ตอนที่ 5 แพ้ชนะ ห่างกันแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
บทที่ 5
(แพ้ชนะ ห่างกันแค่เส้นยาแดงผ่าแปด )
ยามอิ๋น(03.00น-05.00น.)ย่างเข้าสู่ยามเหม่า (05.00น.-07.00น.) เป็นเวลาตื่นนอนตามปกติเมื่อครั้งที่กู้อันเฉิงใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพ สิ่งแรกหลังล้างหน้าล้างตาทำความสะอาดปากฟันเสร็จนางก็จะออกไปทักทายเจ้าสีเพลิงหรือที่ทุกคนในค่ายรู้จักมันในชื่อฟ้าคำรณ จากนั้นนางค่อยไปยืดเส้นยืดสายด้วยการวิ่งขึ้นเขาระยะทางประมาณหกหลี่ (1 หลี่ ประมาณ 500เมตร) ขากลับลงจากเขาก็มักจะได้ของป่าอาหารป่าแปลกๆ และสมุนไพร ติดไม้ติดมือมาฝากเหล่าอาจารย์ของนางทั่วถึงทุกคน ทว่าวันนี้ฟ้ายังไม่สางทันทีที่ลืมตาตื่นกลับมีความรู้สึกเหมือนข้างกายมีบางสิ่งบางอย่างลักษณะใหญ่โตวางอยู่ข้างๆ และที่สำคัญสิ่งนั้นมันขยับได้ กู้อันเฉิงพยายามเพ่งมองฝ่าความมืดดูสิ่งที่อยู่ข้างกายนั้นให้ชัด
“นี่มันคนนี่นา...ใครนะช่างกล้ามานอนข้างกายข้า”
กู้อันเฉิงพยายามเพ่งมองอีกครั้ง ลักษณะเช่นนี้คือบุรุษ และบุรุษที่กล้าพอจะขึ้นมานอนร่วมเตียงกับนางคงมีอยู่แค่คนเดียวนั่นก็คือเซวียเย่าอ๋อง นี่เขากำลังคิดจะใช้สิทธิ์ความเป็นสามีกับนางเชียวหรือ ไม่ได้การแล้ว เมื่อคิดเช่นนั้นพลทหารกู้ในคราบชายาเวยเซี่ยวก็มีอันร้อนวูบไปทั้งหน้า พยายามหาวิธีข้ามคนที่นอนตะแคงขวางอยู่ด้านนอกลงจากเตียงโดยไม่ให้เขารู้สึกตัว ทว่าจังหวะที่นางเพิ่งวางมือวางเท้าข้ามไปได้อย่างละข้าง คนที่กำลังนอนอยู่กลับพลิกตัวนอนหงายกะทันหัน ทำให้นางมีอันเสียหลังล้มลงทับร่างที่อยู่ข้างใต้ไปทั้งตัว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นางถึงกับตกตะลึง อึ้ง ทำอะไรไม่ถูกได้เท่าวงแขนที่สอดเข้ามารัดรอบเอวนางเอาไว้แน่น
“ยังเช้าอยู่เลย จะรีบลุกไปไหน นอนต่ออีกหน่อยเถอะ”
เซวียเย่าอ๋องไม่เพียงแค่พูดเขายังพลิกตัวกดนางให้นอนลงที่เดิม ลำแขนทั้งสองข้างยังคงโอบกอดรอบเอวนางไว้ แถมยังขยับใบหน้าซุกเข้าที่ซอกคอ ลมหายใจสม่ำเสมอเป่ารดบริเวณหูและข้างแก้มทำเอากู้อันเฉิงถึงกับขนลุกซู่
“ทะ ท่านอ๋อง ข้านอนพอแล้ว” อันเฉิงถึงกับนอนตัวแข็งทื่อ ไม่รู้จะหาวิธีแกะวงแขนนั้นออกจากเอวของนางได้อย่างไร
“แต่ข้ายังนอนไม่พอ...เจ้านอนเป็นเพื่อนข้าอีกสักหน่อยเถอะ” น้ำเสียงงัวเงีย ฟังไม่ออกเลยว่าจริงหรือแกล้ง
“ตะ...แต่ข้า...เอ่อ...ข้า...อยากเข้าห้องน้ำ” ไม่เคยคิดเลยว่าอันเฉิงจะมีวันนี้ วันที่นางต้องอาศัยข้ออ้างหน้าอายเพื่อเอาตัวรอด
เซวียเย่าอ๋องเปิดตาขึ้นมามอง ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก แม้ไม่อาจมองเห็นสีหน้า แต่แววตาของเขา กู้อันเฉิงกลับจับสายตานั้นได้ เขาหลับตาลงถอนหายใจเฮือก เปิดเปลือกตาขึ้นทั้งสองข้างก่อนจะลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วราวกับว่าตื่นนานแล้ว
