Welcome To ทองหลาง Bloggang ว่างๆ ก็แวะเข้ามา...ยินดีต้อนรับจ้า

ตอนที่1 ข้าคือเจ้า เจ้าก็คือข้า

จากทหารกล้า ข้ามภพมาเป็นชายาอ๋อง
บทที่ ๑
 
ท่ามกลางความฝันที่แสนสับสนกู้อันเฉิงพลันสะดุ้งตื่น ภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ห้องสลัวรางจากแสงตะเกียงในกระโจมค่ายทหารที่นางใช้ชีวิตมาเนิ่นนานแต่กลับเป็นความมืดมิดไร้ขอบเขต !! กู้อันเฉิงเอื้อมมือสัมผัสไปยังข้างตัวตามสัญชาตญาณ ไม่มีกระบี่คู่กาย ล้วงเข้าไปใต้หมอนไม่มีกริชคู่ใจ เตียงนี้หาใช่เตียงของนาง แล้วที่นี่มันคือที่ไหนกัน
แต่เพียงยกศีรษะขึ้น ก็รู้สึกวิงเวียน ความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยมากมายแล่นไหลประดังเข้ามาในหัวอย่างต่อเนื่อง! แล้วความมืดมิดก็ค่อยจางลงปรากฏภาพสถานที่แปลกประหลาดที่นางมั่นใจเป็นที่สุดว่า ไม่เคยพานพบสถานเช่นนี้มาก่อน

“คุณหนูรองฟื้นแล้ว!”

เสียงหนึ่งดังอยู่ไม่ไกลพอขยับริมฝีปากยังไม่ทันได้เอื้อนเอ่ยสอบถาม กู้อันเฉิงก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เสียงเปิด ปิดประตู และเสียงตะโกนโหวกเหวกข้างนอก

คุณหนูรองคือใคร หรือเซวียเย่าอ๋องจะรู้แล้วว่านางเป็นสตรี จึงได้ส่งนางกลับบ้าน แต่ที่นี่นางไม่คุ้นเคยเลยสักนิด ไม่อาจเป็นบ้านของนาง และที่สำคัญนางไม่มีบ้าน บ้านของนางคือค่ายทหาร

กู้อันเฉิงพยายามรวบรวมพละกำลังที่มีอยู่ทั้งหมดดันตัวขึ้นนั่ง ทว่าอาการเวียนศีรษะกลับทำให้นางต้องล้มตัวลงไปนอนหายใจรวยรินอีกครั้ง ไม่อยากเชื่อเลยว่าร่างกายที่ได้รับการฝึกฝนจนแข็งแกร่งเป็นดอกไม้เหล็ก เคยประลองกับแม่ทัพนายกองร่างกายกำยำสูงใหญ่จะอ่อนแอราวสาวน้อยไร้เดียงสาอายุไม่ถึงสิบหกเช่นนี้

“เวยเซี่ยว...ลูกแม่ฟื้นแล้ว” เสียงเปิดประตูเสียงฝีเท้าซอยถี่เข้ามาที่เตียง ทั้งร่างอุ่นหนึ่งที่โผเข้ามาดึงตัวนางขึ้นกอด ทั้งร้องไห้ฟูมฟายประหนึ่งกอดศพผู้เป็นที่รัก หาใช่ผู้รอดชีวิต

“เวยเซี่ยว? ใคร? ท่านคือใคร?”

เสียงแหบพร่าแทบจะไม่พ้นลำคอ แต่ก็ทำเอาคนที่กำลังกอดนางแน่นถึงกับชะงักดันตัวนางออกห่าง ภาพเลือนรางตรงหน้าที่ค่อยชัดขึ้น สตรีนางนี้อายุราวสามสิบ ใบหน้างดงาม แววตาอ่อนโยนไร้แววมุ่งร้าย

“นี่เจ้าเลอะเลือนถึงขั้นจำแม่ไม่ได้เชียวหรือ”

ใบหน้าที่ได้รับการตกแต่งงดงาม เผือดลงอย่างเห็นได้ชัด สายตาอ่อนโยนแปรเปลี่ยนเป็นกังวลใจ หวั่นเกรง และหลากหลายอารมณ์ที่กู้อันเฉิงไม่อาจคาดเดา

“นางเป็นอย่างไรบ้าง” เสียงหนึ่งดังมาจากทางประตูที่ยังเปิดกว้าง

“นายท่าน...นาง...นาง...”

