ตอนที่ 2 เมื่อคิดจะสู้ ก้าวเดียวก็ไม่ถอย
บทที่2 หน้าจวนอ๋องมีรถม้าหลังใหญ่หรูหราพร้อมสารถียืนรออยู่เพียงลำพัง ไร้ทหารอารักขา หรือแม้แต่ท่านอ๋องที่นางควรเห็นเขานั่งบนหลังม้ารอยังไม่มี เขาอาจคิดว่าเวยเซี่ยวเป็นแค่ชายาที่ได้มาเพราะถูกยัดเยียด ไม่ได้มีความสำคัญแม้กระทั่งการเดินทางไปเข้าเฝ้าฯเขาก็ยังไม่ใส่ใจ ทิ้งนางให้เดินทางไปโดยลำพัง ช่างเถอะ... ถึงอย่างไรกู้อันเฉิงก็ไม่ได้คิดที่จะผูกชีวิตไว้กับเขา แม้ร่างกายนี้จะเป็นของเฉินเวยเซี่ยวแต่จิตวิญญาณยังเป็นของนาง สิ่งอื่นใดหาได้น่าสนใจมากไปกว่าวิธีที่จะได้กลับไปค่ายจ้านเสิน อย่าว่าแต่เรื่องคุ้มกันความปลอดภัยเลย แม้กระทั่งหน้าตา ฐานะ ชื่อเสียงเรียงนามของท่านอ๋องผู้นี้ นางก็หาได้สนใจไม่ “เชิญพระชายาขอรับ” พ่อบ้านหม่าผายมือไปยังรถม้า โดยไม่ได้กล่าวอะไรเพิ่ม “ร่างกายยังไม่แข็งแรง คุณหนูก้าวระวังหน่อยนะเจ้าคะ” ถานเอ๋อร์พยุงคุณหนูก้าวขึ้นรถม้า รอกระทั่งคุณหนูของนางเข้าไปนั่งภายในเรียบร้อย ถานเอ๋อร์จึงขึ้นนั่งบนรถข้างสารถี กู้อันเฉิงรวบม่านประตูเปิดออกมุดเข้าไปได้ครึ่งตัว ยังไม่ได้ใส่ใจมองให้ดีเพราะคิดว่าภายในคงว่างเปล่า ทว่าพอเงยหน้าขึ้นสบตาคมกล้าคู่หนึ่ง ดวงตากลมโตของนางถึงกับเบิกกว้าง รีบประสานมือทำความเคารพด้วยคุ้นชิน “ขะ...คารวะ...ทะ...ท่านอ๋อง...” ทักทายตะกุกตะกักเสร็จนางก็รีบถอยร่นหันหลังกลับ “เข้ามาแล้ว...จะออกไปไหน?” ได้ยินเสียงทุ้มทรงอำนาจของคนผู้นั้นร้องถาม กู้อันเฉิงชะงักงั้น ไม่ถอยไม่ก้าว นางยังรู้สึกประหม่าตกใจ จนสมองหยุดสั่งการไปชั่วขณะ “ขะ...ข้างนอก” “จะออกไปทำไม กลับเข้ามานี่ สายมากแล้วเราต้องรีบเดินทาง” กู้อันเฉิงหันกลับมา เผลอสบตาคนที่นั่งอยู่ก่อน แล้วก็ต้องรีบหลบ ท่าทางเก้กังเหมือนคนไม่มีสมองของนาง คงทำให้เขาเกิดความรำคาญอยู่บ้าง “นั่งลง ตรงนี้...” มองตามปลายนิ้วของคนสั่งเป็นที่นั่งตรงข้ามกู้อันเฉิงก็รีบรุดเข้าไปนั่งทันที ยังไม่ทันทรงตัวดี เขาก็ออกคำสั่งให้เคลื่อนรถ เสียงล้อบดถนนทำให้นางค่อย ๆ รวบรวมสติที่แตกกระจายกลับมาเป็นกลุ่มก้อนเช่นเดิม ดวงตากลมโตเหลือบมองคนที่นั่งอยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มใบหน้าหล่อเหลาคมคายกำลังนั่งกอดอกหลับตานิ่งเหมือนไม่ไยดีโลก เป็นเขาจริง ๆ หรือนางยังไม่ตื่นจากความฝัน แต่หากนี่คือความฝัน นางช่างกล้านักที่ฝันว่าได้วิวาห์กับเทพสงครามเซวียเย่าอ๋อง กู้อันเฉิงจิกเล็บเข้าที่นิ้วตัวเอง มันให้ความรู้สึกเจ็บก็แสดงว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือความจริง สวรรค์เล่นตลกกับนางเข้าให้แล้ว เมื่อครั้งที่กู้อันเฉิงยังเป็นพลทหารกู้บุตรีที่ต้องใช้ชีวิตเยี่ยงบุรุษของกู้เหยียนกุนซือผู้เฒ่าแห่งค่ายจ้านเสิน แม้นางจะไม่ค่อยได้พบเซวี่ยเย่าอ๋องบ่อยนักในช่วงเวลาที่ถูกบิดาส่งให้ไปเรียนรู้ยังกองต่างๆในค่าย จะมีก็ช่วงปลายชีวิตของนางที่ถูกสั่งให้มาเป็นพลทหารรับใช้ใกล้ชิด นางไม่ค่อยจะได้เห็นเซวียเย่าอ๋องนั่งรถม้าสักเท่าไหร่ ไม่ใช่สิ เรียกว่าไม่เคยเลยก็ว่าได้ เดินทางไปไหนมาไหนมักจะเห็นเขานั่งอยู่บนหลังเจ้าฟ้าคำรณม้าเหงื่อโลหิตสีแดงขนมันเงาที่ชาญฉลาด ม้าของท่านอ๋องก็เหมือนกับท่านอ๋อง แสนจะเย่อหยิ่งเอาใจยาก มันยอมให้ท่านอ๋องผู้ปราบพยศขี่ ส่วนทหารในค่ายมันยอมรับเพียงปรนนิบัติให้หญ้า แปลงขน ทุกคนล้วนไม่มีใครอยากเข้าใกล้มัน แต่กับนางนั้นต่างออกไป ไม่ใช่เพราะนางเป็นสตรี แต่เป็นเพราะนางคือเพื่อนปรับทุกข์ของมัน ว่าแล้วก็แสนจะคิดถึง จำได้ว่าในการเดินทางครั้งสุดท้ายของชาติที่แล้ว ท่านอ๋องนั่งอยู่บนหลังเจ้าฟ้าคำรณอย่างสง่าผ่าเผยเดินทางนำขบวนกลับเมืองหลวง “วันนี้ทำไมท่านอ๋องถึงนั่งรถแทนขี่ม้า” เพราะความยากรู้จึงเผลอถามออกไป ทว่าคำตอบที่ได้คือความเงียบ เหลือบตาขึ้นมองเย่าอ๋องก็ยังนั่งหลับตานิ่ง เพิ่มความสงสัยให้กับกู้อันเฉิงเข้าไปอีกว่านี่เขาหลับไปแล้วจริงๆ หรือแค่ไม่ต้องการเสวนากับนาง