“เอาเถอะ เจ้าจะไปเข้าห้องน้ำก็ไป ข้าจะกลับเรือนไผ่งามก่อน”
เซวียเย่าอ๋องลงจากเตียง ยืนมองกู้อันเฉิงอยู่ชั่วครู่เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป ทิ้งให้เจ้าของสายตาคนที่ลุกขึ้นนั่งมองตามหลังรับรู้ถึงอาการเย็นยะเยือกในอก หรือว่า...เซวียเย่าอ๋องกำลังโกรธ นางทำให้เขาโกรธอีกแล้ว กู้อันเฉิงได้แต่คิดกระวนกระวาย สายตายังคงมองเขาที่ดึงบานประตูให้เปิดออก นึกอยากจะเรียกให้เขากลับมา ทว่าเซวียเย่าอ๋องหันกลับมาสบตานางอีกครั้ง เวลานี้แสงสว่างด้านนอกพอมองเห็นรำไรแม้จะยังเลือนลางอยู่บ้างก็พอให้เห็นเค้าหน้าจางๆ
“ไว้เจอกันที่โต๊ะอาหารมื้อเช้านะ อย่าช้าล่ะ” เซวียเย่าอ๋องเปิดปากกล่าวก่อนจะก้าวข้างธรณีประตูออกไป ทั้งยังปิดประตูให้อย่างเรียบร้อย
นี่เขาชวนนางกินข้าวด้วยกันใช่หรือไม่ นางคงไม่ได้เข้าใจผิดหรือคิดไปเองใช่ไหม แต่...เจอกันที่โต๊ะอาหารมื้อเช้านี่คงไม่ได้แค่ให้ไปพบหลังท่านอ๋องรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วกระมัง เขาต้องชวนนางกินข้าวแหละ...กู้อันเฉิงคิดวนไปเวียนมาจนเริ่มสับสนซะเอง สุดท้ายนางก็ตะโกนเรียกถานเอ๋อร์ที่เพิ่งจะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้
“เจ้าคะ...คุณหนู””
เป็นถานเอ๋อร์จริงๆ นางเดินเข้ามาพร้อมชามใส่น้ำอุ่นสำหรับทำความสะอาดใบหน้าปากและฟัน วางชามลงบนโต๊ะแล้วก็หันมองไปรอบห้อง
“ท่านอ๋องล่ะเจ้าคะ”
“กลับไปแล้ว”
“อ้าว”
กู้อันเฉิงไม่สนใจท่าทางทำตาโตเท่าไข่ห่านของถานเอ๋อร์ นางลุกจากที่นอนเดินมายังชามน้ำอุ่นที่วางอยู่ จัดการล้างหน้าทำความสะอาดปากฟันเรียร้อย ถานเอ๋อร์ก็ยื่นผ้ามาให้
“วันนี้เจ้าอยากกินอะไรก็สั่งไปที่โรงครัวนะ ไม่ต้องเตรียมเผื่อข้า”
“แล้วคุณหนูล่ะเจ้าคะ” ถานเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“วันนี้ข้าไปไปรับประทานมื้อเช้ากับท่านอ๋อง”
“จริงหรือเจ้าค่ะ ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ ต้องอย่างนี้สิ สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว” ถานเอ๋อร์ดีใจแทนเจ้านาย นางปรบไม้ปรบมือกระโดดโลดเต้นประหนึ่งว่าคนที่จะไปกินข้าวมื้อเช้ากับท่านอ๋องเป็นนางซะเอง
“ท่านอ๋องก็แค่เห็นว่ามีเรื่องต้องให้ข้าทำ...”
“ไม่หรอกเจ้าค่ะ เมื่อคืนตอนที่ท่านอ๋องอุ้มคุณหนูเข้ามา ถานเอ๋อร์เห็นแววตาท่านอ๋องที่มองคุณหนูแล้ว ยังรู้สึกอายแทบม้วน สายตาหวานเยิ้มขนาดนั้น ขนาดที่ว่าท่านอ๋องต้องการค้างที่นี่ไม่คิดกลับเรือนไผ่งามเลยเชียวล่ะ”
“เช่นนั้นเหรอ” กู้อันเฉิงเอ่ยถาม ความรู้สึกตอนนี้คือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าในใจกลับนึกอยากเชื่อเกินกว่าครึ่ง
“จริงเจ้าค่ะ...ท่านอ๋องยัง...”