“นางทำไม...” เสียงนายท่านเอ่ยถาม ทว่า ยังไม่ได้รับคำตอบ กลับมีอีกเสียงที่แหลมดังจนแสบแก้วหู

“คงไม่มีอะไรมากไปกว่าออดอ้อนแม่ใหญ่กลบเกลื่อนความผิด...น้องรองไม่น่าจะคิดอะไรสั้นๆ แบบนี้เลยนะเจ้าคะ...มีวาสนาจะได้เป็นถึงชายาอ๋องถือเป็นเกียรติของวงศ์ตระกูล ใช่ว่าใครต้องการก็เป็นได้ แต่นี่ไม่อยากแต่งเข้าจวนอ๋องถึงขั้นหนีตามผู้ชายไปกระโดดเหวบูชารัก”

“กระโดดเหว บูชารัก?”กู้อันเฉิงชี้นิ้วมาที่ตน คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันสมองพยายามเรียบเรียงความทรงจำที่สับสนให้เข้าที่

อันเรื่องตายเพื่อบูชารัก คนอย่างกู้อันเฉิงไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้อยู่ในหัว ทว่าการปกป้องคนที่รักแม้ต้องตายนั่นเป็นอีกเรื่อง...ฮูหยินผู้นี้เรียกนางว่าเวยเซี่ยว แต่หญิงสาวผู้มาใหม่ที่ดูใบหน้าท่าทางอ่อนกว่านางหลายปีกลับเรียกนางว่าน้องรอง...

“หุบปาก!” เฉินฮูหยินหันไปตะครอกเด็กสาวปากดีบุตรอนุภรรยา ที่มักทำอะไร พูดจาสิ่งใดข้ามหัวนางผู้เป็นฮูหยินใหญ่ของจวน ด้วยถือว่าเป็นบุตรสาวคนโตของตระกูลที่เกิดจากอนุคนโปรด

แต่สำหรับกู้อันเฉิงแล้ว นางมีเพียงพี่ชายนามกู้เหวินเป็นรองแม่ทัพ ส่วนบิดานามกู้เหยียนเป็นกุนซือผู้เฒ่าประจำกองทัพที่ใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารนอกด่าน มารดาของนางเสียชีวิตตั้งแต่นางอายุเพียงสิบสามจนบัดนี้ก็เนิ่นนานร่วมเจ็ดปี คราแรกบิดาจะทิ้งนางไว้บ้านสกุลเดิมของมารดา แล้วพาพี่ชายเข้าประจำการในค่ายทหารติดตามเทพสงครามเซวียเย่าอ๋องออกรบเหนือจรดใต้ แต่นางแอบหนีออกมาเดินทางรอนแรมติดตามบิดาและพี่ชายจนถึงค่าย อ้อนวอนขอไม่แยกจาก จนบิดาใจอ่อน แต่ด้วยกฎข้อบังคับของค่ายทหารจ้านเสิน(เทพสงคราม) ย่อมมิอาจให้สตรีอาศัยอยู่ บิดาจึงให้นางปิดบังตัวตนอาศัยฐานะกุนซือของแม่ทัพใหญ่ ส่งนางขึ้นทะเบียนเป็นพลทหารรับใช้ทั่วไปประจำหน่วยแพทย์และโรงครัวแม้แต่โรงเลี้ยงม้าก็ไม่เว้น แต่นั่นกลับทำให้นางได้เรียนรู้ วิชาการหลายแขนงจนแข็งแกร่ง ต่อให้ไม่ได้อยู่ในฐานะบุตรชายรองของกุนซือผู้เฒ่า หรือน้องชายรองแม่ทัพ ก็อย่าหวังว่าใครจะสามารถรังแกนางได้

ทว่าอีกหนึ่งความทรงจำที่ไม่คุ้นเคยกลับโลดแล่นเข้ามาแทนที่...เฉินเวยเซี่ยวคือคุณหนูรองบุตรภรรยาเอกของเสนาบดีเฉินแห่งราชวงศ์ต้าโจวที่ทั้ง ขี้ขลาด อ่อนแอ ไม่เป็นที่โปรดปรานของบิดาแตกต่างจากบุตรอนุภรรยาเฉินเหม่ยหลิง คุณหนูใหญ่ที่กำเนิดก่อนนางเพียงไม่กี่วัน นี่นางกำลังฝันร้ายอยู่ใช่หรือไม่ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างหูว่า...เฉินเวยเซี่ยวคือนาง และนางจะต้องเรียกร้องความเป็นธรรมที่สูญไปให้แก่เฉินเวยเซี่ยว

“ก็มันจริงนี่นา...แม่ใหญ่ คืนวันก่อน น้องรองหนีตามบัญฑิตไส้แห้งข้างจวนไป ไม่รู้ไปพลาดอีท่าไหนถึงได้นอนหมดสติอยู่ก้นเหว น้องรองไม่รู้หรือว่าการทำเช่นนี้ ไม่เพียงจะสร้างความอัปยศ หนำซ้ำยังจะทำให้ถูกประหารกันทั้งตระกูล”

