ตอนที่ 3 นี่หรือคือชายาผู้ไม่เอาไหนที่สุดในแคว้น
บทที่ 3 “ทูลองค์จักรพรรดิแห่งต้าโจว บิดาของกระหม่อมให้ฝากคำพูดประโยคหนึ่งแด่พระองค์” ฉู่หลานไท่จื่อเอ่ยขึ้น “คำพูดสิ่งใด” “หากสองดินแดนเกี่ยวดองเป็นเครือญาติ บ้านพี่เมืองน้องย่อมไร้การรุกราน อาชา แพรพรรณ ของบรรณาการย่อมถึงคลังหลวงต้าโจวทุกปี” ขอเสนอนี้ ไม่ใช่จะมีแต่ฮ่องเต้ต้าโจวเท่านั้นที่หูผึ่ง แม้แต่เสนาอำมาตย์ส่วนใหญ่ที่ได้ยินยังอดตาลุกวาวไม่ได้ คราวนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับเย่าอ๋องและเย่าหวางเฟยแล้วว่าจะตัดสินใจประการใด จะยอมเสียสละน้อยเพื่อสิ่งตอบแทนที่มากกว่าหรือไม่ “ทูลฝ่าบาท ครั้นจะลดตำแหน่งอาเซี่ยว...เอ่อ...พระชายาเวยเซี่ยวลงเป็นชายารองกระหม่อมในฐานะบิดาของนางเพื่อชาติบ้านเมืองแล้ว ยินดีสละได้แม้แต่ชีวิต ทว่า การที่พระชายาเวยเซี่ยวถูกกล่าวหาว่า เป็นเพียงดอกหญ้าริมทางนั้น กระหม่อมผู้เป็นบิดามิอาจรับได้ เพราะหากเป็นเช่นนั้น นั่นหมายถึง เกียรติยศของวงศ์ตระกูลพลอยถูกดูหมิ่นดูแคลนไปด้วย” เสนาบดีเฉิน ลุกขึ้นกราบทูล กู้อันเฉิงเพิ่งสังเกตเห็นว่าบิดาของเวยเซี่ยวก็ได้รับเชิญมาร่วมงานเช่นกัน ไหนๆ ก็ได้อาศัยร่างกายนี้มีชีวิตอีกครั้ง เกียรติยศตระกูลเฉิน กู้อันเฉิงยินดีรักษาไว้ให้ นางมิแยแสรัชทายาทฉู่หลาน แต่กลับใช้น้ำเสียงหนักแน่นทว่าฟังดูหดหู่ พลางคุกเข่าต่อหน้าเซวียเย่าอ๋อง จะให้บีบน้ำตา พูดจาออดอ้อน นางไม่เคยทำ แต่ที่ทำได้และเคยทำบ่อยกับท่านพ่อและพี่ชายก็แค่แสร้งตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องเท็จ ก็เท่านั้น “ท่านอ๋อง ... นับแต่เวยเซี่ยวผู้เป็นชายาแต่งเข้าสู่จวนเย่าอ๋อง ก็ทุ่มเทกายใจ ครุ่นคิดว่าจะปฏิบัติท่านอ๋องเช่นใด จะดูแลจวนอ๋องและบริวารรับใช้นับร้อยเช่นไร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ หรือต่อให้ลงมือเข้าครัวเอง ก็ล้วนคิดหวังที่จะทำทุกอย่างสุดความสามารถ แต่ยามนี้กลับมีคนภายนอกที่ไหนมิทราบมาวิจารณ์เวยเซี่ยว อีกทั้งยังปรารถนาให้เวยเซี่ยวสละตำแหน่งชายาเอก เวยเซี่ยวมีความผิดอันใดหรือเจ้าคะ” “ผู้ใดกล่าวว่าจะให้เจ้าสละตำแหน่งชายาเอก ?” แม้ว่าน้ำเสียงเซวียเย่าอ๋องจะเย็นชาแฝงความโกรธ แต่ในแววตาทอประกาย สตรีนางนี้รู้ใจเขาและกำลังร่วมมือกับเขา แก้ปัญหาเหตุที่คาดไม่ถึงตรงหน้านี้ “ท่านอ๋อง เมื่อกี้ท่านก็ได้ยินแล้วนี่เจ้าคะ แม้แต่ท่านพ่อเองก็ยังยืนยัน... องค์หญิงใหญ่ กล่าวตรงไปตรงมา หาว่าข้ามิคู่ควรเป็นชายาเอกร่วมกับนาง ?" กู้อันเฉิงเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นแววตาที่แสนเศร้าหมอง ดูช่างน่าเวทนายิ่งนัก “เจ้าคือผู้ที่ฝ่าบาทพระราชทานให้สมรสกับข้า ในสายพระเนตรของฝ่าบาทแล้วเจ้าคู่ควรเป็นชายาเอก ก็คือคู่ควร" สองสามีภรรยา หนึ่งเปิดประเด็น อีกหนึ่งช่วยหักล้างข้อโต้แย้ง ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจแทรกกลางเข้าไปได้ ยิ่งไม่อาจหาข้อโต้แย้งอันใดมากล่าวอ้าง ฉู่ฉิงเหยียนยืนกัดฟันด้วยความขุ่นเคือง หากมิใช่ฉู่หลานยั้งเอาไว้ นางกะจะปราดเข้าไปใช้แสฟาดสั่งสอนเวยเซี่ยวให้เนื้อแตกยับ เจ็บระบมไปทั้งตัว เซวี่ยเย่าอ๋องพยุงอันเฉิงให้ลุกขึ้น แต่นางกลับหันไปคุกเข่าต่อหน้าจักรพรรดิ แม้ใบหน้ากำลังเศร้าหมอง แต่แววตากลับแฝงแววดื้อรั้นเด็ดเดี่ยว “ฝ่าบาทเพคะ ... ท่านอ๋องทรงตรัสได้ถูกต้องแล้ว