|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
|
ทำยังไงถึงจะรวยอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์
ทำยังไงถึงจะรวยอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ [ 10/3/2551 ]
โดย เรื่อง วันพรรษา อภิรัฐนานนท์ (โพสต์ ทูเดย์)
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา นิตยสารฟอร์บส์ประกาศผลการจัดอันดับบุคคลผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก ปรากฏว่าตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับ 1 คนล่าสุดตกเป็นของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เจ้าของอาณาจักรเบิร์กเชอร์ แฮธาเวย์ (Berkshire Hathaway) และเจ้าของสินทรัพย์ 6.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นเงินไทยง่ายๆ ตกในราว 1.95 ล้านล้านบาทเท่านั้นเอง
วอร์เรน บัฟเฟตต์ หรือ วอร์เรน เอ็ดเวิร์ด บัฟเฟตต์ ถือเป็นสุดยอดนักลงทุนมือฉมัง ขณะเดียวกันก็เป็นต้นแบบของมืออาชีพที่ผลตอบแทนการลงทุนต่อปีไม่เคยแพ้ผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาด วิธีการลงทุนของบัฟเฟตต์ไม่ใช่เรื่องลึกลับ รู้กันแพร่หลายว่าเขาเป็นนักลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Investor) หรือหุ้นที่มีคุณค่าของกิจการ หรือมีมูลค่าหุ้นที่แท้จริงสูง
เช่นเดียวกับ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักลงทุนหุ้นคุณค่าที่ประสบความสำเร็จของไทย เขาดำเนินรอยตามแนวทางของวอร์เรน บัฟเฟตต์ อย่างเคร่งครัด เมื่อ 4 ปีก่อน ดร.นิเวศน์ทิ้งตำแหน่งใหญ่-ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบริหารความเสี่ยงและนโยบาย ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) เขาเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์อย่างจริงจังช่วงวิกฤตปี 2539-2540
ขณะนั้นราคาหุ้นตกต่ำอย่างมาก เขาเลือกลงทุนในหุ้นที่ดีแต่ราคาต่ำ และทยอยซื้อเก็บต่อเนื่องแบบไม่สนใจราคาที่ขึ้นลง หากยึดหลักลงทุนระยะยาว จนปัจจุบันมูลค่าการลงทุนในพอร์ตของเขาบอกก็ได้ว่าเป็นเลข 9 หลัก หรือเฉียดๆ ก็พันล้านบาท ปรมาจารย์ผู้นี้กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะดำเนินรอยตามวอร์เรน บัฟเฟตต์ และรวยให้ได้อย่างมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก !!
วิธีลงทุนของวอร์เรน บัฟเฟตต์
วอร์เรน บัฟเฟตต์ มองการลงทุนในหลักทรัพย์เหมือนการลงทุนทำธุรกิจ และธุรกิจที่วอร์เรนสนใจก็คือ ธุรกิจที่สร้างผลกำไรมากกว่าปกติด้วยแฟรนไชส์ที่ผู้บริโภคนิยม เช่น โค้ก มีดโกนยิลเลตต์ หรือไม่ก็วอชิงตันโพสต์ ธุรกิจที่วอร์เรนไม่สนใจเลย คือธุรกิจที่เขาไม่เข้าใจ เช่น คอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์ หากไม่รู้ว่าอีก 5 ปี ธุรกิจจะไปทางไหน เป็นอันเลิกพูด เขาเป็นนักลงทุนที่มีปรัชญาและความคิดค่อนข้างสุดโต่ง หากเชื่อว่าหุ้นที่เขาลงทุนนั้นมีคุณภาพสูง เขาก็จะถือหุ้นนั้นจนตาย
วอร์เรนเคยพูดว่า ไม่สนใจภาวะตลาดหุ้นหรือภาวะเศรษฐกิจเลย หากตลาดหุ้นจะปิดไปสัก 5 ปี เขาก็ไม่เดือดร้อน เพราะตลาดหุ้นที่เปิดอยู่ในความคิดของเขา คือโอกาสที่เขาจะซื้อหุ้นดีราคาถูกเมื่อนักลงทุนตกใจเทขายหุ้นดีๆ ทิ้ง นี่อาจเป็นเหตุผลที่เขาไม่เคยมีจอคอมพิวเตอร์ไว้ดูราคาหุ้นนาทีต่อนาทีแบบที่นักลงทุนทั้งหลายชอบทำกัน
ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ที่บัฟเฟตต์ลงทุนในหุ้น เขาลงทุนในหุ้นจำนวนไม่มากนัก แต่หุ้นที่บัฟเฟตต์ลงทุนจะลงทุนในสัดส่วนที่สูงมาก และเมื่อลงทุนแล้วก็จะไม่ค่อยขายออก เขาไม่เข้าบริหารกิจการโดยตรง แต่จะนั่งในเก้าอี้กรรมการบริษัทคนหนึ่งเท่านั้น ทำหน้าที่ตัดสินใจลงทุนเรื่องใหญ่ๆ ของบริษัท