“หุบปาก! ข้าสั่งเจ้าให้หุบปาก ไม่ได้ยินหรือไง”เฉินฮูหยินเงื้อฝ่ามือขึ้น คนปากดีรีบกระโดดเข้าแอบหลังผู้เป็นบิดา

กู้อันเฉิงนั่งฟังเรื่องราวไม่โต้แย้งความทรงจำประหลาดกลับบอกเล่าถึงสิ่งที่เด็กสาวประสบณ ภัตตาคารหรูหราที่สุดในเมืองหลวงแห่งราชวงศ์ต้าโจวเด็กสาวผู้นี้ถูกวางยาพิษ ถูกจับยัดใส่ในถุงกระสอบ ในขณะที่สติยังไม่ขาดห้วงนางก็รับรู้ถึงอาการหวาดหวิวคล้ายตกจากที่สูง กู้อันเฉิงรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ตำแหน่งหัวใจจนต้องใช้มือกุมมันไว้...ใช่แล้ว เด็กสาวผู้นี้ถูกทิ้งลงเหวจนเสียชีวิต นั่นเป็นเวลาเดียวกับที่กู้อันเฉิงกระโจนเข้าป้องกันเซวียเย่าอ๋องจากลูกเกาทัณฑ์ที่เปลี่ยนมาปักขั้วหัวใจของนางแทน

“พอเถอะ...ในเมื่อคนก็หาพบแล้ว เจ็บไข้ได้ป่วยกะทันหันคงไม่เป็นที่ผิดสังเกต ฮูหยินดูแลเปลี่ยนเสื้อผ้าเวยเอ๋อร์ให้เรียบร้อย เกี้ยวมาถึงคนต้องพร้อม เหม่ยเอ๋อร์ไปดูแม่เจ้าซิแต่งตัวเสร็จหรือยัง จะได้ออกไปรับขบวนเกี้ยวพระราชทานด้วยกัน”

พ้นร่างสองพ่อลูกที่กู้อันเฉิงเห็นเพียงครั้งก็ไม่ถูกชะตา นางคิดขยับกายลุกขึ้น กลับพบว่าร่างกายตนอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง ขนาดดีดนิ้วยังทำไม่ได้ !!นี่ไม่ใช่ความฝันแต่มันคือความจริงล้วนๆ ความจริงที่ว่าวิญญาณของนางได้ย้ายบ้านใหม่ไปซะแล้ว

“อย่าเพิ่งขยับ เจ้าต้องการอะไร จะดื่มน้ำใช่หรือไม่ รอเดี๋ยวแม่จะไปเอาให้”

น้ำเสียงอ่อนโยนนั้นทำให้กู้อันเฉิงพยักหน้า และปฏิบัติตามอย่างว่าง่าย มารดาของเวยเซี่ยวประครองนางพิงหมอนก่อนจะผละไปยังโต๊ะกลางห้องเผื่อรินน้ำ

แม้รับไม่ได้กับประสบการณ์อันเลวร้ายที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวกับเจ้าของร่างเดิมที่เพิ่งเผชิญ ทว่าการเป็นทหารมาหลายปี ได้พบเจอทั้งผู้คนและเหตุการณ์หลายรูปแบบ ทำให้สามารถตั้งสติควบคุมอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว แม้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มืดมนและไม่คุ้นเคย สิ่งที่อันตรายที่สุดไม่ใช่ความไม่รู้ แต่มันคือความร้อนรนและขาดสติเมื่อควบคุมสติให้เยือกเย็นลงได้กู้อันเฉิงกลับได้กลิ่นหอมแปลก ๆ คล้ายจะเป็นกลิ่นยาจีนอะไรสักอย่างหนึ่ง

“ดื่มยานี่ก่อนค่อยดื่มน้ำ จะได้มีกำลังลุกขึ้นมาแต่งตัว”

เฉินฮูหยินยกถ้วยยาขึ้นป้อนถึงปาก ยาค่อนข้างขมจัด แต่กู้อันเฉินก็ดื่มได้จนหมด ก่อนจะดื่มชาล้างปากอีกถ้วย

เฉินฮูหยินเก็บถ้วยยาและถ้วยชาส่งให้สาวใช้ ก่อนจะสั่งให้ไปหยิบชุดที่วางอยู่บนชั้นมาให้  ชุดนี้สีแดงสด ปักลวดลายงดงามนัก ไม่ต้องมีใครบอกนางก็พอดูออกว่านี่คือชุดเจ้าสาว