หม่อมฉันได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากฝ่าบาทแต่งตั้งเป็นเจิ้งเฟย(ชายาเอก) มาบัดนี้กลับมีคนสงสัยในคุณสมบัติของหม่อมฉัน เท่ากับเป็นการลบหลู่วิสัยทัศน์ของฝ่าบาท เวยเซี่ยวขอเรียนถาม องค์หญิงใช้มาตรฐานใดมาวินิจฉัยคำว่า คู่ควร หรือไม่คู่ควร หากแม้นเวยเซี่ยวไม่มีค่าคู่ควรจริง ก็จะขอละทิ้งตำแหน่งเจิ้งเฟยเนรเทศตัวเองไปอยู่ชายแดน มิย่างกายเข้าจวนเย่าอ๋องแม้สักครึ่งก้าว ! แต่หากเวยเซี่ยวมีค่าคู่ควร ก็จักขอดำเนินชีวิตตามพระเมตตาของฝ่าบาทและท่านอ๋อง ให้สมกับตำแหน่ง เย่าหวางเฟย สามคำนี้” เสนาบดีเฉินหันไปมองบุตรีที่ไม่เอาไหนที่สุดในสายตา จากคำพูด กิริยา ท่าทางอาจหาญของนาง นั่นใช่บุตรีของเขาแน่หรือ ทว่าใบหน้านี้ มองอย่างไรก็ใช่ หรือเพราะนางตกจากที่สูงครานั้นจึงทำให้สมองกลับ จากคนโง่งม กลายมาเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องช่างเจรจา ไม่อยากเชื่อ ก็ต้องเชื่อ ไม่น่าเป็นไปได้ก็เป็นไปแล้ว ด้วยวาจานี้ จักรพรรดิ เทียนฮุย ย่อมมิอาจบ่ายเบี่ยงปฏิเสธความรับผิดชอบได้ เพียงแต่ในใจกลับเย้ยหยัน เฉินเวยเซี่ยวช่างกล้านัก กล้าหยิบยกคำว่า 'คู่ควร' มาเอ่ยอ้าง นางคงลืมไปแล้วว่าชื่อเสียงของนาง ถึงแม้จะเป็นบุตรีภรรยาเอก แต่ทุกคนก็รู้ดีว่านางเป็นสตรีที่ไม่เอาไหนอันดับหนึ่งของต้าโจว จักรพรรดิ เทียนฮุย พลันจับจ้องมองฉู่ฉิงเหยียน แล้วตรัสอย่างจริงจัง “เย่าหวางเฟย กล่าวได้มีเหตุผล องค์หญิงใหญ่ มิทราบว่าท่านจะอธิบายคำว่า 'คู่ควร' อย่างไร ?” บัดนี้ ฉู่ฉิงเหยียน มีโอกาสเปิดปากโดยมิต้องรอความเห็นชอบจากรัชทายาทฉู่หลาน จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “หากเฉินเวยเซี่ยวคิดว่าเหมาะสมกับตำแหน่งเจิ้งเฟย ก็ให้ใช้วิธีการเลือกชายาของต้าโจว ให้นางมาประลองเชิงศิลป์หรือเชิงยุทธ์กับหม่อมฉัน ดูว่าผู้ใดเหนือกว่า” จักรพรรดิเทียนฮุยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็แย้มพระสรวล ทรงยินดียิ่ง รีบตรัสว่า “ดี เป็นวิธีที่ดี... ใช้วิธีเลือกชายาของต้าโจว เหมาะสมยิ่ง” สำหรับเฉินเวยเซี่ยวแล้วด้านศิลป์ไม่แตกฉาน ด้านวิทยายุทธ์ก็คงไม่เท่าไหร่ ครั้งนี้ประตูสวรรค์ปิดตายสำหรับนางอย่างไม่ต้องสงสัย อย่าว่าแต่ลดชั้นนางลงเป็นชายารองเลย ให้เป็นแค่นางกำนัลรับใช้ยังมิคู่ควร จักรพรรดิ เทียนฮุย กับ ฉู่ฉิงเหยียน ช่างเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ต่างตัดสินใจโดยมิถามนางแม้สักคำว่าเห็นด้วยหรือไม่ กู่อันเฉิงเหลือบมองเซวี่ยเย่าอ๋อง เห็นเขามีทีท่าวิตกกังวลอยู่บ้าง แม้นว่า ฉู่ฉิงเหยียนจะเอาแต่ใจ หุนหันพลันแล่น ขาดการไตร่ตรองถี่ถ้วน แต่นางก็นับว่าเป็นผู้มีความสามารถทางศิลป์และยุทธ์ มิอาจดูแคลน “จักรพรรดิแห่งต้าโจว เมื่อเป็นการแข่งขัน จึงต้องมีความเป็นธรรม ในการแข่งขันเชิงศิลป์ พระองค์คิดว่าผู้ใดเหมาะสมที่จะเลือกหัวข้อพ่ะย่ะค่ะ ?” การแข่งขันเชิงยุทธ์ อาศัยทักษะเฉพาะตัว ต่างจากการแข่งขันเชิงศิลป์ ที่สามารถเกิดความลำเอียงในการตั้งหัวข้อประลองได้ ถึงแม้ท่าทีของจักพรรดิเทียนฮุยจะเอนเอียงมาทางน้องสาวเขา แต่เพื่อให้การแข่งขันเป็นไปอย่างโปร่งใส ฉู่หลานจึงแสดงให้เหล่าขุนนางต้าโจวได้เห็นว่าเขามีความเที่ยงธรรมปานใด ในตอนนี้เอง องค์ชายสิบ จวินเป่ยเฉิน รู้สึกว่าโอกาสของตนมาถึงแล้ว จึงลุกขึ้นมาด้วยท่าทางประหม่า พลางกล่าวว่า "เสด็จพ่อ บุตรมีความคิดที่ดีประการหนึ่ง" ไท่จื่อแห่งต้าโจวได้โอกาสเปิดปากกล่าววาจา “ว่ามา” “ควรให้ขุนนางในที่นี้ทั้งฝ่ายซีฉู่และต้าโจวมีส่วนร่วม โดยให้เขียนศิลปะที่พวกเขาเห็นว่าสมควรเป็นหัวข้อในการแข่งขัน รวบรวมมา ศิลปะใดถูกลงความเห็นมากที่สุดย่อมเป็นสิ่งนั้น พวกท่านเห็นว่าอย่างไร” “เจ้าเห็นด้วยหรือไม่จวิ้นอ๋อง” ฮ่องเต้หันมาตรัสถามรางวัลมีชีวิตชิ้นใหญ่ที่สองฝ่ายกำลังยื้อแย่ง “กระหม่อมไม่กล้าไม่เห็นด้วย แต่เรื่องนี้สมควรถามความเห็นหวางเฟยของกระหม่อมมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ” หวางเฟยของกระหม่อม...กู้อันเฉิงรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วหน้า ไม่อยากเชื่อว่านางจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากเซวี่ยเย่าอ๋อง แต่เหนืออื่นใดนางก็นึกขอบใจที่เขาเปิดโอกาสให้นางได้ตัดสินใจ ว่าจะไปต่อหรือหยุดลงตรงนี้ “เจ้าว่าไง” เขาหันมาถามนางเบาๆที่ข้างหู กู้อันเฉิงได้แต่หันไปสบตา ไม่ทราบว่าควรตอบไปเช่นไร ทว่าเมื่อคิดจะสู้ ก้าวเดียวกู้อันเฉิงก็ไม่คิดที่จะถอย นางเคยเห็นเคยได้ยินชื่อเสียงของฉู่ฉิงเหยียนตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน ตอนนั้นนางเป็นเพียงพลทหารผู้น้อยที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญ แม้ระหว่างรบพุ่งจะเห็นสายตาหวานเยิ้มของนางที่ส่งมาให้ท่านอ๋องเป็นระยะ ทั้งยังยอมถอยทัพให้เพียงเพื่อเอาใจบุรุษ บัดนี้ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่กู้อันเฉิงจะได้ปะมือกับนาง ให้รู้กันไปเลยว่าใครเหนือกว่าใคร “ทูลฝ่าบาท ที่มาของการได้หัวข้อนั้น หม่อมฉันไม่สนใจเท่ากติกา หม่อมฉันต้องแข่งกับองค์หญิงกี่หัวข้อ และอย่างไร ถึงจะเรียกว่าชนะขาด ขอฝ่าบาทตรัสออกมาให้ชัดเจน เพื่อว่าหลังจากมีผลแพ้ชนะแล้ว ฝ่ายใดก็ไม่อาจแย้งได้ อีกอย่าง หากหม่อมฉันแพ้ก็อย่างที่บอก หม่อมฉันขอเนรเทศตัวเองไปเป็นหญิงรับใช้ในค่ายจ้านเสินไม่กลับเมืองหลวง แต่หากชนะ ทางองค์หญิงใหญ่จะว่าอย่างไร” “เป็นหญิงรับใช้ในค่ายทหาร...ที่นั่นไม่อนุญาตสตรีอาศัยมิใช่หรือ...หากสตรีเพียงหนึ่งเข้าไปอาศัยในหมู่ทหารนับแสน ก็เปรียบดั่งเนื้อที่หลงเข้าไปในถ้ำหมาป่า อันตรายยิ่ง” เสียงโจษจันดังระงมไปทั่ว แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้ว่า ไม่ว่าแพ้หรือชนะกู้อันเฉิงก็มีแต่ได้กับได้ จักรพรรดิแห่งต้าโจวถึงขั้นโน้มตัวมาข้างหน้าเพื่อมองเย่าหวางเฟยชัดๆ จากคำร่ำลือที่ว่าคุณหนูรองตระกูลเฉิน แม้เป็นบุตรีที่เกิดจากภรรยาเอก แต่นางกลับทั้งโง่ อ่อนแอ และไม่เอาไหนที่สุด จนนางกลายเป็นตัวเลือกแรกที่ถูกเลือกให้สมรสกับเทพสงครามเซวียเย่าอ๋อง เพราะบิดานางคือเสนาบดีคนสำคัญของเขา และเซวียเย่าอ๋องเป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกร ให้ทั้งสองเกี่ยวดองกัน ถือว่าเขาแสดงออกว่าให้ความสำคัญกับตระกูลเฉิน ในขณะเดียวกัน ความโง่งมของพระชายาก็จะกลายเป็นช่องโหว่สำคัญของเซวียเย่าอ๋อง หากฝ่ายนั้นเกิดกระด้างกระเดื่อง ทว่าสตรีตรงหน้ากลับมิได้เป็นดั่งที่หลายคนเข้าใจ ดูแล้วนางไม่ได้โง่ ไม่ได้อ่อนแอ ออกจะฉลาด อาจหาญ ซะยิ่งกว่าราชธิดาบางคนซะอีก หรือว่าเสนาบดีเฉินแกล้งปล่อยข่าวพวกนั้นเพราะหวงบุตรี “เช่นนั้น เราขอให้ทางซีฉู่เป็นฝ่ายตั้งกติกาก็แล้วกัน” “เพื่อไม่ให้เป็นการยืดเยื้อ ข้าขอท้าเจ้าสู้ในสามหัวเรื่อง ชนะสองในสาม ถือว่าชนะ แต่หากมีเสมอ คงต้องให้องค์จักรพรรดิคิดหัวข้อตัดสินสุดท้าย ถ้าหม่อมฉันแพ้ เราชาววซีฉู่ จะถอยกำลังทหารห่างออกไปอีกห้าสิบหลี่ และมอบบรรณาการแด่ต้าโจวทุกปี แต่ถ้าหากหม่อมฉันชนะ นอกจากชายาเวยเซี่ยวจะถูกเนรเทศไปเป็นหญิงรับใช้ในค่ายทหารแล้ว หม่อมฉันยังต้องการให้ท่านแม่ทัพเซวียแต่งงานกับหม่อมฉันโดยทันที เจ้าคิดเห็นประการใด” ฉู่เฉิงเหยียนกล่าว ทั้งยังหันไปมองศัตรูหัวใจอย่างท้าทาย “ได้...