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดมาก ไปเตรียมชุดสำหรับขี่ม้าให้ข้า”
“คุณหนูจะขี่ม้าหรือเจ้าคะ คุณหนูไม่กลัวม้าแล้วเหรอ”
ถามเอ๋อร์ถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะตั้งแต่รับใช้กันมาทุกคนในจวนเสนาบดีเฉินต่างรู้ดีว่าคุณหนูรองเฉินเวยเซี่ยวเมื่อครั้งยังเด็กนางเคยเคยตกม้าเจ็บป่วยปางตาย นับแต่นั้นนางก็ไม่เคยขี่ม้าอีกเลย ทว่าตอนนี้คุณหนูกลับบอกให้นางหาชุดขี่ม้า
“เจ้าไม่รู้อะไรข้าหายกลัวม้ามานานแล้ว...รีบไปเถอะข้าจะรีบแต่งตัว ข้าไม่อยากให้ท่านอ๋องต้องรอนาน”
“เจ้าค่ะ” ถานเอ๋อร์รับคำก่อนจะเดินออกไปทำตามคำสั่ง
กู้อันเฉิงในชุดขี่ม้าสีดำสนิทเดินข้ามธรณีประตูไปยืนอยู่หน้าโต๊ะอาหาร นางยังไม่กล้าที่จะนั่ง เพราะคนที่นั่งอยู่ก่อนยังไม่เอ่ยอนุญาตให้นั่ง ทว่าสายตายังกวาดมองไปบนโต๊ะตรงหน้าก็พบว่าบนโต๊ะมีอาหารมากมายหลายอย่างแทบล้นโต๊ะ มีทั้งที่นางเคยรู้จักและไม่รู้จัก มองไปที่เซวียเย่าอ๋อง เขายังไม่ลงมือรับประทานอาหาร ก็คงรอให้นางมาถึงก่อนเพื่อรับประทานอาหารเช้าพร้อมกัน
“นั่งสิ...วันนี้ข้าสั่งห้องครัวทำอาหารพิเศษหลายอย่าง ล้วนเป็นอาหารมงคล เพื่อเป็นกำลังใจในการคว้าชัยชนะครั้งนี้”
เซวียเย่าอ๋องเอ่ยถึงเหตุผลในการรับประทานอาหารร่วมกันในมื้อนี้ นั่นทำให้ใจของกู้อันเฉิงเหมือนหล่นลงไปกองกับพื้น ที่แท้เขาก็เพียงแค่ต้องการสร้างขวัญและกำลังใจให้นาง ใช่ว่าจะสร้างสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา เป็นนางที่คิดไปเองคนเดียว
เมื่อเห็นเย่าหวางเฟยนั่งลงเรียบร้อยแล้วพ่อบ้านหม่าจึงรินสุราลงจอกเล็กให้เจ้านายทั้งสอง เป็นสุราผลไม้ชั้นดีมีรสชาติหอมหวานที่จวนอ๋องเก็บบ่มไว้ตั้งแต่ฤดูหนาวปีที่แล้ว
“ข้าขอดื่มให้เจ้า”
เซวียเย่าอ๋องยกจอกสุรายื่นมาทางกู้อันเฉิงก่อนที่เขาจะสาดสุราในจอกเล็กๆนั้นเข้าปาก กู้อันเฉิงจำต้องยกจอกสุราขึ้นจิบตามมารยาท ไม่มีอารมณ์จะพูดคุยสนทนา นางจึงได้แต่กินข้าวไปเงียบ ๆ
“ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรบ้างล่ะ” ความเงียบทำให้เซวียเย่าอ๋องอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“เพราะท่าน” นางตอบสั้นๆ
“เพราะข้าเหรอ...ทำไม...ข้าห้ามเจ้าพูดหรือไง”
“เมื่อวานข้าจำได้...ท่านอ๋องบอกว่าไม่ชอบให้ใครพูดระหว่างกินข้าว” กู้อันเฉิงตอบหน้าตาย ไม่มองหน้าคนถาม สนใจอาหารตรงหน้าอย่างเดียว
“เมื่อวานข้าไม่ได้พูดอย่างนั้นสักหน่อย ข้าบอกว่าไม่ชอบพูดเรื่องงานระหว่างกินข้าวต่างหาก”
เซวียเย่าอ๋องกล่าวแก้ นึกหมั่นเขี้ยวชายาที่กำลังเคี้ยวข้าวทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ตรงหน้า เพราะเหตุผลนี้เขาจึงหมดโอกาสที่จะถามความมั่นใจของนางเรื่องการแข่งขันเดินหมากที่จะมีขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วยามนี้โดยปริยาย นั่นมันเป็นเรื่องงานที่เขาไม่อาจปฏิเสธได้หากอีกฝ่ายคิดจะแย้ง
เมื่อถึงเวลานัด เซวียเย่าอ๋องเดินจูงมือเย่าหวางเฟยเข้ามาถวายความเคารพองค์จักรพรรดิ์แห่งต้าโจวในยามที่ไม่เร็วไม่ช้า ทว่าองค์รัชทายาทและองค์หญิงใหญ่แห่งซีฉู่นั้นมาถึงก่อนหน้าไม่นานกว่ากันมากนัก
กู้อันเฉิงจับสายตาริษยาชิงชังที่จ้องมองนางอย่างไม่คิดปิดบังนั้นได้ชัดเจน นางเพียงหันไปสบตาและส่งยิ้มหวานทักทาย ก่อนจะหันมายิ้มหวานให้ท่านอ๋องหลังถวายบังคมองค์ฮ่องเต้เทียนฮุย มือนุ่มที่เกาะกุมมือใหญ่เลื่อนขึ้นมาเป็นเกี่ยวกอดลำแขนแข็งแกร่งขณะเดินไปนั่งยังที่นั่งที่เตรียมไว้สำหรับเขาและนาง ยิ่งทำให้คนทั่วทั้งลานรับรองกว้างแห่งนั้นเห็นความรักใคร่ระหว่างเย่าอ๋องและเย่าหวางเฟย และยิ่งเพิ่มสายตาริษยาที่กู้อันเฉิงรับรู้จากความรู้สึกของนางว่ามีมากกว่าหนึ่ง