“แม่รู้ว่าเจ้าไม่ยินดีแต่งให้ท่านอ๋อง...แต่นี่เป็นสมรสพระราชทาน เราไม่อาจขัดราชโองการได้ แม่ขอให้ลูกเสียสละเพื่อความอยู่รอดของคนในจวนเกือบร้อยชีวิตเถิดนะลูกรัก”

ก่อนหน้าจะเกิดเหตุเด็กสาวผู้นี้กำลังจะแต่งงาน ฟังจากคำพูดของคุณหนูใหญ่เจ้าบ่าวมีฐานะระดับอ๋อง สูงส่งปานนั้นไม่น่าเชื่อว่าคนหัวอ่อนขลาดกลัวอย่างเฉินเวยเซี่ยวจะกล้าหนีตามผู้ชาย ในความทรงจำนั้นไม่ใช่อย่างแน่ นางถูกฆาตกรรมชัดๆ แต่ใครเล่าที่อยู่เบื้องหลัง ใครกันอยากให้นางตาย เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำ...กู้อันเฉิงยินดีตามหาความเป็นธรรมให้แก่นางจนถึงที่สุด ตอบแทนเจ้าของร่างที่ให้นางมีโอกาสได้หายใจอีกครั้งนางยังมีโอกาสหาทางกลับบ้าน ค่ายจ้านเสินคือบ้านของนาง เจ้าบ่าวเป็นถึงอ๋องจะอ๋องอะไรก็แล้วแต่ ย่อมหมายความว่าเจ้าบ่าวของนางต้องรู้จักเซวียเย่าอ๋อง นั่นถือเป็นเรื่องดีที่นางจะหาทางกลับไปใช้ชีวิตกับบิดาและพี่ชาย รวมไปถึงปกป้องแผ่นดิน ปกป้องเซวียเย่าอ๋องด้วยความภักดี

“ได้...ข้าจะแต่ง...”

เพียงคำตอบนี้ก็ทำให้เฉินฮูหยินยิ้มได้ทั้งน้ำตา
 

ขบวนเกี้ยวที่ถูกส่งมารับเจ้าสาวถือได้ว่าสมหน้าตาของอัครเสนาบดีแห้งต้าโจว ทว่าบุรุษหน้าตาคมคายที่นั่งอยู่บนหลังอาชาสีขาวราวหิมะตรงหน้ากลับไม่ใช่เจ้าบ่าว กู้อันเฉิงพอจับใจความจากการสนทนาได้ว่า ท่านอ๋องปฏิบัติภารกิจอยู่ชายแดนกำลังเร่งเดินทางมาจวนถึงแล้ว แต่เพื่อไม่ให้เสียฤกษ์ องค์ชายห้าผู้เป็นหลานชายจึงขันอาสามารับเจ้าสาวแทน...แต่เดี๋ยวนะ...องค์ชายห้าเป็นหลานชายในที่นี้ไม่ได้ระบุว่าเป็นพี่น้อง นั่นหมายความว่าเจ้าบ่าวไม่ใช่โอรสของฮ่องเต้ ถ้าไม่ใช่ลูกฮ่องเต้ก็ต้องเป็นพี่เป็นน้องกับฮ่องเต้ ตายล่ะเจ้าบ่าวคงไม่แก่คราวพ่อหรอกนะ...แย่จริงทำไมนางไม่สนใจไต่ถามอายุอานามของเจ้าบ่าว...กู้อันเฉิงได้แต่นึกเสียดายอยู่ในใจ

กู้อันเฉิงถูกประครองขึ้นเกี้ยวด้วยความระมัดระวัง ในสายตาของทุกคนเวลานี้นางก็คือคนป่วยคนหนึ่งที่ไร้เรี่ยวแรง อันที่จริงพละกำลังของนางค่อยๆฟื้นตัวขึ้นทีละน้อย เมื่อนางพยายามเดินลมปราณรักษาอาการบาดเจ็บภายในของตน ต้องขอบคุณโชคชะตาที่ยังถ่ายทอดความรู้ความทรงจำติดตัวมาจนถึงชาตินี้ การใช้ชีวิตในค่ายทหารใช่ว่านางจะได้เพียงการฝึกวิชาต่อสู้เท่านั้น แต่สิ่งที่นางได้รับนั้นมีมากล้นเกินกว่าทหารตำแหน่งเล็กๆ ผู้หนึ่งพึ่งได้รับ นางได้รับการถ่ายทอดความรู้จากบิดาผู้ชำนาญการวางแผน ได้ฝึกยุทธ์จากพี่ใหญ่ที่มีฝีมือล้ำเลิศจะเป็นรองก็เพียงเซวียเย่าอ๋องเท่านั้น นางรู้เรื่องยารู้วิธีการรักษาแม้กระทั่งเรื่องพิษต่างๆจากหมอทหารผู้เฒ่าของค่ายที่มีฝีมือระดับหมอหลวง แต่สิ่งที่นางภูมิใจมากที่สุดก็คือเมื่ออายุสิบสามนางได้กราบพ่อครัวเฒ่าประจำค่ายเป็นอาจารย์อย่างลับๆ