แต่เท่าที่เคยดูแลรับใช้กันมา นางรู้ดีว่าเทพสงครามผู้นี้หูไวตาไวยิ่งนัก มีหรือจะไม่ได้ยินในสิ่งที่นางถาม เมื่อถามไม่ตอบ นางก็ได้แต่วางเฉยเพียงเท่านั้น รถม้ายังแล่นไปไม่หยุด เสียงโหวกเหวกของผู้คนเดินถนนและพ่อค้าวานิชจากที่ฟังดูคึกคักกลับค่อยๆ เบาบางลง กู้อันเฉิงแหวกม่านหน้าต่างมองออกไปภายนอกแมกไม้สองข้างทางทำให้นางรับรู้ว่าว่าเส้นทางที่รถกำลังมุ่งไปไม่ใช่วังหลวงอันเป็นจุดหมายเดิม เขาจะพานางไปไหนกันแน่ “นี่ไม่ใช่ทางไปวังหลวง ท่านอ๋อง ท่านจะพาข้าไปที่ใด” หากถามอีกครั้งแล้วเขายังไม่ใส่ใจตอบ คงต้องใช้กำลังง้างปากกันบ้างแล้วล่ะ หากเป็นเมื่อก่อนมีหรือว่านางจะกล้าทำอะไร แต่ตอนนี้นางในฐานะชายาอ๋องตำแหน่งนี้ให้ความกล้าแก่นางเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว “ท่านอ๋อง เรากำลังจะไปที่ใด” ถามไปสามคราแต่ไร้คำตอบ หรือว่าเขาหลับไปแล้วจริงๆ อาจเป็นได้ รถม้านั่งอบอุ่นสบายโยกไปโยกมาดั่งไกวเปลเห่กล่อม แต่ว่า…คนตรงหน้าคือเทพสงครามเชวียเย่าอ๋องเชียวนะ จะมาหลับง่ายได้แบบนี้ ใช่ที่ไหนกัน หรือเพราะคิดว่าที่นี่ไม่ใช่ชายแดน ไม่มีข้าศึกศัตรูก็ไม่แน่ที่เขาจะวางใจหลับตาพักผ่อนได้อย่างสสบายอารมณ์ เพราะความอยากรู้มือขาวผ่องดั่งหยกมันแพะก็ยื่นออกไปตรงหน้า ระยะที่นั่งค่อนข้างห่าง นางจึงยืดจนสุดตัวเพื่อให้ฝ่ามือของนางเข้าใกล้ใบหน้าคมคายที่นั่งหลับตานั้นได้ คนอย่างเย่าอ๋องหากมีสิ่งผิดปกติใกล้ตัวปฏิกิริยาตอบรับของเขานั้นว่องไว ยังไงเสียก็ต้องรีบลืมตามาปัดป้องแน่นอน “ว้าย...” เสียงร้องอย่างตกใจไม่ใช่ของกู้อันเฉิง แต่เป็นของถานเอ๋อร์ดังขึ้นพร้อมกับรถม้าที่แล่นมาด้วยความเร็วสม่ำเสมอจู่ๆก็หยุดลงซะดื้อๆ ทำให้ร่างที่ยืดไปข้างหน้าเต็มตัวถึงกับเสียหลักพุ่งเข้าหาอ๋องหนุ่มอย่างยั้งไม่อยู่ ฝ่ามืออดีตพลทหารรับใช้กระแทกใบหน้าผู้เมื่อชาติที่แล้วเขาคือบังคับบัญชาของนางเต็มแรง พร้อมกับตัวนางยังเข้าไปนอนเกยอยู่ในอ้อมอกกว้างนั้นเสียอีก หากเป็นเมื่อก่อนกู้อันเฉิงคงถูกคำสั่งลงโทษในข้อหาทำร้ายผู้บัญชาการทหาร ทว่าดวงตาคมกล้าน่าเกรงขามคู่นี้ที่กำลังจ้องมองนางนิ่งราวอสรพิษสะกดเหยื่อกลับไม่มีปฏิกิยาใดๆ มือใหญ่แข็งแกร่งที่มีไว้กุมดาบกวัดแกว่งเข่นฆ่าศัตรูทั้งสองข้างกุมกระชับแน่นที่เอวเล็กของนาง นั่นทำเอากู้อันเฉิงถึงกับเกิดอาการรนราน ใบหน้าร้อนผ่าว ถ้าจะมาจ้องหน้ากันในระยะใกล้ชิดเช่นนี้ให้ลงโทษนางด้วยวิธีโบยสักสิบไม้ยังจะดีซะกว่า “ขะขออภัยท่านอ๋อง ข้าไม่ได้ตั้งใจ...” คำว่าตบท่าน ถูกกลืนลงท้องเพื่อความปลอดภัยในเรื่องเจตนา “มีอะไร...” เซวียเย่าอ๋องหันไปตะโกนถามภายนอก มือทั้งสองยังกุมแน่นที่เอวเล็กๆนั่น “มีนักฆ่าชุดดำขอรับ” เสียงตอบฟังดูเคร่งเครียด เซวียเย่าอ๋องหันกลับมาสนใจร่างเล็กๆ ที่เกยอยู่บนตัวเขา กลิ่นหอมแปลกๆโชยเข้ามาให้สัมผัส หรือนี่เรียกว่ากลิ่นสตรี เพราะมีกลิ่นหอมเช่นนี้ ผิวเนื้อนุ่มมือเช่นนี้บุรุษใจเสาะที่ไม่ได้รับการฝึกฝนจิตใจถึงได้หวั่นไหว “กี่คน...” เย่าอ๋องร้องถามออกไป “แปดคนขอรับ” หากเป็นกลุ่มนักฆ่า พวกเขาล้วนฝีมือไม่ธรรมดา จำนวนแปดคนไม่ว่าจะเป็นการเอาชีวิตหรือลักพาตัวก็ถือว่าส่งมาเพื่อหวังผลสำเร็จเท่านั้น กู้อันเฉิงเคยเผชิญหน้ากับกลุ่มนักฆ่ามาบ้าง ทุกครั้งนางไม่ได้มีความตกอกตกใจ นั่นเพราะอยู่ในค่ายทหารมีกองกำลังที่จะเข้าช่วยเหลือมากมาย ทว่าครั้งนี้กลับทำให้นางรู้สึกหวั่นใจ ที่นี่มีเพียงเซวียเย่าอ๋องกับนาง ภายนอกมีคนบังคับม้ากับถานเอ๋อร์ สาวใช้ประจำตัวของนางเท่านั้น ไร้กำลังเสริม “เจ้าคิดจะอยู่บนตัวข้าอีกนานแค่ไหน” นี่คือคำถามที่ทำให้กู้อันเฉิงรู้สึกร้อนผ่าวทั้งหน้าอีกครั้ง ทว่าครั้งนี้กลับมีความรู้สึกโกรธแทรกอายปนเปเข้ามาด้วย ใครเล่าอยากจะให้เป็นเช่นนี้ ถ้าเขาตอบคำถามนางดีๆ หรือถ้ารถม้าไม่หยุดกระทันหัน มีหรือว่านางจะเข้าใกล้ปีศาจสงครามที่ฆ่าศัตรูไม่กระพริบตาอย่างเขา อ้อ...