ตกลงตามนี้” กู้อันเฉิงตอบรับโดยไม่ลังเล “อ่า...เสด็จพ่อ ระหว่างที่ตกลงกันนั้น ลูกได้รวบรวมหัวข้อประลองจากเหล่าขุนนางไว้ในโถใบนี้เรียบร้อยแล้ว...เอาเป็นว่าเสด็จพ่อเลือกมาหนึ่งหัวข้อ ฉู่หลานไท่จื่อเลือกหนึ่งข้อ และสุดท้ายท่านน้าเลือกอีกหนึ่งข้อเป็นการตัดสิน” องค์ชายห้ายิ้มร่าออกมาอย่างอารมณ์ดี เขานั่งมองเหตุการณ์อยู่นาน จึงอยากมีส่วนร่วมกับความสนุกครั้งนี้ด้วย อาศัยว่าเป็นองค์ชายที่กำเนิดจากกุ้ยเฟยผู้ได้รับความโปรดปราน และอาศัยว่าทุกคนมองเขาเป็นองค์ชายที่ไม่เอาถ่านเข้าแทรกอย่างหน้าหนา ใครเล่าจะกล้ากันเขาออกจากวง “เช่นนั้นเจ้าก็เอามาให้พ่อเลือก” ฮ่องเต้เทียนฮุยกวักมือเรียก องค์ชายห้ายื่นโถบรรจุโพยกระดาษม้วนเล็กๆให้พระบิดาเลือก ทั้งกำชับว่าอย่าเพิ่งเปิดดู ก่อนจะเดินนำโถนั้นไปให้ฉู่หลานไท่จื่อเลือก สุดท้ายก็นำมาวางตรงหน้าเซวียเย่าอ๋อง พร้อมคำพูดกระซิบกระซาบ “ท่านน้าเลือกอันที่ติดอยู่ก้นโถก็แล้วกัน ข้าน่าจะช่วยน้าสะใภ้ได้เพียงเท่านี้” พอเซวียเย่าอ๋องหยิบม้วนกระดาษเล็กๆ ไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว องค์ชายห้าก็ออกมายืนหน้าที่ประทับ ทั้งเอ่ยถามผลการเลือกของทั้งสาม “เสด็จพ่อได้หัวข้อใดพ่ะย่ะค่ะ” “เราได้ดนตรี” ฮ่องเต้เทียนฮุยตรัสทั้งยังให้ขันทีแสดงผลการเลือกให้ทุกคนได้เห็นประจักษ์ตา “ส่วนกระหม่อม เลือกได้หมากล้อม” ฉู่หลานประกาศออกมาทั้งแสดงผลให้ทุกคนเห็นโดยไม่ต้องรอให้ใครถาม “แล้วท่านน้าล่ะ ได้หัวข้อใด” องค์ชายห้าเอ่ยถาม ทว่าเซวียเย่าอ๋องกับยังคงจ้องมองกระดาษแผ่นนั้นนิ่งด้วยสีหน้าครุ่นคิด เพราะเย่าอ๋องไม่เอ่ยถึงส่งที่อยู่ในกระดาษ กู้อันเฉิงก็ยิ่งแปลกใจใคร่รู้ ความอยากรู้ทำให้นางกล้าพอที่จะดึงกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากมือเขา และประกาศออกไปอย่างไม่ลังเล “ขี่ม้ายิงธนู” “เฮ้ย...หัวข้อนี้...” องค์ชายห้าถึงกับหน้าเผือดสี เขารู้ดีว่าเซวียเย่าอ๋องมีอาชาวิเศษอยู่หนึ่งตัว ความเร็วเป็นเลิศ หากประชันความเร็วอย่างน้อยน้าสะใภ้ย่อมชนะไปได้ตาหนึ่ง แต่ ไอ้บ้าตัวไหนเพิ่มคำว่ายิงธนูเข้าไป ถ้ารู้เขาจะสับมันเป็นหมื่นๆชิ้น “สำหรับเซวียเย่าอ๋องแล้ว ไม่ว่าการขี่ม้าจะมียิงธนูร่วมด้วยหรือไม่ เขาไม่เห็นความแตกต่าง ประการแรก เขาเข้าใจว่าชายาขี่ม้าไม่เป็น ประการที่สอง ต่อให้ได้ม้าวิเศษอย่างเจ้าฟ้าคำรณมาร่วมแข่งขัน ยังไงเสียมันก็ไม่ยอมให้ใครขี่โดยลำพังอย่างแน่นอน “ตกลงตามนี้ หัวข้อแรก เรื่องดนตรี จะแข่งเช่นไร” ฮ่องเต้เทียนฮุยตรัสถาม “เช่นนั้นก็ให้ทั้งสองฝ่ายเลือกเครื่องดนตรีที่ถนัดออกมาบรรเลงก็แล้วกัน เสด็งพ่อมีความคิดเห็นประการใด” องค์รัชทายาทแคว้นต้าโจวก็ไม่อยากจะน้อยหน้า จึงชิงเสนอขึ้นมาก่อน “ได้...