ตาเฒ่าเสินอู่ไม่ได้เป็นเพียงพ่อครัวธรรมดา ทว่าเขาคือยอดฝีมือทั้งด้านวิชายุทธ์และพลังลมปราณที่แฝงตัวอยู่ในค่ายมาเนิ่นนาน จะด้วยเหตุผลใดใครก็มิอาจรู้ว่าตาเฒ่าเสินอู่เข้ามาหลบอยู่ในค่ายด้วยเหตุผลกลใด จะว่ามาเพื่ออารักขาเซวียเย่าอ๋องดูแล้วไม่น่าใช่ เพราะเขาจะไม่ออกจากกระโจมครัวแม้สักก้าวหากไม่เหตุจำเป็น แม้แต่ยามสงคราม ตาเฒ่าเสินอู่ยังไม่เคยคิดอาสาออกรบแนวหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านแม่ทัพใหญ่เลยแม้สักครั้ง นอกจากส่งของกินสูตรพิเศษให้เหล่าทหารหาญ อาหารของเสินอู่เหล่าทหารในค่ายต่างรู้จักกันดี กินแค่หนึ่งมื้อ ท้องจะอิ่มไปได้ถึงสามวัน

ระหว่างเส้นทางกู้อันเฉิงแหวกม่านหน้าต่างดูชีวิตความเป็นอยู่ของเหล่าคนเมืองที่น้อยครั้งนักที่นางจะมีโอกาสได้เข้ามาสัมผัส ในความทรงจำส่วนของกู้อันเฉิง เมื่อปีก่อนจำได้ว่าเคยติดตามเซวียเย่าอ๋องกลับจวนอยู่ครั้งหนึ่ง ปีนั้นไม่รู้ว่านางไปทำอะไรให้ถูกตาต้องใจเทพสงครามเข้า จู่ๆก็ได้รับคำสั่งจากเซวียเย่าอ๋องให้เข้าไปเป็นทหารรับใช้ประจำตัวที่ต้องทำหน้าที่ปรนนิบัติดูแลอย่างใกล้ชิด นั่นทำให้ทหารตัวเล็กๆอย่างกู้อันเฉิงสามารถยืดอกได้อย่างสง่าผ่าเผยในฐานะทหารคนสนิท แม้ท่านพ่อและพี่ใหญ่ค่อนข้างกังวลแต่คำสั่งเทพสงครามเซวียเย่าอ๋องคือประกาศิตไม่อาจขัดขืน อีกทั้งหากยิ่งดึงดันไปก็ยิ่งจะสร้างความสงสัยให้เกิดขึ้น

สำหรับกู้อันเฉิงแล้วในเรื่องนี้จากประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในค่ายทหารมาหลายปีนางกลับไม่รู้สึกกังวลเลยแม้แต่น้อย นางรู้ดีว่าจะอาศัยอยู่ร่วมกับเซวียเย่าอ่องแบบไหนถึงจะปลอดภัยความลับไม่ถูกเปิดเผย จะว่าไปแล้วความรู้สึกตอนนั้นของนางค่อนไปทางดีใจซะด้วยซ้ำ ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้นมีเพียงเรื่องเดียวที่สร้างความหนักใจ นั่นก็คือความรู้สึกอ่อนไหวภายในจิตใจที่แม้กับเหล่าพลทหารทั้งค่ายสายตาพวกเขาล้วนไม่อาจทำอะไรนางได้ แตกต่างจากทุกครั้งที่ถูกเจ้าเทพสงครามเซวียเย่าผู้นั้นจับจ้อง สายตาคมกล้าที่มองนิ่งมองนานมองแบบพินิจพิจารณามันทำให้นางรู้สึกเสียวสันหลังหัวใจเต้นรัวหายใจไม่ทั่วท้องเสียทุกที แต่ในทางกลับกันนางเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบมองเจ้าเทพสงครามเซวียเย่าอ๋อง ความหล่อเหลาแข็งแกร่งน่าเกรงขามเป็นเสมือนแรงดึงดูดที่ยากจะถอนสายตาออกให้ห่างได้ ยิ่งมองก็ยิ่งชื่นฉ่ำหัวใจ แต่ในสภาพเช่นนั้น รูปร่าง หน้าตาของนางที่จะเป็นหญิงก็ไม่ใช่เป็นชายก็ไม่เชิง อีกทั้งฐานะทหารผู้น้อยที่แสนจะต่ำต้อยอย่างนั้น การได้เป็นทหารรับใช้คนสนิทของแม่ทัพใหญ่เซวียเย่าอ๋อง เทพสงครามแห่งราชวงศ์ต้าโจว ก็ถือว่ามีวาสนามากล้นแล้ว ความตั้งใจเดิมของนางคือการปกป้องดูแลพ่อ พี่ชาย แต่สุดท้ายเซวียเย่าอ๋องกลับกลายมาเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่นางต้องปกป้องด้วยชีวิต