อีกอย่าง หากเขาไม่ยึดเอวนางไว้แน่น นางคงดีดตัวออกไปเสียนานแล้ว “ก็ปล่อยมือสิ” นางตอบออกไปน้ำเสียงห้วน ความโกรธบดบังความกลัวเกรงเอาไว้มิด “รออยู่ที่นี่” เขาสั่งทั้งกระชับสองมือที่กุมเอวนางให้แน่นยิ่งขึ้น เย่าอ๋องไม่ได้ดึงนางเข้าไปแนบชิด แต่กลับยกนางขึ้นไปวางบนตั่งเช่นเดิมดั่งว่านางเป็นตุ๊กตาตัวน้อย ก่อนที่เขาจะหันไปแหวกม่านเดินออกไปภายนอก ภาวะเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเช่นนี้ มีหรือกู้อันเฉิงจะยอมนั่งสงบอยู่กับที่ ท่านอ๋องสั่งเพียงให้รอ แต่ไม่ได้ห้ามออกไป นางจึงลุกเดินตามเย่าอ๋อง เมินสายตาดุดันคู่นั้น ไปยังสาวใช้ประจำตัวที่นางเป็นห่วงซะยิ่งกว่าใครในที่นี้ “ถานเอ๋อร์ เจ้าเข้าไปซ่อนตัวข้างใน” กู้อันเฉิงสั่ง เห็นสาวใช้ปฏิบัติตามอย่างรนรานก็นึกสงสาร โชคไม่ดีเลยที่ถานเอ๋อร์ติดตามนางมาจึงต้องรับเคราะห์ไปด้วย “เจ้าก็ด้วย หลบเข้าไป! อย่ามาเกะกะ” กู้อันเฉิงหันไปสบตาเซวียเย่าอ๋อง ก่อนจะหันไปมองชายชุดดำทั้งแปดที่ยืนปิดล้อมเส้นทางหนีมิดชิดจนไม่มีช่องโหว่ อาวุธคู่มือของพวกมันมีทั้งกระบี่ ดาบ และลูกตุ้มเหล็ก ส่วนจะมีอาวุธลับหรือไม่อีกไม่นานคงรู้ ถ้าพูดถึงวิชาดาบ ใครเล่าจะสู้เซวียเย่าอ๋อง นักฆ่าพวกนี้คงไม่เกินกำลังของเทพสงคราม นางจึงยอมถอยเข้าไปภายในรถม้าแต่โดยดี ทว่ายังไม่ทันจะพ้นจากประตู มีดสั้นเล่มหนึ่งก็พุ่งตรงมา หากหลบไม่ทันมันคงปักเข้าที่ท้ายทอยของนาง แต่ต่อให้นางหลบไม่ทันจริงๆ มีดสั้นเล่มนั้นก็ถูกเย่าอ๋องปัดเปลี่ยนทิศทางกลับคืนไปปักอยู่บนอกหนึ่งในกลุ่มนักฆ่าแทน นักฆ่าอีกคนกระโจนขึ้นมาบนหลังเก๋งเสียบดาบทะลุหลังคา กู้อันเฉิงเบี่ยงตัวหลบได้หวุดหวิด นี่พวกมันหวังชีวิตของเวยเซี่ยวดอกหรือ แต่เสียใจด้วยเวยเซี่ยวตอนนี้ไม่ใช่คุณหนูผู้อ่อนแอเช่นเมื่อก่อนแล้ว กู้อันเฉิงหลบปลายดาบที่แทงซ้ำลงมากลิ้งไปทางสาวใช้ที่ตกใจจนหมดสติ เป็นลมได้ก็ดี อย่างน้อยถานเอ๋อร์ก็จะได้ไม่ต้องเห็นภาพสยดสยองที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า กู้อันเฉิงรวบรวมกำลังภายในจับสันดาบที่แทงลงมาอีกรอบกระชากทีเดียวดาบนั้นก็ทะลุลงมาทั้งเล่ม ก่อนจะหันปลายดาบแทงกลับไปที่เดิม โดนหรือไม่ นางไม่รู้ รู้แต่ว่าเจ้านักฆ่าผู้นั้นเคลื่อนตัวพ้นจากบริเวณนั้นแล้ว จึงพอมีเวลาจัดการกับร่างหมดสติของถานเอ๋อร์ “เจ้าหลบอยู่ในนี้ก่อนก็แล้วกัน” กู้อันเฉิงยัดร่างสาวใช้เข้าไปอยู่ใต้ตั่ง คลุมผ้าปกปิดให้มิดชิดเพื่อความปลอดภัย เสียงดาบปะทะดาบดังอยู่ภายนอก เสียงฝีเท้าเหยียบลงบนหลังเก๋งอีกรอบ เสียงของหนักร่วงลงจากหลังเก๋งกระแทกพื้นดังตุบ การโจนตีวนเวียนไม่พ้นจากรถม้าเดาว่านักฆ่ากลุ่มนี้คงต้องการชีวิตของเวยเซี่ยว ไม่ใช่เซวี่ยเย่าอ๋อง เพราะแม้กู้อันเฉิงจะอยู่ในรถนางก็ต้องคอยหลบปลายดาบที่แทงเข้ามาอยู่พัลวัน “ท่านอ๋อง พวกมันต้องการชีวิตเวยเซี่ยว!” กู้อันเฉิงตะโกนบอก ความหมายของนางคือชีวิตเฉินเวยเซี่ยวจริงๆ ไม่ใช่ชีวิตกู้อันเฉิง “ชีวิตเจ้านะหรือ? สำคัญเช่นไร” เสียงร้องถามแทรกเสียงดาบปะทะดาบดังเข้ามา “ชีวิตเฉินเวยเซี่ยวคงสำคัญกว่าท่านอ๋อง พวกมันถึงอยากได้” คำตอบที่เซวียเย่าอ๋องได้รับเล่นเอาเขาถึงกับชะงักงันไปอึดใจ ทว่าก็ยังสามารถหลบคมดาบที่ฟาดฟันเข้ามาได้ทันควัน ไม่คิดว่าคุณหนูตระกูลเฉินที่ถูกล่ำลือข้อด้อยต่างๆนานาจะกล้าตอบคำถามด้วยคำตอบแบบนี้ “ข้ามีวิธีพิสูจน์” นางตะโกนบอก “เช่นไร?” วิธียืนยันข้อสันนิษฐานของกู้อันเฉิงได้ดีที่สุดคือการออกไปจากรถม้า หากเวยเซี่ยวคือเป้าหมาย พวกมันคงสละขุนไล่ล่าเบี้ยอย่างไม่ต้องสงสัย พอคิดวางแผนในใจเรียบร้อย พลทหารกล้าในคราบชายาอ๋องอาศัยจังหวะเหมาะพุ่งตัวออกมาทางหน้าต่าง วิ่งจนสุดฝีเท้าหลบหลีกอาวุธซัดได้อย่างเป็นธรรมชาติตรงไปยังพุ่มไม้ใบหนาข้างทาง เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ กลุ่มนักฆ่าที่เหลือไม่ถึงครึ่ง เปลี่ยนทิศทางโจมตีทันที พวกมันต่างวิ่งกรูติดตามนาง “บ้าเอ๊ย! ทำอะไรโง่ๆ” เซวียเย่าอ๋องสบถกับตัวเอง รีบพุ่งทะยานตามกลุ่มนักฆ่าเหล่านั้นไป ก่อนที่เขาจะกลายเป็นหม้ายทั้งที่เพิ่งสมรสได้เพียงชั่วข้ามคืน “ว้าย...