เช่นนั้นให้สิทธิ์ทางองค์หญิงบรรเลงก่อนก็แล้วกัน” “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ฉู่ฉิงเหยียนย่อกายทำความเคารพอย่างสวยงาม ใบหน้าเจือรอยยิ้มอ่อนหวาน นางหันไปสั่งให้คนนำพิณตัวโปรดมาวางตรงหน้าพระพักตร์ ก่อนจะนั่งลงประจำตำแหน่งนักเล่นพิณ "เคร้ง !!" ทันทีทีเสียงพิณกระหึ่มขึ้น บรรยากาศรอบกายทุกผู้คนคล้ายบังเกิดความแปรเปลี่ยน เสมือนหลุดไปในอีกโลกหนึ่งที่สายลม แสงแดด พาให้จิตใจปลอดโปร่ง ฉู่ฉิงเหยียนแม้ไม่เก่งถึงขั้นนับเป็นยอดปรมาจารย์บรรเลงพิณแต่นางก็มีฝีมือบรรเลงในระดับต้นๆ บทเพลงชักนำผู้คนเข้าสู่ความรู้สึกหลากหลาย ทั้งปลอดโปร่ง หดหู่ โดดเดี่ยว ทุกผู้คนถูกเสียงพิณของนางชักนำจนพากันลืมเลือนว่า ขณะนี้คือการแข่งขันระหว่างพระชายาเวยเซี่ยวกับฉู่ฉิงเหยียน เสียงพิณยิ่งบรรเลงเสียงยิ่งสูง ลมหายใจของทุกผู้คนถูกชักนำให้ถี่กระชั้นชิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเอง เสียงพิณดัง 'เคร้ง' เปลี่ยนทำนอง คล้ายชักนำผู้ฟังสู่สมรภูมิรบ เสียงฝีเท้าอาชา ประกายเกราะเงินวาววับ อีกทั้งเสียงดาบกระทบฟาดฟันกันดุเดือด จากนั้นเสียงพิณค่อย ๆ ลดระดับความร้อนแรง จนหยุดลง ทำเอาผู้สดับกลับพากันนิ่งเงียบ เนิ่นนานจนกระทั่งมีเสียงปรบมือดังขึ้น “ยอดเยี่ยม...ยอดเยี่ยม...สมกับเป็นมือพิณอันดับหนึ่งของฉู่ตะวันตก” จักรพรรดิเทียนฮุยกล่าวชม “ขอบพระทัยฝ่าบาท” ฉู่ฉิงเหยียนลุกขึ้นทำความเคารพ ด้วยสีหน้าเบิกบาน ไม่วายหันไปใช้สายตาเย้ยหยันคู่แข่ง ที่ยังนั่งนิ่งประหนึ่งถูกตรึงด้วยเสียงพิณเมื่อครู่ “เจ้าไหวหรือไม่” เซวียเย่าอ๋องกระซิบถามพระชายา น้ำเสียงฟังไม่ออกว่าห่วงใย หรือกลัวว่านางจะทำขายหน้า กู้อันเฉิงลุกขึ้นถวายความเคารพก่อนจะเดินออกมาหยุดยืนหน้าพระพักตร์ ท่ามกลางผู้คน นางสูดหายใจเข้าปอดช้าๆ ระงับความตื่นเต้น กู้เหยียน บิดาของนางเคยกล่าวไว้ ใจคือตัวแปรสำคัญในการชี้ผลว่าจะชนะหรือแพ้ ใจสงบย่อมปิดทางพ่ายไปกว่าครึ่งทาง ที่เหลือก็คือวิธีการใครจะล้ำลึกกว่ากัน “หม่อมฉันไม่ได้เตรียมเครื่องดนตรีมา หากจะใช้เครื่องดนตรีอื่นที่ไม่คุ้นมือก็คงยากที่จะต่อกรกับองค์หญิง เอาเป็นว่าการแข่งขันครั้งนี้หม่อมฉันขอให้ใบไม้แทนเครื่องดนตรีนะเพคะ” “ใช้ใบไม้เหรอ...มันจะเป็นไปได้ยังไง คนที่เป่าใบไม้ชนะพิณได้ก็คงมีแต่เซียนเท่านั้นนะ” เสียงโจษจันอื้ออึงของเหล่าขุนนางดังขึ้นมาอีก “ใช้ใบไม้...เจ้าแน่ใจเหรอ” ฮ่องเต้ตรัสถามย้ำ หากนางแพ้จะได้ไม่โทษว่าเขา “เพคะ...” กู้อันเฉิงตอบรับอย่างหนักแน่น “เช่นนั้น...ตามแต่ใจเจ้าก็แล้วกัน” กู้อันเฉิงเดินไปเลือกใบไม้ที่ปักแซมอยู่ในแจกันดอกไม้ใกล้มือ นางเลือกใบที่พอเหมาะออกมาได้หนึ่งใบ ก่อนเป่าไม่วายหันไปสบตาเซวียเย่าอ๋องที่ยังคงมองนางนิ่ง แวบหนึ่งในแววตานั้น นางมองเห็นความกังวลและห่วงใย แม้เป็นเพียงแค่แวบเดียว แต่นั่นก็สร้างกำลังใจให้นางได้มากล้น ขอบใบไม้ถูกนำมาแตะบนริมฝีปาก ก่อนจะมีเสียงแหลมเล็กหวีดดังออกมา เป็นท่วงทำนองเดียวกันกับที่ฉู่ฉิงเหยียนบรรเลงพิณเมื่อครู่ ทว่าตัดมาเพียงส่วนเสี้ยวที่ไพเราะปรับแต่งท่วงทำนองให้ลงตัวซะยิ่งกว่าด้วยเสียงหวีดหวิวนั่น ชวนให้ผู้ได้ฟังถึงกลับเคลิบเคลิ้มประดุจล่องลอยอยู่ในอากาศ โดยเฉพาะท่อนสุดท้ายที่ต่างออกไปนั่นทำให้เซวียเย่าอ๋องถึงกับเบิกตากว้างมองไปยังชายานิ่ง หัวใจของเขาเกิดความสับสนขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ บทเพลงท่อนสุดท้ายนี้เขาเคยได้ยิน ท่ามกลางความมืดที่มีดวงดาวกระจ่างฟ้า เสียงผิวใบไม้จะดังแทรกสายลมหนาวยามรัติกาลมาให้ได้ยินเสมอ บทเพลงนี้กล่อมเขาให้ปล่อยวางจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า นิทราได้อย่างเต็มอิ่ม พร้อมรับวันใหม่อย่างมีพลัง เขาเคยตามเสียงเพลงไปจนได้เห็นนางมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถผิวใบไม้ในท่วงทำนองนี้ได้ นั่นก็คือพลทหารบุตรกุนซือผู้เฒ่ากู้เหยียนนามกู้อันเฉิง ทว่าเมืองหลวงห่างจากชายแดนที่ตั้งค่ายจ้านเสินร่วมพันหลี่ เวยเซี่ยว นางสามารถผิวใบไม้ด้วยบทเพลงนี้ได้เช่นไร “ไพเราะ...