ขบวนเกี้ยวเจ้าสาวเดินทางมาจนถึงหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ แห่งหนึ่ง สองข้างประตูประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสีแดง อีกทั้งแผ่นอักษรมงคลที่กู้อันเฉิงเห็นเพียงเลือนลางเมื่อมองผ่านผ้าคลุมด้วยตอนนี้กู้อันเฉิงอยู่ในฐานะเจ้าสาวผู้มีอาการป่วยไข้ จึงทำได้เพียงเดินตามแรงพยุงของสาวใช้ผู้ติดตาม ข้ามกระถางเพลิง กระทั่งไปหยุดยืนอยู่ข้างใครคนหนึ่ง เมื่อมองลอดชายผ้าคลุมหน้าจึงเห็นชุดสีแดงสดตั้งแต่ช่วงเอวไปถึงรองเท้าบุคคลผู้นี้คงเป็นเจ้าบ่าวที่นางไม่ใส่ใจอยากรู้แม้แต่น้อยว่าจะมีหน้าตาเช่นไร อย่าว่าแต่เรื่องหน้าตาเลย แม้แต่ชื่อนางยังไม่คิดอยากจะถามถึง เพราะนางไม่ได้มีความคิดว่าจะใช้ชีวิตอยู่ในฐานะชายาอ๋องไปตลอด

พิธีดำเนินไปจนแล้วเสร็จ กู้อันเฉิงทำตัวเหมือนตุ๊กตาที่ถูกชักใย จะให้ทำอะไรนางก็ทำตามอย่างว่าง่าย ไม่คิดถือเป็นจริงเป็นจัง จนในที่สุดก็ถูกส่งให้มานั่งรอเจ้าบ่าวอยู่ในห้องหอ

กู้อันเฉิงไม่จำเป็นต้องรอให้เจ้าบ่าวกลับมาเปิดผ้าคลุมหน้า นางเลิกชายผ้าขึ้นวางบนศีรษะ กวาดสายตาไปรอบห้องม่านคลุมเตียง ผ้าห่มตลอดจนเครื่องประดับห้องทุกอย่างล้วนเป็นสีแดง แต่กลับมีสิ่งหนึ่งที่เป็นสีขาว นั่นคือผ้าผืนบางที่วางพาดผ่านกลางเตียง นี่ทำให้นางนึกอะไรบางอย่างที่สำคัญมากของลูกผู้หญิงในคืนเข้าหอ นางมองข้ามไปได้เช่นไร

“ตายล่ะ! จะทำยังไงดี”

ถึงร่างนี้ไม่ใช่ของกู้อันเฉิง แต่ความรู้สึกต่างๆล้วนเป็นของนางใช่ว่านางจะสามารถเข้าหอกับใครก็ได้ แม้ผู้นั้นจะมีฐานะสูงส่งปานใดก็ตาม กู้อันเฉิงเริ่มวิตก รู้สึกได้ถึงเหงื่อชื้นๆที่กำลังไหลซึมลงมาข้างขมับ การหาวิธีเอาตัวรอดย่อมไม่ใช่แค่เอาตัวรอดจากปัญหาซึ่งหน้าเวลานี้ ทว่านางต้องคิดไกลเผื่อไปถึงวันข้างหน้า สติมาปัญญาเกิด...แต่ก่อนที่สตินางจะมาท้องนางต้องอิ่มก่อน เบื้องหน้ามีสุรามงคลอยู่หนึ่งกา อาหารชั้นเลิศอีกสี่ห้าอย่าง คงพอประทังความหิวของนางให้บางเบาลงไปได้ คาดว่าเจ้าบ่าวคงอิ่มหนำจากการร่วมดื่มกินกับแขกภายนอกแล้ว