อย่าตามมานะ” ของใกล้มือรายทางถูกใช้เป็นอาวุธได้หมด ถึงจะมีวิชายุทธ์หากแต่เวลานี้กู้อันเฉิงคือเฉินเวยเซี่ยว จึงไม่อาจแสดงการต่อสู้ออกมาอย่างแจ่มแจ้ง ได้แต่อาศัยจังหวะหลบหลีก ใช้สิ่งที่คว้าติดมือมาได้ แทนอาวุธซัดในการเอาคืน ให้ดูเหมือนสตรีอ่อนแอคนหนึ่งต้องการป้องกันตัว ทว่าคนที่โดนกลับเจ็บไปถึงกระดูก สุดท้ายนางก็ตกอยู่ในวงล้อมจนได้ เซวียเย่าอ๋องใช้วิชาตัวเบาทะยานเข้ามากลางวงของสามนักฆ่าที่กำลังปิดล้อม ดึงตัวกู้อันเฉิงไปไว้ด้านหลัง คนขับรถม้าวิ่งตามมาติดๆ หนึ่งต่อหนึ่งเช่นนี้หากเป็นเมื่อก่อนกู้อันเฉิงไม่หนักใจแม้แต่น้อย แค่อาศัยวิชายุทธ์จากตาเฒ่าเสินอู่พ่อครัวเอกแห่งค่ายจ้านเสิน ที่นางได้รับการถ่ายทอดมาไม่น้อยนางก็สามารถเอาชนะได้ไม่ยาก หรือใช้วิชารบพี่ชายก็พร่ำสอนมาอย่างเข้มงวด มีหรือว่านักฆ่าพวกนี้จะคณนามือ เพราะนางเป็นสตรีที่ต้องมีชีวิตท่ามกลางบุรุษนับแสน หากไม่เพราะบิดาปฏิเสธรับแต่งตั้งตำแหน่งด้วยเหตุผลว่านางยังเด็ก แถมมีนิสัยมุทะลุ ไม่ยอมใคร ตอนนี้นางก็คือครูฝึกทหารคนหนึ่งของค่ายจ้านเสินแล้ว เสียดายตอนนี้ นางทำได้เพียงยืนหลบอยู่หลังแม่ทัพดั่งลูกไก่ ไม่มีโอกาสได้ยืดเส้นยืดสายให้คลายเมื่อย นักฆ่าเริ่มลงมือเข้าโจมตีพร้อมกัน ลำแขนกลมกลึงของกู้อันเฉิงถูกกำกระชับยื้อยุดฉุดดึงหลบหลีกอาวุธของศัตรูตามแต่เซวียเย่าอ๋องจะนำพา แต่พอเผลอนางเองก็อาศัยจังหวะต่อกรกับศัตรูไปบ้าง นักฆ่าถูกกำจัดไปแล้วหนึ่ง ขณะที่คนขับรถม้าเองก็มีฝีมือใช่ย่อย แม้จะเพรี่ยงพร้ำจนได้รับบาดเจ็บ แต่ก็สามารถจัดการนักฆ่าไปได้อีกหนึ่ง เหลือเพียงหนึ่งที่รีบพุ่งทะยานตัวแทรกสุมทุมพุ่มไม้หนีหายไป พ้นร่างนักฆ่าเพียงไม่นาน ทหารหมู่หนึ่งก็วิ่งตรงเข้ามาทำความเคารพ กู้อันเฉิงพอจำหน้าได้ว่าผู้รายงานคือหนึ่งในสมาชิกสายข่าวของกองทัพ ส่วนที่เหลือเป็นทหารใหม่ที่เพิ่งรับเข้ากองทัพจ้านเสินเมื่อไม่กี่เดือนก่อน แต่มาสมทบล่าช้าเช่นนี้เห็นทีต้องรับการฝึกให้หนัก “ขออภัยที่พวกเรามาช้า” “ไม่เป็นไร มีอะไรว่ามา” “เรียนท่านอ๋อง วันนี้ที่ลานล่าสัตว์ส่วนพระองค์ นอกจากท่านอ๋องกับพระชายาที่ทูลขอเข้าเฝ้าฯถวายพระพรแล้ว ยังมีคณะทูตจากซีฉู่ส่งสารมาเข้าเฝ้าฯเชื่อมสัมพันธไมตรีเช่นเดียวกันขอรับ” “ทูตจากซีฉู่เหรอ... ใครเป็นผู้นำคณะทูต” “เป็นไท่จื่อและองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นฉู่ขอรับ” ทัพจ้านเสินเป็นทัพใหญ่รบพุ่งได้รับชัยชนะไม่น้อย ไม่ใช่เพราะมีแม่ทัพเก่งกาจ ชำนาญศึกเพียงอย่างเดียว หน่วยข่าวกรองและองครักษ์เงาที่มีศักยภาพดีเยี่ยมล้วนมีส่วนสำคัญในลำดับต้นๆ ทำให้หลายฝ่ายหลายแคว้นต่างให้ความเกรงใจ ช่วงที่กู้อันเฉิงเป็นพลทหารรับใช้ข้างกายท่านอ๋องอยู่นั้น ก็มีบ้างที่นางได้พบเห็น แต่น้อยครั้งนักที่นางจะมีส่วนร่วมรับฟังเรื่องราวเข่นนี้ “ฉู่ฉิงเหยียนมาเหรอ” กู้อันเฉิงเผลอพึงพำ ก่อนจะรีบหุบปาก เซวียเย่าอ๋องหันกลับไปมองคนที่ยืนหลบอยู่ข้างหลัง คิ้วรูปดาบขมวดเข้าหากัน ดวงตาคู่นั้นจ้องนิ่งมาที่กู้อันเฉิง ดั่งว่านางคือพยานหรือนักโทษที่กำลังรอการไต่สวน “เจ้ารู้จักองค์หญิงแห่งแคว้นฉู่ด้วยเหรอ” ก็ทำไมจะไม่รู้จักเล่า ทหารทั้งกองทัพทุกคนย่อมรู้จักสตรีผู้นี้ดี จะว่าไปแล้วนางรู้จักฉู่ฉิงเหยียนดีกว่าท่านแม่ทัพเซวียเย่าอ๋องซะด้วยซ้ำ รู้ว่าองค์หญิงผู้นี้ต้องการครอบครองแม่ทัพแห่งต้าโจวมาตั้งแต่ครั้งสองฝ่ายปะทะกันที่นอกด่าน แต่สำหรับเฉินเวยเซี่ยวนางย่อมไม่รู้จักสตรีสูงศักดิ์ต่างแคว้นผู้นี้แน่นอน “มะไม่รู้จัก แค่เคยได้ยินท่านพ่อเอ่ยถึงเท่านั้น” เหตุผลนี้ถือว่าใช้ได้สามารถปัดความสนใจของท่านแม่ทัพออกไปพ้นตัว “พวกเจ้าเก็บศพพวกนั้นกลับจวนไปก่อนรอการสืบสวนหาตัวผู้บงการ ส่วนเจ้านำรถม้ากลับไปด้วย รักษาอาการบาดเจ็บให้เรียบร้อย” คำสั่งท้ายสุดคนขับรถม้าเป็นผู้รับคำสั่ง “ฝากดูแลถานเอ๋อร์ของข้าด้วย นางหมดสติอยู่ในรถนั่นแหละ” ไม่วายที่กู้อันเฉิงจะมีคำสั่งต่อท้ายในฐานะชายาอ๋อง “แล้วท่านอ๋องล่ะขอรับ จะเดินทางไปเข้าเฝ้าฯอย่างไร” “เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ข้าจะพาชายานั่งเจ้าฟ้าคำรณไป” “ฟ้าคำรณ?” กู้อันเฉิงหันซ้ายแลขวามองหาเจ้าสีเพลิง เพิ่งนึกได้ว่า เจ้าฟ้าคำรณที่นางมักเรียกมันว่าสีเพลิงนั้นภักดีกับเซวียเย่าอ๋องนัก ไม่ว่าเจ้านายมันจะอยู่ที่ไหน ตัวมันแม้ไม่ได้ถูกใช้งานก็จะตามติดป้วนเปี้ยนอยู่ไม่ไกลจากที่แห่งนั้น เซวียเย่าอ๋องงอนิ้วใส่ปากเป่าออกมาเป็นเสียงแหลมสูง เพียงไม่นาน อาชาสีแดงตลอดร่างก็วิ่งกระโจนข้ามพุ่มไม้เตี้ย เข้ามาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า ทันทีด้วยท่าทางที่บ่งบอกได้ว่ามันดีใจนักที่ถูกเรียกขานใช้งานมันด้วยการเอาหัวใหญ่โตของมันถูไถไปกับฝ่ามือเจ้านาย เย่าอ๋องกระโดดขึ้นนั่งบนหลังอาชาตัวโปรด ก่อนจะยืนมือมายังพระชายาที่บัดนี้ยังคงมองมือเขานิ่งไม่ยอมยื่นมือมาจับ หรือนางไม่เคยขี่ม้า หรือว่านางยังตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เย่าอ๋องกวาดตาสำรวจหาความหวาดกลัวทั่วทั้งใบหน้า ท่าทางของนาง นึกแปลกใจที่เขากลับไม่เห็นในสิ่งที่หญิงสาวบอบบาง อ่อนต่อโลก ไม่มีแรงแม้จะเชือดไก่อย่างบุตรีมหาเสนาบดีคนนี้ควรมี ดูนางสงบนิ่ง จนชวนให้คิดไปว่านางจะใช่เฉินเวยเซี่ยวตัวจริงหรือไม่ ดูแล้วช่างน่าสนใจเสียจริง “ยื่นมือมา เจ้าต้องนั่งม้าไปกับข้า...เร็วเข้าสิ” กู้อันเฉิงยังลังเล ถึงร่างนี้จะเป็นเวยเซี่ยวแต่นางก็ยังเป็นกู้อันเฉิงพลทหารรับใช้อย่างนางจะอาจเอื้อมนั่งบนม้าตัวเดียวกันกับท่านแม่ทัพได้เช่นไร ทว่ายังไม่ทันได้หาเหตุผลปฏิเสธ เย่าอ๋องก็กระโดดลงมาอุ้มนางขึ้นนั่งบนหลังมาก่อนจะเหนี่ยวตัวขึ้นตาม กะตัวนางไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นเรียบร้อย ใช้เท้ากระทุ้งข้างตัวฟ้าคำรณ พามันพุ่งทะยานไปข้างหน้ารวดเร็วประหนึ่งลูกเกาทัณฑ์ที่ถูกปล่อยออกจากคันธนู ภายหลังจากคณะทูตทูลขอเข้าเฝ้ากระทันหัน ฮ่องเต้เทียนฮุยรับสั่งให้จัดงานเลี้ยงต้อนรับที่สนามล่าสัตว์ เป็นงานเลี้ยงที่ไม่เน้นพิธีการ เหล่าเชื้อพระวงศ์และขุนนางสำคัญในราชสำนักต่างได้รับเชิญให้มาร่วมงานกันทั่วหน้า ยามนี้อาหารโอชา สุราเลิศรสถูกส่งมาจากวังหลวงเพื่อรับแขกบ้านแขกเมือง ฮ่องเต้เทียนฮุยประทับบนบัลลังก์ ด้านซ้ายฮองเฮาประทับนั่งอยู่กับไท่จื่อ (รัชทายาท) ถัดลงมาเป็นที่นั่งเซวียกุ้ยเฟยกับองค์ชายห้า เซวียเย่าอ๋องกับชายาตามลำดับ ด้านขวาเป็นสนมและองค์ชายท่านอื่นๆ เพราะเหตุการณ์ลอบสังหารก่อนหน้าสภาพของกู้อันเฉิงค่อนข้างจะยุ่งเหยิงมอมแมม ยังดีที่สนามล่าสัตว์แห่งนี้มีกระโจมที่พักสำหรับเชื้อพระวงศ์อยู่หลายหลัง เซวียเย่าอ๋องจึงขออนุญาตจากเซวียกุ้ยเฟยให้กู้อันเฉิงใช้กระโจมของนางแต่งตัวใหม่ เซวียกุ้ยเฟยมีน้ำพระทัยนัก นอกจากจะอนุญาตให้ใช้สถานที่แล้ว พระนางยังสั่งให้นางกำนัลช่วยน้องสะใภ้แต่งตัว อนุญาตให้ใช้ทุกสิ่งในกระโจมได้ตามแต่ใจต้องการ กู้อันเฉิงปล่อยยาว แต่งหน้าอ่อนๆ เลือกสวมชุดที่นางดูแล้วสุภาพเรียบง่าย แต่ดูดี ขับเน้นผิวพรรณให้ผ่องใส จนมีบุรุษหลายคนต้องลอบชำเลืองชื่นชมในความงามของนาง แม้กระทั่งเซวียเย่าอ๋องผู้ไม่เคยชายตามองสตรีใดยังถึงกับหันมามองชายานิ่งนานจนกู้อันเฉิงต้องแสร้งหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบแก้เก้อ ก่อนจะหันไปถามด้วยความสงสัย “บนหน้าข้ามีสิ่งใดติดอยู่หรือ” “มี” ตามไปพลาง สายตายังจับจ้องอยู่เช่นนั้น “สิ่งใด?” กู้อันเฉิงใช้มือลูบปัดไปทั่วข้างแก้มหวังให้สิ่งที่เย่าอ๋องบอกว่ามีนั้นหลุดออก ทว่ามือใหญ่อบอุ่นของเขากลับคว้ามือนางเอาไว้ ทั้งลูบไร้นิ้วเรียวขาวผ่องนั้นเบาๆ เล่นเอากู้อันเฉิงถึงกับร้อนผ่าวไปทั้งหน้า พลางนึกในใจ ผีเข้า หรือจะมาไม้ไหนอีกนะท่านอ๋อง... “ความงาม” “ฮะ...