ไพเราะยิ่งนัก เราไม่อาจตัดสินได้ว่าใครคือผู้ชนะ จะมีใครคัดค้านหรือไม่หากเราจะให้ทั้งคู่เสมอกัน” ฮ่องเต้เทียนฮุย กล่าวด้วยใจจริง “นั่นสิ...สองบทเพลงล้วนมีเสน่ห์ตราตรึงยากจะตัดสินจริงๆ” เสนาอำมาตย์ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันอึ้ออึง ทว่าในใจส่วนใหญ่เห็นพร้องยกให้เพลงบรรเลงจากใบไม้มีคะแนนเหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง “ไม่ได้นะเพคะ...นางไม่สมควรชนะ” ฉู่ฉิงเหยียนลุกขึ้นคัดค้าน “ด้วยเหตุใด” “เพราะนางไม่ได้ใช้เครื่องดนตรีในการบรรเลง ใบไม้ ไม่อาจเรียกว่าเป็นเครื่องดนตรีได้” กู้อันเฉิงถึงกับยิ้มเยาะ นึกนับถืออีกฝ่ายที่ยังอุตส่าห์หาเหตุผลมาเอ่ยอ้างเอาชนะนางจนได้ แต่ก็อย่างที่นางว่า ใบไม้ไม่อาจเรียกว่าเครื่องดนตรี หากถูกปรับแพ้ นางก็ยินดีแพ้ “ใครมีความคิดเห็นขัดแย้งแตกต่างจากองค์หญิงฉู่ฉิงเหยียนเหรือไม่...” ฮ่องเต้หยุดมองไปโดยรอบ ไม่เห็นมีผู้ใดแสดงตัวออกมาคัดค้าน “เช่นนั้นการประลองครั้งนี้ถือว่าองค์หญิงใหญ่แห่งฉู่ตะวันตกฉู่ฉิงเหยียนเป็นฝ่ายชนะ” “ต้องขออภัยท่านอ๋อง การประลองรอบแรกข้าทำให้ท่านผิดหวังซะแล้ว” กู้อันเฉิงหันไปกล่าวกับผู้ที่ยังมองนางไม่วางตา มิอาจอ่านความหมายในแววตาคู่นั้นได้ว่าเป็นเช่นไร แต่กู้อันเฉิงรู้จักนิสัยตัวเองดีว่า เมื่อสู้นางไม่เคยคิดถอย การพ่ายแพ้ในครั้งนี้นางไม่คิดเสียใจ “หัวข้อในการประลองต่อไปก็คือการเดินหมาก ไม่ทราบว่าทั้งสองฝ่ายเตรียมพร้อม หรือมีข้อเสนอใดเพิ่มเติมหรือไม่” ผู้ประกาศการประลองยังคงเป็นองค์รัชทายาทฉินอวี้ “เตรียมกระดานหมาก...” “ช้าก่อนไท่จื่อ...กระหม่อมมีข้อเสนอ” เซวียเย่าอ๋องที่นิ่งเงียบมาแต่ต้นลุกขึ้นกล่าวห้าม ก่อนการประลองรอบสองจะดำเนินต่อไป “เชิญจวิ้นอ๋องกล่าว” “ด้วยพระชายาของกระหม่อมเป็นเพียงสตรีไร้เดียงสาผู้หนึ่ง ที่ยังอ่อนต่อโลก ไม่เคยเข้าสู่แวดวงแห่งการแข่งขันช่วงชิงใดๆ หากฝ่าบาทจะทรงพระกรุณา กระหม่อนทูลขอเวลาให้นางได้มีโอกาสเตรียมเนื้อเตรียมตัวบ้าง” ทั้งน้ำเสียงที่จริงจังถ้อยคำที่แสดงให้เห็นว่าเอื้ออาทรต่อพระชายามากเพียงใด ยิ่งสร้างความริษยาให้เกิดแก่ใจของฉู่ฉิงเหยียนมากเท่านั้น คอยดูเถอะนางจะต้องเอาชนะสตรีนางนั้นให้ได้ ในเมื่อทั้งสามหัวข้อนั้นถือว่านางได้เปรียบอยู่เต็มประตู ต่อให้เฉินเวยเซี่ยวขอเวลาเรียนรู้อีกเป็นเดือนก็มิอาจมาต่อกรนาง้ ทว่านางไม่มีวันให้โอกาสอีกฝ่ายเผยอชูคอเป็นชายาอ๋องได้นานถึงปานนั้น ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของนางโดยเร็ว “หากไม่ให้โอกาส จะหาว่าหม่อมฉันจิตใจแคบ เห็นแก่ที่ท่านเย่าอ๋องทูลขอ หม่อมฉันให้เวลาอ้ายเฟย(ชายาผู้เป็นที่รัก)ของท่านอ๋องในการเตรียมตัวเตรียมใจยอมรับความพ่ายแพ้ หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืน นัดหมายยามอู่(11.00-13.00น.) วันเมื่อรืนสถานที่เดิมคือที่นี่” ฉู่ฉิงเหยียนชิงกล่าวก่อน “เจ้าว่าไง...” เซวียเย่าอ๋องหันมาถามพระชายาที่บัดนี้กลับมานั่งข้างกายเข้าเป็นที่เรียบร้อย “จะเมื่อไหร่ก็ได้ เวยเซี่ยวไม่มีข้อโต้แย้ง” “ตกลงตามนี้...