หลังเก็บกวาดอาหารชั้นดีสุราชั้นเลิศลงกระเพาะย่อมๆ จนเกลี้ยงแล้ว คงเพราะร่างกายนี้ไม่ค่อยได้สัมผัสสุรานัก เหล้าแค่กาเดียวก็เล่นเอากู้อันเฉิงถึงกับมึนศีรษะ นางกลับมานั่งคิดหาทางหนีทีไล่อยู่บนเตียง ผ้าคลุมถูกนำกลับมาคลุมไว้เช่นเดิม เฝ้ารอเวลาที่จะได้เผชิญหน้ากับเจ้าบ่าว นางคิดคำนวณในใจว่า อาจต้องเปิดเจรจากันต่อหน้าเรื่องการ
อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แต่หากอีกฝ่ายไม่ยินยอมก็คงต้องใช้กำลังไม่รู้เนิ่นนานล่วงเลยไปกี่ชั่วยาม กู้อันเฉิงนั่งจนปวดเมื่อยไปทั้งหลังเจ้าบ่าวก็ยังไม่เข้ามาเปิดผ้าคลุมหน้าให้นางซะที เมื่อนั่งไม่ไหวนางก็ไม่คิดจะนั่งต่อ เอนตัวพิงหมอนรอก็น่าจะสบายขึ้นบ้าง สุดท้ายการเอนตัวพิงหมอนในท่าสบายของนางก็นำให้นางผล็อยหลับไป ไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็นเจ้าบ่าวที่เปิดประตูเข้ามาอย่างเงียบเชียบ เขามองไปยังโต๊ะกลมปูด้วยผ้าสีแดง บนนั้นมีจานที่ปราศจากอาหาร จับกาสุราขึ้นเขย่าเบาๆข้างในน่าจะเหลือสุราอยู่นิดหน่อย จึงยกทั้งกาเทสุราที่เหลือลงคอจนหมด ถือว่านี่คือการดื่มเหล้ามงคลกับเจ้าสาวก็แล้วกัน ดูท่าของพวกนี้น่าจะถูกเจ้าสาวจัดการไปเรียบร้อยแล้ว อ๋องหนุ่มเดินตรงมาทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียง ผ้าคลุมหน้าถูกดึงออกไปอย่างเบามือ แสงเทียนมงคลส่องให้เห็นใบหน้างดงาม อ่อนเยาว์ขาวผ่องของดรุณีวัยแรกผลิ ทว่าสายตาที่พินิจพิศมองกลับไม่ได้มีแววชื่นชมยินดี หรือหลงใหลใบหน้างดงามนี้แม้แต่น้อย ยังไงซะนางก็แค่ตุ๊กตาประดับจวน แตกต่างจาก...แววตาแข็งกร้าวไหววูบเมื่อคิดไปถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับใครคนหนึ่ง คนที่ในด้านมุมส่วนใหญ่ของนางไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือฐานะ มิอาจเทียบเท่าคุณหนูบุตรีฮูหยินใหญ่ของอัครเสนาบดีคนนี้เลยแม้แต่น้อย ทว่านางกลับสร้างความทรงจำอันยิ่งใหญ่ให้แก่เขาชนิดที่ว่าแม้จวบถึงวันตายก็ยากจะลืมเลือน

“ใครอยู่ข้างนอก...เข้ามา...” น้ำเสียงทรงพลังดังราชสีห์ออกคำสั่งเสร็จสิ้นไม่ถึงอึดใจประตูห้องหอก็เปิดออกกว้างพอให้ข้ารับใช้วัยชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาค้อมตัวคารวะ

“ท่านอ๋องมีสิ่งใดจะสั่งหรือขอรับ”

“ประเดี๋ยวไปปัดกวาดเรือนไผ่งาม”

พ่อบ้านหม่าเงยหน้ามองประมุขจวนด้วยสีหน้างวยงง
“จะให้พระชายาไปอยู่ที่นั่นหรือขอรับ”

"ข้าจะไปพักที่นั่นสักระยะหนึ่ง”

“แต่ว่าท่านอ๋อง...เรือนไผ่งามอยู่ด้านในสุดของจวนทั้งเล็กและรกห่างไกลจากที่นี่มากอยู่นะขอรับ”พ่อบ้านหม่าเอ่ยเตือน

“ข้ามีภารกิจที่ต้องทดสอบสมรรถภาพของกองทัพ ไปจัดการตามที่บอก”

“แล้วคืนนี้...”

“ข้าจะอยู่ห้องหนังสือ ห้ามใครเข้าไปรบกวน”