ท่านว่าอะไรนะ” กู้อันเฉิงอุทานออกมาเบาๆ เหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินยิ่งปลายนิ้วแข็งแกร่งปัดไรผมออกให้พ้นหน้าผาก ยิ่งทำให้นางรู้สึกขาดความมั่นใจ “วันนี้เจ้างามนักไม่จำเป็นต้องปัดทิ้งดอก” ยิ่งได้ยินประโยคกระเซ้าเย้าแหย่ของเย่าอ๋องเช่นนี้ กู้อันเฉิงยิ่งรู้สึกขนลุก นี่ไม่ใช่ปกติวิสัย หรืออ๋องผู้นี้จะเป็นตัวปลอมใส่หน้ากากหนังมนุษย์มาหลอกนาง กู้อันเฉิงเผลอพิสูจน์ข้อสงสัยโดยใช้มือข้างที่ยังเป็นอิสระยื่นเข้าไปหยิกแก้มอีกฝ่าย การกระทำประดุจสามีภรรยารักใคร่หยอกล้อกัน ล้วนอยู่ในสายตาแทบทุกคนในสถานที่จัดเลี้ยง “ได้เห็นเซวียเย่าอ๋องหยอกล้อรักใคร่ชายาเช่นนี้ เราผู้ประทานสมรสให้ก็ค่อยสบายใจ” ฮ่องเต้ทรงพระสรวล เมื่อฟังราชดำรัสของฮ่องเต้แล้ว เซวียเย่าอ๋องจึงดึงตัวเวยเซี่ยวขึ้นยืนคู่กันพร้อมถวายบังคม “ด้วยการนี้กระหม่อมและชายาจึงได้ขอเข้าเฝ้าถวายพระพรพ่ะย่ะค่ะ” “เอาเถอะ เจ้าเป็นน้องชายของกุ้ยเฟย ก็เปรียบเหมือนน้องชายเรา เราย่อมมองหาสิ่งดี และคู่ควรให้แก่เจ้า นั่งลงกินดื่มให้เต็มที่” “ขอบพระทัยฝ่าบาท”สองสามีภรรยาตระกูลเซวียกล่าวพร้อมกัน ก่อนจะนั่งลง ที่แท้การหยอกเย้าด้วยวาจาชวนขนลุกของท่านอ๋องเมื่อครู่ก็แค่การแสดงละครเล็กน้อยให้คนในงานเลี้ยงได้เห็น ก็ถึงว่า คนอย่างเย่าอ๋องมีหรือจะชายตาแลสตรี ต่องให้นางผู้นี้เป็นชายาที่งามเลิศเลอก็เถอะ งานเลี้ยงเริ่มต้นเสียงดนตรีกระหึ่มทั่วลานกว้าง หากงานเลี้ยงนี้จัดขึ้นในวังหลวงคงมีเหล่านางรำออกมาฟ้อนรำตามจังหวะดนตรี ทว่าสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงลานกว้าง โล่งๆ มีกระโจมที่พักตั้งอยู่เป็นหมู่ จึงมีเพียงการดื่มสุราต้อนรับสามรอบ อันเฉิงนั่งข้างกายเย่าอ๋อง ในมือถูกเปลี่ยนจากถ้วยชาเป็นจอกสุรา แต่นางแค่ยกจอกสุราแตะริมฝีปากมิได้ดื่มลงคอ นางต้องรักษาสติสัมปชัญญะเพื่อรับมือเรื่องที่อยู่เหนือความคาดหมาย สังเกตคนข้างกาย เซวียเย่าอ๋องผู้สวมชุดพิธีสีเลือดนก สีหน้าของเขาก็ยังดูเรียบเฉย แต่ดวงตากับดูเย็นชากว่าปกติ ในขณะที่ผู้อื่นพูดคุยสัพเพเหระ เขากลับนิ่งเงียบ นานทีค่อยยกจอกสุราในมือขึ้นจิบนั่นคงเพราะเขายังไม่ไว้วางใจสถานการณ์เช่นกัน “รายงาน ... ไท่จื่อฉู่หลานและองค์หญิงฉู่ฉิงเหยียนแห่งฉู่ตะวันตก เสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เสียงตะโกนของทหารองครักษ์ดังขึ้น “รีบเชิญ” หลังสิ้นเสียงรับสั่ง ทั่วลานจัดเลี้ยงพลันเงียบสงบ จากนั้นอีกชั่วครู่เดียว ก็บังเกิดเสียงกระพรวนดัง ตามด้วยร่างของชายหนุ่มรูปงามในชุดเกราะเหล็กและสตรีในชุดแดงเพลิงก้าวเข้ามา สรีระทั่วไปของชาวฉู่ตะวันตก จะมีรูปร่างสูง เบ้าตาลึก จมูกโด่ง องคาพยพสมส่วน ฉู่ฉิงเหยียนนางสวมสร้อยข้อมือเงินห้อยกระพรวนทั้งข้อมือซ้ายและขวา สายรัดเอวก็ห้อยกระพรวนไว้โดยรอบ จึงไม่น่าแปลกในที่บังเกิดเสียงกระพรวนดังขณะนางเดินเข้าตำหนัก กู้อันเฉิงสังเกตเห็นว่า สายรัดเอวที่ห้อยกระพรวนเงินโดยรอบ แท้จริงคือแส้ยาว เป็นอาวุธชนิดหนึ่ง “จักรพรรดิแห่งต้าโจว ... ครั้งนี้เหล่าทหารอาชา ภายใต้การนำของกระหม่อมฉู่หลานรัชทายาทและองค์หญิงใหญ่แห่งฉู่ตะวันตก ได้แวะที่สนามอาชาหลวงของจักรพรรดิก่อนมาถึงที่นี่ เพื่อส่งมอบอาชาร้อยตัวเป็นของกำนัล ขอฝ่าบาททรงโปรดรับไว้” ฉู่เทียนเกอ ลุกขึ้นถวายรายงาน ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดเกราะอาชาสีเงินสะท้อนแสงตะวันวับวาว “ประเสริฐ... ฝากขอบพระทัยบิดาท่านแทนเราด้วย” “องค์หญิงใหญ่แห่งฉู่ตะวันตก ฉู่ฉิงเหยียน ขอถวายบังคมต่อจักรพรรดิต้าโจวเพคะ” “มิต้องมากพิธี เชิญทั้งสองรีบนั่งตามสบายเถอะ” จักรพรรดิ เทียนฮุย ตรัสอย่างอารมณ์ดี ทว่า ฉู่ฉิงเหยียนกลับมิขยับกาย พลางกล่าวว่า “ทูลฝ่าบาท ก่อนหน้านี้พระราชบิดาของหม่อมฉันเคยส่งสาส์นมา เจตนา คือ การอภิเษกสมรสเพื่อแสดงไมตรีจิตต่อกัน กับต้าโจว มิทราบฝ่าบาททรงคิดเห็นประการใดเพคะ” วาจาพอกล่าวจบ ทั่วทั้งลานจัดเลี้ยงเงียบสงัด