เมื่อสองสามีภรรยานั่งลงเรียบร้อยองค์หญิงฉู่ฉิงเหยียนก็ลงขึ้นกราบทูลในทันที เพราะสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าสร้างความอิจฉาริษยาจนเกินรับไหว นางต้องการตำแหน่งเย่าหวางเฟย และต้องการขับไล่นังผู้หญิงที่ไม่ได้มีความคู่ควรใดๆคนนั้นไปอยู่ชายแดนโดยเร็ว การแข่งขันในวันนี้จึงไม่ควรที่จะยืดเยื้ออีกต่อไป นางต้องชนะขาดในเกมนี้
ในความคิดของฉู่ฉิงเหยียน เซวียเย่าอ๋องย่อมให้ความสำคัญกับการประลองยุทธ์มากกว่าทุกด้าน สืบเนื่องจากเขาคือ เทพสงครามแห่งต้าโจว ประมุขผู้ควบคุมกองกำลังอาชาเหล็ก สตรีที่เขาปรารถนาย่อมเป็นผู้มีความสามารถทางขี่อาชายิงเกาทัณฑ์ หากนางชนะนางยังมีโอกาสดึงใจเขาให้กลับมาสนใจนาง
“ทูลฝ่าบาท...หม่อนฉันมีข้อเสนอบางอย่างเพคะ”
“ว่ามา”
“บรรยากาศในยามนี้ปลอดโปร่งนัก เหมาะแก่การแข่งม้ามากกว่าเดินหมาก หม่อนฉันต้องการให้เปลี่ยนลำดับการแข่งจากเดินหมากเป็นแข่งขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์เพคะ”
การเสนอให้ประลองขี่อาชายิงเกาทัณฑ์นั้น เป็นการเข้าทางชาวซีฉู่ ที่เด็กทุกคนพอเดินได้ก็ขึ้นขี่อาชาหัดยิงเกาทัณฑ์แล้ว ยิ่งมิต้องกล่าวถึงเชื้อพระวงศ์ซีฉู่ ที่กล่าวได้ว่ามิมีแว่นแคว้นใดกล้าประลองทักษะขี่อาชายิงเกาทัณฑ์กับพวกเขา ในทางกลับกัน ทักษะการขี่อาชายิงเกาทัณฑ์คือจุดด้อยที่สุดของเหล่าชาวต้าโจว ดังนั้นข้อเสนอของฉู่ฉิงเหยียน หากฮ่องเต้ต้าโจวมีความเที่ยงธรรมไม่ลำเอียง เห็นพร้องด้วยยิ่งคิดยิ่งดูเบาปัญญา
“จะแข่งขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ก่อนรึ...อืม...เย่าอ๋อง เจ้ามีความเห็นว่าเช่นไร เย่าหวางเฟย เจ้าจะยอมรับข้อเสนอนี้หรือไม่ จะว่าไปแล้วรีบแพ้ชนะกันในตรานี้ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องเสียเวลา กองหนังสือฎีกาที่เราต้องอ่านต้องตรวจยังกองอยู่เต็มห้องพระอักษร หรือเจ้าจะยอมแพ้ในครานี้เลยก็ดีจะได้ไม่ต้องเหนื่อย เราจะผ่อนผันเรื่องเนรเทศตัวเองไปชายแดนของเจ้าเป็นแค่กลับไปอยู่บ้านเกิดเท่านั้น
วาจาจักรพรรดิเทียนฮุยฟังเผิน ๆ คล้ายหาทางลงให้เย่าหวางเฟย แต่แท้จริงแล้วเป็นการเชิดชูฉู่ฉิงเหยียนเหยียบย่ำเฉินเวยเซี่ยว จากนั้นก็มีหลายคนกล่าวด้วยวาจาคล้ายให้กำลังใจแต่เจตนาส่อเสียดต่อเฉินเวยเซี่ยว ทั้งเรื่องสติปัญญาและฐานะที่มิอาจสู้องค์หญิงต่างแคว้นได้ ยากที่จะคู่ควรกับตำแหน่งเย่าหวางเฟยหากเปรียบเทียบกับฉู่ฉิงเหยียน
กู้อันเฉิงกลับยังคงนิ่งเงียบ มิได้มีปฏิกิริยาใด ๆ ตอบสนอง จนกระทั่งจักรพรรดิ เทียนฮุย จงใจใช้น้ำเสียงเคร่งเครียดตรัสว่า
“เวยเซี่ยว เจ้าเป็นอะไรไป ? หรือว่าจวบจนบัดนี้จิตใจเจ้ายังล่องลอยไปถึงชายแดน หาทางกลับไม่เจอ ...”
วาจาพอตรัสจบ ก็ทรงหัวร่อคล้ายติดตลกแต่แท้จริงจงใจส่อเสียด เหล่าผู้คนในลานประลองหลายคนหากมิใช่เพราะเห็นแก่ตำแหน่งจวิ้นอ๋องของเซวียเย่าอ๋องแล้ว ก็คงร่วมผสมลงโรงหัวร่อไปด้วยแล้ว
“ทูลฝ่าบาทเวยเซี่ยวได้สติแล้วเพคะ”
“เช่นนั้นเจ้าตัดสินใจเช่นไร”
“ตามแต่ฝ่าบาทจะเห็นสมควรเพคะ”
ตอบไปแล้ว มิทราบเพราะเหตุอะไร สายตาพลันจับจ้องมองไปที่เซวียเย่าอ๋องเป็นอันดับแรก นางค่อยพบว่าเขาเองก็กำลังจับจ้องมองนางอยู่เช่นกัน ในแววตาปราศจากความเย้ยหยัน ไม่มีความเย็นชา คงมีเพียงกำลังใจและความเชื่อมั่นที่มีต่อนาง ในแววตาของกู้อันเฉิงจึงตอบรับความรู้สึกของเขาเช่นเดียวกัน
“ท่านอ๋องมิต้องกังวล พวกเราต้องชนะอย่างแน่นอน !!”
