 2552 14:51:34 น.
Counter : 572 Pageviews.

 

เรื่องเศร้าของคนเลี้ยงแมวก็คือ เจอสัตวแพทย์ที่ไม่รักสัตว์แม้แต่น้อย

สงสัยเหมือนกันว่าแล้วมันจะมาเป็นสัตวแพทย์ทำไมฟระ

 

โดย: นั่งมอร์มาต่อเมล์ 7 มิถุนายน 2552 20:18:09 น.  

 

นั่นจิ พูดเรื่องนี้ทีไรเศร้าทุกทีเลยอ้ะ

ไม่รักไม่ว่า แต่ไม่อยากรักษาก็บอกมา จะได้พาไปที่อื่นง่ะ

 

โดย: กะนูปิง 7 มิถุนายน 2552 20:36:47 น.  

 

หมอรักษาแมว ที่รักแมว และเก่งเรื่องแมวมีไม่เยอะค่ะ
อันนี้พูดจากประสบการณ์เลยนะคะ
เราโชคดี มีหมอที่รักแมว สนใจรักษาแมวเป็นพิเศษ อยู่ใกล้บ้านมาก แค่หิ้วตะกร้าเดินข้ามถนนไปเท่านั้นเอง
กะนูปิง บ้านอยู่แถวไหนอ่ะ

แล้วตกลงข้าวตังเค้าป่วยด้วยโรคอะไร หมอได้บอกหรือเปล่าคะ

 

โดย: หนูปูน 9 มิถุนายน 2552 18:32:13 น.  

 

บ้านอยู่แถวสะพานใหม่ค่ะ


ประเด็นหลักๆ คืออดข้าวนั่นแหละค่ะ คุณหนูปูน

แต่สาเหตุที่ทำให้เค้าไม่กินข้าวนั่นเป็นเพราะอะไรก็จำไม่ได้แล้วค่ะ

ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าข้าวตังร่างกายไม่สมบูรณ์มาตั้งแต่เกิดแล้วด้วยล่ะค่ะ ตอนนี้แอบคิดเอาเองว่าข้าวตังคงไปเกิดเป็นคนสบายไปแล้ว

 

โดย: กะนูปิง 9 มิถุนายน 2552 23:39:09 น.  

 

เสียใจด้วยนะคะกับการจากไปของน้องข้าวตัง เศร้าจังเลยค่ะ

 

โดย: Angle_best 23 มิถุนายน 2552 15:19:42 น.  

 

@Angle_best ขอบคุณค่ะ เล่าทีไรเศร้าทุกที

 

โดย: กะนูปิง 27 มิถุนายน 2552 11:25:43 น.  

 

มีแมวตัวนึงที่จากไป พร้อมกับความรู้สึกว่าเราดูแลเค้าไม่ดีพอเหมือนกัน
ถ้าจะหาเหตุผลที่มาที่ไปตอนนั้นเพื่อปลอบใจ ไม่ให้ตำหนิตัวเองก็พอได้
แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ก็อยากไปแก้ไขสิ่งที่เราจะทำได้ ให้ดีกว่านั้นจริงๆ
อย่างที่นูปิงสรุปไว้นั่นเลย ต้องอาศัยการสังเกตจากเจ้าของ ...

ต้องอาศัยการสังเกตจากเจ้าของ ...

ที่แน่ๆ ... ตอนนี้เจ้าแป้งเป็นแมวที่โชคดีชะมัดเลยย ...

: )

 

โดย: พี่แดง IP: 118.174.96.195 3 กรกฎาคม 2552 17:52:17 น.  

 

เป็นความรู้สึกผิดบาปอยู่ในใจมาตลอดค่ะพี่แดง
รู้สึกแย่กับตัวเอง รู้สึกผิดกับแมว และมันยิ่งแย่ที่ว่าไม่มีใครสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
หมดโอกาสแก้ตัว

บอกตัวเองว่าต่อไปจะไม่ทำพลาดอีก จะต้องเลี้ยงเค้าให้ดีที่สุด
อยากให้แมวหรือเพื่อนหลายขาตัวไหนๆ ก็ตามที่ได้มาอยู่ด้วยกัน มีความสุข สบายใจ สุขภาพกายและใจแข็งแรง

แป้งโชคดีตรงที่ว่า มีประสบการณ์เลี้ยงแมวมาบ้างแล้ว ส่วนสมัยข้าวตังข้าวหอมยังมือใหม่ซิงๆ อิอิ

 

โดย: กะนูปิง 4 กรกฎาคม 2552 22:33:25 น.  

 

แมวเราก้อตาย เราพาไปทำหมันแล้วมันก้อตาย

 

โดย: hammos (Hammos ) 16 กรกฎาคม 2552 13:47:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


insolemee
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คนธรรมดา..ที่อยากมองโลกให้เป็นเรื่องธรรมดา
Friends' blogs
[Add insolemee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.