วิธีบริหารพอร์ตของวอร์เรน บัฟเฟตต์
ด้านธุรกิจ
1.ต้องเป็นธุรกิจที่ไม่ซับซ้อนยุ่งยาก และต้องเป็นธุรกิจที่เขาเข้าใจดี เขายกตัวอย่างหุ้นบริษัทคอมพิวเตอร์ หรือบริษัทซอฟต์แวร์ ซึ่งธุรกิจเปลี่ยนแปลงเร็ว แบบนี้ค่อนข้างอันตราย
2.ต้องมีผลการดำเนินงานสม่ำเสมอ เพราะถ้าเดี๋ยวมีกำไรเดี๋ยวขาดทุน ก็จะไม่สามารถคำนวณราคาที่ควรจะเป็นของหุ้นได้
3.ต้องมีอนาคตสดใส เติบโตในระยะยาว คู่แข่งทำลายได้ยาก บัฟเฟตต์มักใช้วิธีคิดเทียบเอาว่า หากเป็นตัวเองต้องเข้าไปลงทุนในธุรกิจแบบเดียวกันจะต้องใช้เงินเท่าไร จึงจะสร้างธุรกิจและสร้างมูลค่าของกู๊ดวิล (Goodwill) แบบนั้นขึ้นมาได้
ด้านการบริหาร
1.วอร์เรนเห็นว่า ผู้บริหารที่ดีต้องมีเหตุผลในการตัดสินใจ และไม่ทำตามคนอื่น เช่น เห็นว่าบริษัทคู่แข่งขายสินค้าตัดราคาจนขาดทุน ตัวเองก็ยอมขาดทุนบ้างเพื่อรักษาตลาด ในความเห็นของบัฟเฟตต์แล้ว ถ้าต้องขายขาดทุนหรือเสี่ยงเกินไปหยุดรอดีกว่า ปล่อยคู่แข่งทำไป จนสถานการณ์ดีขึ้น เมื่อคนอื่นเจ๊งหมด จึงเริ่มตะลุยเก็บคืน
2.ผู้บริหารต้องเปิดเผยข้อเท็จจริงทุกอย่างให้ผู้ถือหุ้นทราบ
3.ผู้บริหารต้องมองเห็นประโยชน์ของผู้ถือหุ้นเป็นหลัก เช่น ถ้าบริษัทมีเงินสดมาก ขณะที่ธุรกิจกำลังตกต่ำหรือกำลังเป็นธุรกิจดาวร่วง เช่นนี้ต้องจ่ายเงินสดเป็นปันผล อย่าขยายงานหรือเข้าไปในธุรกิจใหม่ที่อาจเสียหายบานปลาย
ด้านการเงิน
1.เนื่องจากวอร์เรนถือว่าการซื้อหุ้นคือการลงทุนทำธุรกิจ ดังนั้น ธุรกิจที่ดีจะต้องให้ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับส่วนของผู้ถือหุ้นสูงกว่าฝากเงิน
2.บัฟเฟตต์ชอบธุรกิจที่มีมาร์จินหรือส่วนต่างกำไรที่เทียบกับยอดขายสูง แสดงให้เห็นว่าธุรกิจนั้นขายสินค้าคุณภาพดี จึงตั้งราคาได้สูงเมื่อเทียบกับต้นทุน ลูกค้าไม่ได้ซื้อเพราะถูก แต่ซื้อเพราะคุณภาพและความนิยมในสินค้ายี่ห้อนั้น
ด้านราคาหุ้น
1.วอร์เรนจะดูว่าธุรกิจนั้นมีค่าเท่าไร พูดง่ายๆ เขาต้องรู้ว่า ราคาหุ้นที่แท้จริงของธุรกิจที่เขาจะซื้อคือเท่าไรกันแน่
2.เมื่อรู้ว่าราคาที่ควรจะเป็นคือเท่าไรแล้ว วอร์เรน บัฟเฟตต์ จะดูต่อไปว่า เขาสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่านั้นได้แค่ไหน สิ่งสำคัญก็คือต้องต่ำกว่าราคาที่ควรจะเป็นพอสมควร (Margin of Safety) เผื่อขาดเผื่อเหลือว่าราคาที่จ่ายก็ยังไม่แพงเกินไป ซึ่งหากใครรู้จักวอร์เรนดีก็จะรู้ว่า วิธีที่เขาชอบใช้คือเครื่องมือที่ชื่อว่า วิธีส่วนลดกระแสเงินสด (Discount Cash Flow) นั่นเอง
วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นสุดยอดนักลงทุน วิธีคิดวิธีบริหารของเขาปรับทันสมัยเสมอ ความเห็นของเขาถือเป็นความเห็นที่มีผู้สนใจทั่วโลก เพราะทั้งแหลมคมและชี้แนวโน้มแม่นยำ ดร.นิเวศน์พูดถึงวอร์เรนอีกว่า เคยเป็นมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลกเมื่อหลายปีก่อน เสียตำแหน่งให้เพื่อนคือ บิล เกตส์ ไปหลายปี การกลับมาทวงตำแหน่งได้ยิ่งสะท้อนว่าเก๋าและเฉียบคม
ดร.นิเวศน์แนะคนอยากรวยว่า คิดจะรวยแบบวอร์เรน บัฟเฟตต์ ไม่ยาก เริ่มต้นจากพื้นฐานคือออมแล้วลงทุน สำคัญคือลงทุนต้องถูกวิธี รวมทั้งต้องมีเวลาลงทุนที่ยาวนานพอและลงทุนอย่างต่อเนื่อง อย่าออกจากตลาดถ้าไม่จำเป็น นั่นหมายถึงการใช้เงินต่อเงินไปเรื่อยๆ คิดอย่างเศรษฐีก็เป็นเศรษฐี วอร์เรน บัฟเฟตต์ -- เรียนรู้จากชีวิตเขา
Create Date : 12 พฤษภาคม 2551 |
Last Update : 12 พฤษภาคม 2551 10:16:13 น. |
|
1 comments
|
Counter : 802 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
|
คนที่คุณไม่รู้ว่าเป็นใคร |
|
|
|
|