“ดี...ตกลงว่าเราจะเริ่มประลองขี่ม้ายิงเกาทัณฑ์ เฉินเวยเซี่ยวเจ้ามีความอาจหาญสมกับเป็นชายาเอกของเทพสงครามแห่งต้าโจวนัก เรานับถือความกล้าของเจ้าซะจริงๆ” ฮ่องเต้เทียนฮุยตบหัวแล้วลูบหลังด้วยวาจาที่ชวนฟังอย่างยิ่ง
การเตรียมสนามประลองใช้เวลาไม่นาน ฉู่ฉิงเหยียนนำอาชามาเอง เป็นอาชาสีขาวไร้ตำหนิแต่งแต้ม เป็นม้าพันธุ์ดีของซีฉู่ รูปร่างไม่ใหญ่ แต่ล่ำสัน เท้าทั้งสี่ข้างสมส่วนแข็งแรง แม้ว่าจะดูเตี้ยไปบ้าง แต่เปี่ยมด้วยพลัง
ในส่วนของอาชากู้อันเฉิง นางบังอาจขอยืมอาชาศึกคู่กายที่มีชื่อเสียงระบือลั่นของเซวียเย่าอ๋อง ม้าเหงื่อโลหิต เป็นของวิเศษล้ำค่าที่ได้มาจากอาณาจักรซีจิง มีสีแเดงตลอดทั้งตัวหลังผ่านการวิ่งห้ออย่างรวดเร็วจะหลั่งเหงื่อที่มีสีคล้ายโลหิต ดังนั้นจึงถูกขนานนามว่า เหงื่อโลหิต
ม้าตัวนี้ถูกเซวียเย่าอ๋องเลี้ยงดูด้วยตนเองมาตั้งแต่เล็ก นอกเหนือจากจวินเป่ยเยว่แล้ว ไม่เคยมีผู้อื่นสามารถขึ้นขี่มันได้ ใต้หล้านี้มีสตรีไม่น้อยเต็มใจยอมเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อขึ้นขี่มัน แม้แต่ฉู่ฉิงเหยียนก็ไม่มียกเว้น
ทันที่อาชาเหงื่อโลหิตปรากฏ อาชาสีขาวของฉู่ฉิงเหยียนก็ดูด้อยไปในพริบตา ทุกคนทั้วในและรอบสนามประลองล้วนรับรู้ถึงความสง่าผสานกับจิตวิญญาณนักสู้ กู้อันเฉิงรู้สึกชื่นชอบตั้งแต่แรกเห็นจึงผูกสัมพันธ์เป็นเพื่อนกับมันมาหลายปี และทราบดีว่าอาชาวิเศษตัวนี้แม้แสนรู้ แต่ก็แสนพยศยิ่งนัก
“เจ้าแน่ใจเหรอว่าจะขี่มันได้” เซวียเย่าอ๋องกระซิบถาม พลางกุมมือเย่าหวางเฟยเบา ๆเพื่อให้กำลังใจ
“วางใจเถอะ ข้าคิดว่ามันจำข้าได้”
กู้อันเฉิงขยับกายเข้าใกล้อาชาวิเศษ พลางลูบหัวมันอย่างเบามือ แล้วกระซิบว่า “เจ้าสีเพลิง เจ้าจำข้าได้ใช่หรือไม่ ข้าคือเพื่อนของเจ้า ... การประลองในวันนี้ ห้ามแพ้เด็ดขาด หากเจ้าชนะเจ้าจะได้กินขนมถั่วแดงของโปรดเจ้าหนึ่งตะกร้า ตกลงนะ!!"
กล่าวจบ ฟ้าคำรณพลันหันหัวมามองนาง พลางกระพริบตาสามคราเป็นสัญญาณตอบรับ กู้อันเฉิงรู้สึกยินดียิ่ง อดลูบคางของมันด้วยความเอ็นดูมิได้ ก่อนที่นางจะกระโดดขึ้นนั่งบนอาชาฟ้าคำรณอย่างคล่องแคล้ว บุคลิกที่มิค่อยสนิทสนมกับผู้คน ยามสัมผัสกับสัตว์กลับรู้สึกสนิทใจได้มากกว่าคน
เซวียเย่าอ๋องแลเห็นทุกอย่างด้วยอาการตะลึงไม่คิดว่าฟ้าคำรณจะยอมญาติดีกับใครง่ายๆ เช่นนี้แม้เฉินเวยเซี่ยวจะเคยขี่หลังมัน มาบ้างแต่นั่นล้วนมีเขาคอยควบคุมนั่งคู่ไปด้วยกัน การที่นางขึ้นขี่โดยลำพังแล้วไม่โดนมันสลัดให้ร่วงลงมาย่อมถือได้ว่าหวางเฟยของเขาเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เวยเซี่ยวได้ฟ้าคำรณก็ประดุจดั่งพยัคฆ์ติดปีก เคยเห็นฝีไม้ลายมือกันมาแล้ว เขาเชื่อมั่นว่าสตรีผู้นี้ต้องชนะการประลองได้อย่างแน่นอน
"มัวแต่พะเน้าพะนออะไรกัน หากกลัวแพ้ก็จงยอมรับชะตากรรมซะ จะได้ไม่เป็นการย่ำยีอาชาวิเศษ"
ฉู่ฉิงเหยียนบนหลังอาชา แลเห็นเวยเซี่ยวกับอาชาของเซวียเย่าอ๋องเข้ากันได้ พลันบังเกิดความอิจฉาริษยาอย่างรุนแรง การประลองทั้งสามรอบ นางต้องการชัยชนะอย่างหมดจด หลังจบการประลอง นางจะส่งเฉินเวยเซี่ยวไปไกลๆ ให้พ้นหูพ้นตามีโอกาสเมื่อไหร่นางจะให้มือสังหารจัดการให้สิ้นซากไม่ให้มันหวนกลับคืนมาเผยอชูคอเช่นนี้ได้อีก !!