เช่นนั้นหม่อมฉันและอ้ายเฟยขอทูลลาไปเตรียมตัวเตรียมใจก่อน ไม่อยากสูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์” เซวียเย่าอ๋องจงใจเน้นคำว่าอ้ายเฟยเสียงดังฟังชัด ก่อนจะคว้าข้อมือชายาดึงให้ลุกขึ้นถวายความเคารพ แล้วปลีกตัวไปโดยไม่รอคำอนุญาตจากอ่องเต้ “ท่านน้า ๆ ที่นี่ไม่มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว ขอข้าไปด้วยคน” องค์ชายห้าฉินอู่รีบลุกจากที่ประทับเร่งฝีเท้าติดตามสองสามีภรรยาไปอย่างไว ดั่งกลัวว่าหากช้ากว่านี้อีกนิด เขาจะถูกรั้งให้อยู่ในงานเลี้ยงไปจนงานเลิก ฟ้าคำรณยังคงเป็นพาหนะพาเซวียเย่าอ๋องและหวางเฟยเดินทางกลับจวน เซวียเย่าอ๋องไม่ได้ควบม้ามุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเฉกเช่นตอนมา ทว่าเขากลับบังคับม้าให้เดินไปตามเส้นทางอย่างไม่รีบร้อน แอบสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมของคนที่นั่งซ้อนอยู่ข้างหน้า ไม่ได้คิดว่าตนจะหลงใหลในกลิ่นหอมของสตรีเพศ แต่เมื่อมันโชยเข้ามาในจมูก ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธไม่ยอมรับ “เหตุใดเจ้าถึงผิวใบไม้เช่นนั้น” จู่ๆ เย่าอ๋องก็เอ่ยปากถามออกมา เหมือนชวนคุยมากกว่าต้องการให้นางตอบอย่างจริงจัง “ข้าไม่ค่อยรู้จักบทเพลงแปลกๆเช่นนี้สักเท่าไหร่ ฟังจากที่องค์หญิงบรรเลงพิณ บทเพลงนี้ถือว่าไพเราะน่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากจนไม่อาจหาบทเพลงใดมาสู้ ทว่ายังมีบางจุดที่ดูเหมือนจะยืดเยื้อ ข้าก็เลยลองเรียบเรียงใหม่ตามความรู้สึก ก็ไม่คิดว่ามันจะออกมาดีเกินคาด” กู้อันเฉิงตอบตามจริง “ทำไมเจ้าเลือกที่จะใช้ใบไม้แทนพิณ” เซวียเย่าอ๋องถามต่อ เขาไม่เชื่อในเหตุผลที่ชายากล่าวตอนแข่งขันแม้แต่น้อย “ท่านอ๋องคิดว่าคุณหนูที่มีชื่อเสียงด้านความไม่เอาไหนของข้านั้นได้มาเพราะมีคนใส่ความกรุเรื่องขึ้นเหรอ...มันคือความจริงที่ว่า ด้านศิลปะข้าไม่เอาไหนสักอย่าง อย่าว่าแต่เล่นพิณเลย อักษร กลอน ภาพ ข้าล้วนไม่เป็นทั้งหมด ยกเว้นผิวใบไม้” เซวียเย่าอ๋องได้ฟังแล้วก็ให้ความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง สิ่งที่เขาเคยได้ยินมา นอกจากที่นางบอกแล้ว ความขี้ขลาดตาขาวของนางก็ยังเด่นไม่แพ้กัน ทว่าสตรีตรงหน้านี้หาได้ทำให้เขารู้สึกว่าเรื่องเหล่านั้นล้วนค้านจากความจริง เย่าหวางเฟยคนนี้มีอะไรซุกซ่อนชวนให้ค้นหาอยู่มากมาย ช่างเป็นสตรีที่น่าสนใจจริงๆ “แต่ว่าท่อนสุดท้ายที่เจ้าเป่า ไม่มีในบทเพลงขององค์หญิงใหญ่มิใช่หรือ” “อ้อ...ท่อนสุดท้ายเป็นเพลงที่ข้ามักจะบรรเลงในยามเหงา นั่งชมดาวชมจันทร์ เห็นว่าเข้ากับช่วงจบได้ดีจึงนำมันเข้ามาด้วย” “เจ้าได้ยินมาจากที่ใด” คำถามที่เซวียเย่าอ๋องเอ่ยถาม ฟังเหมือนจะสนใจบทเพลงท่อนสุดท้ายนั่นเหลือเกิน หรือว่าเขาจะเคยได้ยินนางผิวใบไม้เมื่อครั้งอยู่ในค่ายทหาร ไม่น่าเป็นไปได้ ทุกครั้งที่นางออกมานั่งชมแสงดาวดวงเดือน นั่นคือยามที่ผู้คนหลับไหล และไม่บ่อยนักที่นางจะมีอารมณ์สุนทรีย์ถึงขั้นหยิบใบไม้มาเป่าเป็นเพลง “เอ่อ...อืม...เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว ข้าได้ยินเด็กหนุ่มคนนึงผิวปากเดินไปตามท้องถนน ได้ฟังเพียงครั้งข้าก็รู้สึกชอบ” “เด็กหนุ่มเมื่อสองปีก่อน...เจ้ารู้จักเขาด้วยหรือ” “มะ...