นี่เป็นเรื่องใหญ่ ทว่า จักรพรรดิ เทียนฮุย กลับมิเคยแย้มพรายออกมาให้เหล่าขุนนางได้ทราบ กล่าวตามหลักการ ฉู่ตะวันตกนั้นฐานะทางการคลังเหนือกว่าต้าโจว ถึงแม้การทหารจะอ่อนด้อยกว่า แต่ก็ไม่มาก หากเชื้อพระวงศ์สองอาณาจักรประสงค์ดองญาติกัน ฝ่ายนั้นเป็นองค์หญิง ฝ่ายนี้เป็นองค์ชาย สมควรให้ต้าโจวเป็นฝ่ายร้องขอก่อน ท่ามกลางความงุนงงของผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ รวมถึงสีพระพักตร์จักรพรรดิเทียนฮุยมิสู้ดีนัก วาจาประโยคตามมาขององค์หญิงใหญ่แห่งซีฉู่ยิ่งสร้างความแตกตื่น เมื่อนางกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงกังวานว่า "จักรพรรดิต้าโจว ผ่านมาเนิ่นนานปานนี้แล้ว พระองค์ก็ยังมิทรงมีตอบ มิทราบว่าเป็นเพราะหม่อมฉันมิคู่ควรกับท่านเย่าอ๋องใช่หรือไม่เพคะ ?" “เป็นเย่าอ๋อง...นางต้องการอภิเษกกับเทพสงครามเซวียเย่าอ๋อง” เสียงพูดคุยของเหล่าผู้ร่วมงานดังแซงแซ่ ดูจากความซับซ้อนยุ่งยาก มิแปลกใจเลยว่า เหตุไฉน จักรพรรดิ เทียนฮุย จึงมิเคยตรัสถึงเรื่องนี้มาก่อน ในอีกมุมมอง หากฉู่ฉิงเหยียนแต่งงานเข้าจวนตระกูลเซวีย ต้าโจวกับฉู่ตะวันตกก็จะคลี่คลายข้อบาดหมางต่าง ๆ ได้ง่ายขึ้น สามารถเปิดด่านชายแดนค้าขายได้โดยตรง มิต้องอาศัยเทศกาลล่าสัตว์ฤดูสารทมาเป็นข้ออ้างในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างสองอาณาจักรอีกต่อไป ในใจของบางคนต่างคิดว่า นี่เป็นเรื่องดีทั้งต่อต้าโจวและฉู่ตะวันตก ทว่าบุรุษผู้ที่ซีฉู่ต้องการให้เป็นราชบุตรเขยแม้ได้รับการแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่เชื้อสายราชนิกูล จากคำร่ำลือที่ว่า บุรุษใดได้ครอบครอง ฉู่ฉิงเหยียน เท่ากับได้ครอบครองแผ่นดินฉู่ตะวันตกครึ่งหนึ่ง อำนาจของจวนแม่ทัพตระกูลเซวียที่มีกำลังทหารกว่าสองแสนนายในค่ายจ้านเสินย่อมเพิ่มขึ้นดั่งเสือติดปีก มิน่าล่ะ เซวียเย่าอ๋องถึงได้รับพระราชทานสมรสแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังเป็นคุณหนูรองแห่งจวนมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่แสนไม่เอาไหนเป็นที่สุดคนนี้ หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ใหญ่ จักรพรรดิ เทียนฮุย ค่อยตรัสว่า “องค์หญิงใหญ่ทรงมีพระสิริโฉมงดงาม หากมิคู่ควรกับเย่าอ๋อง เกรงว่าแผ่นดินนี้คงมิมีสตรีใดคู่ควรแล้ว” “ฝ่าบาทตรัสเช่นนี้ แสดงว่าเห็นด้วยแล้วใช่หรือไม่เพคะ ?” ในใจฉู่ฉิงเหยียนรู้สึกยินดีนัก มิต้องพูดถึงการเมือง โดยส่วนตัวนาง นับแต่ได้เจอเซวียเย่าอ๋องครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อน หัวใจของนางก็มอบให้แก่เขาจนหมดสิ้นแล้ว “แน่นอน ... สามารถดองญาติกับฉู่ตะวันตก เราย่อมยินดียิ่ง” จักรพรรดิ เทียนฮุย ตรัสด้วยรอยยิ้ม “ทว่าถึงเซวียเย่าอ๋องจะเป็นอ๋องของต้าโจวแต่เขาไม่ได้มีเชื้อสายราชวงศ์ เกรงว่าจะไม่คู่ควร...” “หม่อมฉันไม่ถือสาเพคะ” “จวิ้นอ๋อง เจ้าว่าเช่นไร ?” จักรพรรดิ เทียนฮุยโยนเผือกร้อน ส่งต่อมายังต้นเหตุของเรื่อง “ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่ว่ากระหม่อมเพิ่งสมรสมีชายาเอกเพียงชั่วข้ามคืน หากรับองค์หญิงใหญ่แห่งฉู่ตะวันตกมาเป็นชายารอง คงไม่เหมาะกระมัง ?” วาจาพอกล่าวจบ สายตาทุกคู่รวมทั้งฉู่ฉิงเหยียน ต่างย้ายมาจับจ้องมองไปที่กู้อันเฉิงในทันที ในแววตาเหล่านั้น มีบ้างเย้ยหยัน มีบ้างรอดูท่าที มีบ้างชิงชัง ทว่ากู้อันเฉิงใช้ความ อ่อนโยน ไร้เดียงสา ไม่รู้ไม่ชี้สยบทุกการเคลื่อนไหว ปล่อยให้ฉู่ฉิงเหยียนใช้แววตาเคลือบยาพิษจับจ้องมองนางด้วยความริษยา เฉินเวยเซี่ยวมิได้มีความผิด จึงไม่มีเหตุให้ปลดออกจากตำแหน่ง ชายาเอก จักรพรรดิ เทียนฮุย จึงแบ่งตำแหน่ง ชายาเอก เป็นฝ่ายซ้าย และ ฝ่ายขวา แม้ว่า จะเป็นตำแหน่ง ชายาเอกเหมือนกัน แต่ถ้าให้เวยเซี่ยวเป็นชายาเอกฝ่ายขวา เท่ากับมีฐานะเป็นรองอยู่ขั้นหนึ่ง น่าจะทำให้องค์หญิงแคว้นซีฉู่พอพระทัยได้บ้าง “ต้าโจวไหนเลยจะกล้าลดลำดับองค์หญิงใหญ่ได้ เรามีความเห็นว่าหากจวิ้นอ๋องไม่ขัดข้อง เราจะแต่งตั้งองค์หญิงใหญ่แห่งฉู่ตะวันตกเป็นพระชายาเย่าอ๋องฝ่ายซ้ายตำแหน่งชายาเอก ” จักรพรรดิ เทียนฮุ่ย ตรัสด้วยเสียงดัง แม้ฟังดูน่าอับอาย แต่นี่คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพื่อให้ฉู่ฉิงเหยียนพอใจ กู้อันเฉิงลอบมองใบหน้าอันเงียบขรึมของเซวียเย่าอ๋อง คนภายนอกอาจมองเหล่าเชื้อพระวงศ์ด้วยสายตาริษยาระคนชื่นชม แต่จะมีผู้ใดทราบความขมขื่นของบุคคลเหล่า ถึงเซวียเย่าอ๋องจะไม่ใช่ราชนิกูลโดยสายเลือด แต่ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง ยังอยู่ใต้ราชอำนาจของฮ่องเต้ แม้สามารถเลือกที่จะรับสตรีนางใดเป็นภรรยาก็ได้ แต่ในทางกลับกันก็มิอาจขัดขืนภรรยาที่จักรพรรดิพระราชทานให้ สำหรับอันเฉิงแล้ว นางย่อมมิแยแสว่า จะได้เป็น ชายาเอก ฝ่ายขวา หรือ ฝ่ายซ้าย ดังนั้นสีหน้าเธอจึงยังสงบนิ่งอ่อนโยนพร้อมรับทุกตำแหน่งฐานะ ทว่าใครจะคาดคิดว่า ฉู่ฉิงเหยียนได้คืบจะเอาศอก ใช้หางตาเย็นชามองมายังนางพลางกล่าวว่า “ก็แค่ดอกหญ้าริมทาง นางคู่ควรได้เป็นชายาเอกเสมอเราผู้เป็นถึงองค์หญิงด้วยหรือ?” กู้อันเฉิงพลันชะงักกาย ดวงตาทอประกายเย็นยะเยือก นางกับเย่าอ๋อง สักครึ่งคำก็ยังไม่เอ่ยปากค้าน ปล่อยฮ่องเต้ชักใยไปตามชอบ แต่นี่กลับคิดจะรังแกกันให้ถึงที่สุด ยังไม่ทันแต่งเข้าจวนเย่าอ๋องก็แผลงฤทธิ์ถึงเพียงนี้วันข้างหน้าอย่าหวังจะได้อยู่อย่างสงบสุข ถึงอดีตชาตินางจะเป็นเพียงพลทหาร นั่นก็เพราะบิดาไม่ยินดีให้นางรับตำแหน่งใด ถึงนางจะตัวเล็ก แต่ทหารในค่ายล้วนเรียกนางว่าพี่ใหญ่ ถ้าหากนางยังนิ่งเฉย ยอมให้องค์หญิงต่างแคว้นเหยียบจมูก นางจะมีหน้าไปพบเหล่าพลทหารพวกนั้นได้เช่นใด ขณะที่กู้อันเฉิงกำลังจะเอ่ยปากตอบโต้ เซวียเย่าอ๋องที่นิ่งเงียบมาแต่ต้นพลันชิงเอ่ยปากกล่าววาจาขึ้นมาเสียก่อน "ฉู่หลานไท่จื่อ... ฉู่ตะวันตกของท่านขาดแคลนบุรุษกระนั้นเหรอ ? ถึงต้องให้สตรีแคว้นท่านมาเอ่ยปากขอแต่งงานถึงที่นี่ ...” ในเวลานี้ ผู้คนในลานจัดเลี้ยงต่างพากันแตกตื่น การที่ทำให้ท่านเย่าอ๋องโกรธเคืองต่อหน้าธารกำนัลย่อมมิใช่เรื่องดีแน่ ถึงไม่ใช่ราชนิกูลแต่ก็มีกำลังทหาร ฮ่องเต้เทียนฮุยย่อมมีความเกรงใจอยู่หลายส่วน พระองค์ทรงขมวดพระขนง มิทราบสมควรจัดการเช่นไรดี ในเทศกาลล่าสัตว์ฤดูสารทเซวียเย่าอ๋องคือตัวแทนของต้าโจว หากว่าเรื่องนี้ทำให้เซวียเย่าอ๋องหงุดหงิดจนหาเรื่องถอนตัว คงกลายเป็นเรื่องใหญ่โตสร้างความเสื่อมเสียหน้าแก่ต้าโจวเป็นอย่างมาก ฉู่ฉิงเหยียนน่าจะแตกตื่นยิ่งกว่าผู้ใด นางมึนงงไปชั่วขณะคล้ายถูกคนเอาขวานจามศีรษะ พอได้สติจะเอ่ยปากกล่าววาจา ทว่าฉู่หลานพลันชิงเอ่ยวาจาก่อน “น้องสาวกระหม่อมมีนิสัยชอบกล่าววาจาตรงไปตรงมาเช่นนี้ ขอให้จักรพรรดิต้าโจว ท่านเย่าอ๋อง ยังมี เย่าหวางเฟย อย่าได้ถือสา” วาจาที่กล่าวแม้ฟังดูสุภาพ แต่คำว่า... กล่าววาจาตรงไปตรงมา...นั้น แฝงความหมายดูถูกอย่างชัดเจน เช่นนั้นคำกล่าวที่ว่าเวยเซี่ยวเป็นเพียงดอกหญ้าริมทางก็คือความคิดเห็นของไท่จื่อแห่งแคว้นชีฉู่เช่นกัน ในเมื่อเวยเซี่ยวคือนาง รังแกเวยเซี่ยวก็เหมือนรังแกนาง มีเหรือคนอย่างกู้อันเฉิงจะยอมให้สองพี่น้องต่างแคว้นมาเหยียบย่ำถึงถิ่น ฉู่ฉิงเหยียน ต้องการตำแหน่งชายาเอกแล้วคิดกดนางลงเป็นชายารองใช่มั้ย ? เอาเหอะ ถ้าแน่จริงก็ทำให้เซวียเย่าอ๋องหย่ากับเวยเซี่ยวให้ได้ก่อน มิเช่นนั้นนางก็จะไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมให้เป็น ชายาฝ่ายซ้าย ด้วย !! ปล. นานช้าเพราะยุ่งกับงาน ก็ไม่หวังว่าคนจะอ่านมากมาย หรือได้รับคอมเม้นท์ถล่มทลาย เพราะเรื่องนี้เขียนเพื่อทดสอบความสามารถของตัวเอง ขอบคุณสำหรับผู้เข้าชม ผู้เข้ามาอ่านจนจบ และผู้แค่หลงเปิดเข้ามา เห็นตอนยาวเฟื้อย ก็จากไป ขอบคุณจากใจจ้า
Create Date : 18 มีนาคม 2565 |
Last Update : 19 มีนาคม 2565 14:16:49 น. |
|
0 comments
|
Counter : 713 Pageviews. |
|
|