การประลองขี่อาชา ก็มิต่างจากการประลองในสนามอาชาที่กู้อันเฉิงเคยพบมา นั่นคือการประลองว่าใครเร็วกว่า เพียงแต่ว่าหากเทียบกับการประลองในสนามอาชาแล้ว การประลองครั้งนี้จะอันตรายยิ่งกว่า เนื่องจากมีกับดักสิ่งกีดขวางในระยะห้าหลี่ รวมทั้งสิ้นสามจุดใหญ่ ๆ ที่ผู้แข่งขันไม่อาจคาดเดาได้ กับดักเหล่านี้ไม่มีไว้เพียงเพื่อเป็นอุปสรรคในการควบขี่ม้าเท่านั้น แต่ยังสามารถทำอันตรายทั้งคนและม้าถึงแก่ชีวิตได้ !!
กู้เหวินที่อยู่ห่างออกไปในกลุ่มคนดูการประลอง ตั้งตาคอยชมอย่างจดจ่อ
“ท่านรองแม่ทัพคิดว่า หวางเฟยจะชนะหรือไม่ ?”
“ความสามารถของหวางเฟยเจ้าก็เคยเห็นมาแล้วมิใช่หรือยิ่งได้ฟ้าคำรณมาร่วมต่อสู้ ต้องสามารถเอาชนะองค์หญิงแห่งแคว้นซีฉู่ได้อย่างไม่ต้องสงสัย”
“ท่านรองแม่ทัพ...มิใช่ว่าท่านเคยเอ่ยปากอยู่บ่อย ๆ หรอกหรือว่า สตรีที่คู่ควรท่านเย่าอ๋องของพวกเรา มีเพียงองค์หญิงใหญ่ฉู่ฉิงเหยียน ?"
"มีด้วยเหรอ ... ข้าเคยพูดตอนไหน เจ้าอย่าได้กล่าววาจาไร้สาระพวกนี้อีก"
ถานเอ๋อร์ที่ครั้งนี้มีโอกาสติดตามคุณหนูของนางมาจนถึงสนามประลอง พอได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ นางก็หันไปมองกลุ่มทหารที่กำลังเสวนากันอย่างอับจนด้วยความกังวลใจ นางรู้เพียงว่าคุณหนูของนางแม้ขี่ม้าได้ก็ไม่ถือว่าชำนาญ นี่กลับต้องมาแข่งความเร็วรวมไปถึงยิงเกาทัณฑ์ที่ต้องอาศัยทักษะความชำนาญ ยิ่งแลเห็นว่าการประลองใกล้เริ่มขึ้น จิตใจก็ยิ่งกังวล
ทันใดนั้นเอง จักรพรรดิ เทียนฮุย ทรงโบกธงเป็นสัญญาณเริ่มการแข่งด้วยหัตถ์ของพระองค์เอง อาชาทั้งสองตัวพุ่งตัวออกจากจุดเริ่มต้นแทบจะพร้อมกัน ราวกับลูกเกาทัณฑ์หลุดจากสาย ทะยานหายไปมิเห็นเงา
เซวียเย่าอ๋องควบม้าออกตัวตามเป็นคนแรก ตามติดด้วยฉู่หลาน ยังมีอีกหลายคนที่ร่วมเป็นสักขีพยานก็ควบอาชาตามไป ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อยากพลาดเห็นการประลองแม้แต่ฉากเดียว
ในระยะห้าหลี่ ที่ห่างออกไปสองหลี่ มีกับดักกีดขวางอยู่ การควบคุมม้าข้ามพื้นยกระดับ หากคิดก้าวข้ามอย่างปลอดภัย ต้องมีความเร็วระดับหนึ่ง แต่มิอาจเร็วจนเกินไป มิเช่นนั้นจะส่งผลลบ ม้าไม่สามารถยกขาหน้าทั้งสองพ้น การประลองทดสอบทักษะการขี่อาชา หาใช่กระทำกันเล่น ๆ แต่เป็นการทดสอบที่เอาจริง
ทักษะขี่อาชาของฉู่ฉิงเหยียนและกู้อันเฉิง ล้วนมีความสามารถสูงอย่างแท้จริง แลเห็นทั้งสองมาถึงเบื้องหน้าพื้นยกระดับ กีบอาชาหนึ่งขาวหนึ่งแดงพลันยกขึ้น พ้นสิ่งกีดขวางได้อย่างสวยงาม ยากจะแยกออกว่าใครเป็นฝ่ายนำ