ไม่รู้จัก เขากับข้าก็แค่คนเดินผ่าน” “เด็กหนุ่มที่เจ้าพูดคงเป็นพลหารในค่ายที่ข้าพากลับมาที่จวนเมื่อสองปีก่อน” เซวียเย่าอ๋องคาดคะเน แม้ในใจเขาจะรู้สึกมั่นใจว่าใช่ก็ตาม “ท่านรู้ได้อย่างไรว่าเขาคือพลหารในค่ายของท่าน ว่าแต่เขาชื่ออะไร คราวนี้เขาติดตามท่านมาด้วยหรือไม่ ข้าอยากเจอ อยากทำความรู้จักเอาไว้ เพราะเท่าที่มองเผินๆ เขาเป็นคนที่มีความสามารถซุกซ่อนอยู่ไม่น้อย” พอเผลอชมตัวเองเข้าหน่อยกู้อันเฉิงก็เกิดอาการเขินจนสองแก้มสุกปลั่ง “รู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นคนมีความสามารถ” คิ้วรูปดาบถึงกับขมวดเข้าหากัน “ข้าก็แค่...เดา...แหะๆๆ นั่นสินะ ท่านบอกเขาเป็นพลทหาร แค่พลทหารจะมีความสามารถอะไรนักเชียว” “ผิดแล้ว...ถึงเขาจะเป็นพลทหาร แต่ความสามารถของเขานั้นมีซุกซ่อนอยู่มากมายทีเดียว” “ท่านอ๋องรู้ด้วยเหรอ นึกอยากรู้จักตัวตนของเขาซะแล้วสิ” “หมดโอกาสแล้ว เขาไม่อยู่แล้ว” กู้อันเฉิงฟังไม่ผิดใช่ไหม น้ำเสียงเช่นนี้เรียกว่าน้ำเสียงเศร้าได้หรือไม่ ท่านอ๋องเศร้าเมื่อพูดถึงกู้อันเฉิง นางสมควรจะดีใจได้ไหม “กู้อันเฉิง” “ขอรับ...อุ้ย ” อันเฉินยกมือปิดปากตัวเองแทบไม่ทัน ที่ดันเผลอขานรับคำเรียกขานของท่านอ๋อง “ไม่มีอะไรไม่มีอะไร ข้าแค่พูดผิด” นางแก้ตัวพัลวัน “ว่าแต่กู้อันเฉิงคือใคร เป็นชื่อหนุ่มน้อยคนนั้นหรือเจ้าคะ” “ถูกแล้ว กู้อันเฉิงคือชื่อของเขา” “ข้าจะจดจำชื่อของเขาไว้ เพราะเพลงของเขาที่ข้าพยายามจดจำเอาไว้ มีโอกาสได้ใช้ต่อกรกับองค์หญิงแคว้นซีฉู่ ถึงแม้จะพ่ายแพ้ แต่ข้าก็ไม่เสียใจ” “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ” “ข้าคิดเช่นนั้นจริงๆ” “คิดได้เช่นนั้นก็ดี...ข้าเองก็...จะจดจำเขาไว้ในใจตลอดไปเช่นกัน” เซวียเย่าอ๋องเอ่ย จากนั้นเขาก็เงียบไป กู้อันเฉิงได้ยินประโยคนี้ที่ตามด้วยเสียงถอนหายใจดั่งมีบางสิ่งทับแน่นอยู่ในอก ก็ให้รู้สึกเจ็บแปล๊บที่อกข้างซ้าย หัวใจเต้นแรงขึ้น เมื่อรับรู้ว่าในหัวใจของเซวียเย่าอ๋องจะมีพลทหารกู้อันเฉิงประทับติดแน่นอยู่ในนั้นตลอดไป ทว่าเสียงถอนหายใจที่ตามมานี่สิ นึกสงสัยว่าเขามีเรื่องอะไรให้ต้องถอนหายใจเช่นนั้น หรือจะเป็นเรื่องฉู่ฉิงเหยียน ต้องใช่แน่ๆ “ท่านอ๋อง อย่าได้ห่วงไปเลย หากท่านไม่เต็มใจรับองค์หญิงแซ่ฉู่คนนั้นเป็นชายาเอก ข้าจะช่วยท่านอย่างสุดความสามารถ อยากให้ทำสิ่งใดบอกข้ามา ข้าพร้อมปฏิบัติ ไม่ปล่อยให้ท่านต้องเดินทางไปเป็นราชบุตรเขยแคว้นซีฉู่เด็ดขาด ข้าสัญญา” เซวียเย่าอ๋องถึงกับก้มมองเจ้าของเรือนผมสลวยหอมกรุ่นที่อยู่ใต้จมูกเขาไม่ถึงคืบ นึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ ไม่คิดเลยว่าชายาที่เขาจำใจแต่งเข้าจวนจะมีความอาจหาญเช่นนี้ และไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดทำให้เขาพูดคุยสนทนาได้หลายประโยคถึงเพียงนี้ หากไม่นับกู้อันเฉิงที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่านางเป็นสตรี ก็เห็นจะมีเฉินเวยเซี่ยวเท่านั้น เห็นทีเขาต้องมองนางใหม่ซะแล้ว ปล. จริง ก็ว่าจะรอ ให้จำนวน คนอ่านตอนที่ 2 เทียบเท่าหรือใกล้เคียง ตอนที่ 1 เพราะตอนที่ 3 มีเวลาเลยเขียนจบค่อนข้างเร็ว แต่เมื่อไม่ได้หวังว่าคนจะอ่านมากมาย หรือได้รับคอมเม้นท์ถล่มทลาย เพราะเรื่องนี้เขียนเพื่อทดสอบความสามารถของตัวเอง ก็เลยแปะตอนที่ 3 เร็วขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อ คนอ่านที่น่ารัก 8 คนที่เข้ามาติดตามผลงาน อ่านให้สนุกนะคะ
Create Date : 22 มีนาคม 2565 |
Last Update : 22 มีนาคม 2565 10:44:51 น. |
|
0 comments
|
Counter : 679 Pageviews. |
|
|