ฉู่ฉิงเหยียนเติบโตมาบนหลังม้าก็ว่าได้ ยามขึ้นขี่สมาธิจดจ่อรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอาชา ในขณะที่กู้อันเฉิงไม่ถึงขั้นระดับนั้น... เมื่อลงสู่พื้นอาชาของฉู่ฉิงเหยียนเคลื่อนไหวอย่างแผ่วพลิ้วพุ่งทะยานต่อไปดุจลูกเกาทัณฑ์สอดคล้องกับนางประหนึ่งสายวารีไหลผ่านมิขาดตอน เรียกเสียงฮือฮาชื่นชมต่อผู้ที่ได้เห็น ในขณะที่อาชาของกู้อันเฉิงพอพ้นพื้นยกระดับ กลับหยุดชะงักเล็กน้อยมิเคลื่อนกายต่อเนื่อง กู้อันเฉิงกระทุ้งสีข้างฟ้าคำรณอย่างแรงเพื่อเตือนสติให้เร่งความเร็วขึ้นอีกเท่าตัว เป็นอันว่าฉู่ฉิงเหยียนจึงเป็นฝ่ายนำไปก่อน
ควบอาชามายังไม่ถึงสองหลี่ก็พบพื้นถนนตรงหน้าล้วนเป็นโคลน ตามหลักการม้าทั้งสองจะต้องถูกบังคับให้ลดความเร็ว ด้วยพื้นถนนที่เป็นโคลนย่อมมีแรงขัดขวางสูง หากไม่ลดความเร็วก็จะมีโอกาสลื่นได้โดยง่าย การลงน้ำหนักและควบคุมความเร็วความช้าเป็นจุดสำคัญในการผ่านด่าน ซึ่งทั้งฉู่ฉิงเหยียนและกู้อันเฉิงต่างก็ควบม้าตามหลักการนั้น อาชาสีขาวจึงยังคงทิ้งห่างอาชาสีเพลิงไปไกลหลายช่วงตัว
หลังจากผ่านด่านพื้นโคลน ยังมีด่านตะปูเรือใบรออยู่ไม่ไกล ตะปูเรือใบโรยเป็นทางยาวเจ็ดฉื่อ (1 ฉื่อ เท่ากับ10 นิ้ว) นับว่ายาวกว่าตัวม้า คิดผ่านด่านตะปูเรือใบ มิใช่แค่กระโดดข้ามเหมือนพื้นยกระดับ แต่ต้องสามารถควบคุมความเร็วของอาชาให้เร็วมากพอที่จะพาทั้งคนและม้าลอยตัวข้ามทางวิบากเจ็ดฉื่อไปได้จนพ้น
อาชาของเซวียเย่าอ๋องวิ่งนำหน้าคนอื่น ๆ เขาแลเห็นอาชาของทั้งสองนางตั้งแต่จุดเริ่มต้นห้อทะยานมิหยุดยั้ง แม้มีชะงักบ้าง ต่างก็กำลังตรงไปยังพื้นที่ตะปูเรือใบ นี่คือด่านสำคัญสุด ทว่า เขากลับแลเห็นเพียงฉู่ฉิงเหยียน ควบม้าวิ่งเข้าสู่ด่านรองสุดท้ายก่อนจะด่านยิงเกาทัณฑ์ มิเห็นเฉินเวยเซี่ยวควบม้าตามมา
เกิดอะไรขึ้น ? เซวียเย่าอ๋องรีบควบอาชาให้กลับไป มีฟ้าคำรณ ต่อให้เวยเซี่ยวมิได้แสดงความสามารถเต็มที่ ก็มิสมควรล้าหลังมากเช่นนี้ ไม่นานนัก เขาก็แลเห็นเฉินเวยเซี่ยวกำลังควบอาชาเหงื่อโลหิต แต่นางกลับใช้เพียงแส้ควบคุมเจ้าฟ้าคำรณ โดยที่เท้าทั้งสองของนางมิประสานขยับตามด้วย ในการควบคุมอาชา นอกจากอาชาดีแล้ว หัวไหล่ มือ เอว และ เท้า ของผู้ควบขี่ ก็มีส่วนสำคัญ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการถีบ เพียงแค่ขณะควบม้า สิ่งสำคัญที่สุดคือ การทรงตัวของ ร่างกาย ขา โดยเฉพาะน่อง คือจุดสำคัญมากที่สุด !!
ไม่มีใครรู้ว่าช่วงระหว่างที่กู้อันเฉิงควบม้าผ่านด่านที่สอง จู่ๆก็มีอาวุธลับซัดเข้ามากระแทกเข่าของนางอย่างแรง หวังให้นางร่วงลงจากอาชาวิเศษ ทว่านางคือกู้ดันเฉิงหาใช่เฉินเวยเซี่ยวจึงยังสามารถทรงตัวอยู่บนหลังฟ้าคำรณได้ แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นแสนสาหัสจนยากที่จะขยับ
กู้อันเฉิงรู้แน่แก่ใจว่าหนทางชนะนั้น แทบไม่มีเลย แต่ด้วยทิฐิอยากเอาชนะ รวมถึงความดื้อรั้น สิ่งที่ทำให้นางมาไกลถึงจุดนี้ หาใช่ทำตามความต้องการของเซวียเย่าอ๋อง นางเพียงปรารถนาบอกต่อองค์หญิงใหญ่ที่บัดนี้ควบอาชาทิ้งห่างออกไปไกลว่า คนอย่างกู้อันเฉิง มิใช่คนที่นางจะมาดูแคลนได้
“เจ้าสีเพลิง...ข้าเชื่อใจเจ้า เจ้าต้องทำได้ ขนมถั่วแดงรอเจ้าอยู่” กู้อันเฉิงโน้มตัวลงตะโกนข้างหูอาชาวิเศษ พลันใช้แส้ตีเข้าที่สะโพกเร่งความเร็วเพิ่มขึ้นมิแยแสอาการเจ็บปวดกระดูกเข่าแทบหลุด นางต้องการให้ถึงจุดยิงเกาทัณฑ์โดยเร็ว เพราะหากช้านางไม่อาจยืนยันได้ว่าจะสามารถมีสติพอที่จะน้าวสายธนูไหว
เมื่อม้ากับคนควบคุมผสานใจเป็นหนึ่งเดียว อาชาสีเพลิงก็ทะยานขึ้นด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นจนเกือบจะถึงขีดจำกัดสูงสุดของมันกระโจนข้ามด่านตะปูเรือใบแซงหน้าอาชาสีขาวไปได้อย่างฉิวเฉียด เล่นเอาฉู่ฉิงเหยียนถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง พยายามเฆี่ยนสะโพกม้าถี่ๆ เพื่อตามให้ทัน
อาชาแดงขาวต่างวิ่งเข้าสู่ลานหน้าพลับพลาที่ประทับสูสีจนยากที่จะแยกออกว่าใครนำใครก่อน เบื้องหน้ามีชุดเกาทัณฑ์วางอยู่บนแท่นไม้ ทั้งสองต่างโน้มตัวลงคว้าเกาทัณฑ์ได้เกือบพร้อมกัน ทว่าเป้าที่อยู่เบื้องหน้ากับมีถึงสามเป้าเรียงกันอยู่ข้างหน้า นั่นหมายความว่า พวกนางทั้งสองต้องยิงธนูหนึ่งครั้งให้เข้าทั้งสามเป้า นี่เป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของทั้งกู้อันเฉิงและฉู่ฉิงเหยียนยิ่งนัก
ฉู่ฉิงเหยียนหยิบลูกธนูออกมาสามดอกเหนี่ยวคันศรปล่อยลูกธนูตรงไปยังเป้าทั้งสามก่อนกู้อันเฉิงไม่ถึงเสี้ยวลมหายใจ กู้อันเฉิงกัดฟันข่มความเจ็บปวดเล็งและปล่อยลูกธนูออกไป นั่นเป็นช่วงสติสัมปชัญญะสุดท้ายของนางก่อนเกาทัณฑ์จะร่วงจากมือ และตัวนางก็ฟุบลงบนหลังฟ้าคำรณที่ค่อยลดความเร็วลงจนเหลือเพียงวิ่งเยาะๆ ตรงไปหาเซวียเย่าอ๋องที่รีบกระโดดลงจากหลังม้าวิ่งตรงไปยังร่างที่ค่อยๆร่วงลงมาราวกับกระสอบนุ่น
เซวียเย่าอ๋องเข้ารับร่างชายาของเขาเอาไว้ได้ทัน มองดูท่าเข่าพบเลือดที่ไหลซึมเนื้อผ้าออกมาก็ทราบได้ในทันทีว่านางได้รับบาดเจ็บ เทพสงครามแห่งต้าโจวอุ้มชายามายืนต่อหน้าประพักตร์ทั้งประกาศต่อหน้าทุกคนในที่แห่งนั้นด้วยเสียอันดัง ดั่งราชสีห์คำราม
“หากเย่าหวางเฟยมีอันตรายถึงชีวิตก็อย่างหวังว่าหน้าไหนจะบังคับให้ข้าเซวียเย่าอ๋องสมรสกับสตรีอื่นได้”พูดจบเซวียเย่าอ๋องก็อุ้มเย่าหวางเฟยขึ้นม้าให้เจ้าฟ้าคำรณพาเขาและนางกลับจวนในทันที ไม่สนใจรอดูผลการประลองด้วยซ้ำ
ฉู่ฉิงเหยียนรีบลงจากม้าเข้ามากราบทูลร้องเรียนต่อหน้าพระพักตร์เช่นเดียวกัน ใบหน้าของนางแม้งดงามล่มเมือง ทว่าสีหน้ากลับดำมืดด้วยความริษยาอาฆาต
“หม่อมฉันก็ไม่ยินยอมเช่นกันเพคะ ยังไงเสียการประลองครั้งนี้ก็ต้องมีบทสรุป ไม่ว่าผลการประลองครั้งนี้จะเป็นเช่นไร พระองค์ก็ต้องจัดการให้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ ถึงเรียกได้ว่ากษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ”
Create Date : 30 มีนาคม 2565 |
Last Update : 30 มีนาคม 2565 4:55:26 น. |
|
0 comments
|
Counter : 769 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
Writer By tonglang : Copyright © 1999-2008
ข้อตกลง
1. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่แต่งโดยผู้ลงผลงานเอง ลิขสิทธิ์ของผลงานนี้จะเป็นของผู้ลงผลงานโดยตรง ห้ามมิให้คัดลอก ทำซ้ำ เผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้ลงผลงาน
2. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้กระทำการคัดลอก ทำซ้ำ มาจากผลงานของบุคคลอื่นๆ ผู้ลงผลงานจะต้องทำการอ้างอิงอย่างเหมาะสม และต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดการลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว
3. ผู้ใดพบเห็นการลงผลงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ โปรดแจ้งเจ้าของบล็อกทันที
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|