น้ำเสียงสั่งการเฉียบขาดก่อนจะเดินพ้นประตูออกไป ไม่ว่าใครก็มิอาจทัดทานเปลี่ยนแปลง พ่อบ้านชราได้แต่โค้งตัวคำนับตอบรับคำสั่ง นึกเห็นใจชายาอ๋องผู้นี้ยิ่งนัก ไม่รู้นี่คือวาสนาดีหรือว่าชะตาร้ายที่ต้องแต่งเข้าจวนอ๋องแห่งนี้ เซวียเย่าอ๋องเป็นทายาทตระกูลแม่ทัพมาตั้งแต่ต้นปฐมกษัตริย์ที่มีความสามารถเก่งกาจ น่าเกรงขาม รบชนะเหนือจรดใต้จนได้สมญาเทพสงครามได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์แต่งตั้งเป็นจวิ้นอ๋อง เป็นบุรุษผู้ไม่เคยเหลือบแลสตรีใด เล่าขานกันว่าโหดร้ายจนแม้แต่ยุงตัวเมียก็ยังไม่กล้าบินผ่านค่าย การแต่งงานครั้งนี้หากมิใช่เป็นสมรสพระราชทาน เกรงว่าพ่อบ้านผู้เฒ่าอย่างเขาคงไม่มีโอกาสเห็นคุณชายใหญ่ตระกูลเซวียกลับจวนเป็นแน่

 
ฟ้ายังมิทันสาง เสียงไก่ขันแว่วๆอยู่ภายนอกปลุกให้กู้อันเฉิงขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบห้องหอทุกอย่างยังดูปกติ หมอนไม่มีร่องรอยคนนอนเคียงข้าง ดูท่าเมื่อคืนคงถูกทิ้งให้เฝ้าหอเพียงลำพัง ก็ดี...นี่แสดงให้เห็นว่าอ๋องผู้นี้ไม่ได้ยินดีกับการแต่งชายาสักเท่าใดนัก หากพบหน้าเรื่องการเจรจาต่อรองก็ไม่ใช่เรื่องยาก

“พระชายาตื่นแล้ว ล้างหน้าล้างตาหน่อยนะเจ้าคะ” ถานเอ๋อร์สาวใช้ประจำตัวของเวยเซี่ยวเอ่ยเมื่อเปิดประตูเข้ามาพร้อมหิ้วชามใบใหญ่ใส่น้ำไว้กว่าครึ่ง “ทำไมพระชายายังอยู่ในชุดนี้ แล้วท่านอ๋องล่ะเจ้าคะ”

“เจ้าถามข้าแล้วข้าต้องถามใคร” กู้อันเฉิงเอ่ยแบบไม่ใส่ใจ

ถานเอ๋อร์จัดการดูแลคุณหนูของนางอย่างพิถีพิถันตั้งแต่ล้างหน้าสีฟันยันเปลี่ยนเสื้อผ้าจากชุดแต่งงานสีแดงสดมาเป็นชุดกระโปรงสีขาวธรรมดาๆสำหรับคุณหนูผู้สูงศักดิ์ทว่ากู้อันเฉิงผู้เคยสวมแต่ชุดทหารรู้สึกกระอักกระอวนใจอยู่ไม่น้อยกับการถูกปรนนิบัติประหนึ่งทารกแบเบาะแต่เมื่อหมุดตัวมองเรือนร่างนี้ผ่านกระจกทองแดง มิอาจไม่ยอมรับว่าร่างนี้เป็นดรุณีน้อยที่งดงามยิ่งนัก

พระชายาช่างงดงามจริงๆ ”

“เรียกข้าเหมือนเดิมที่เจ้าเคยเรียกเถอะ เรียกพระชายา ข้าไม่คุ้นชิน”

“จะดีหรือเจ้าคะ”

“เถอะน่า...สำหรับเจ้าคนสนิทของข้า ข้าอนุญาต”

เพียงแค่นี้ถานเอ๋อร์ก็ฉีกยิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ หมายมั่นตั้งใจปรนนิบัติพระชายาจะไม่ยอมให้มีขาดตกบกพร่องแม้แต่เรื่องเดียว

เสียงเคาะประตูจากภายนอกดังขึ้น กู้อันเฉิงสั่งให้ถานเอ๋อร์ไปเปิดประตู พบชายสูงวัยมาพร้อมบ่าวรับใช้อีกสองคนยืนรออยู่ภายนอก

“มีเรื่องอันใด?” กู้อันเฉิงเอ่ยถามออกไป ในจวนอ๋องแห่งนี้นางยังไม่ไว้วางใจใครพอที่จะให้เดินผ่านประตูเข้ามาโดยง่าย

“ท่านอ๋องให้มาเตือนพระชายา เช้านี้ต้องเข้าวังไปถวายพระพรฮ่องเต้ขอรับ” พ่อบ้านผู้เฒ่าค้อมตัวรายงานอย่างสุภาพ

“แล้วท่านอ๋องล่ะ”

“รับประทานมื้อเช้าเรียบร้อยแล้ว ท่านอ๋องกำลังรอพระชายาอยู่หน้าจวนขอรับ”

“รับประทานมื้อเช้าแล้ว? ตั้งแต่ไก่โห่นี่นะ แถมยังไม่เชิญพระชายาร่วมโต๊ะ นี่หมายความว่าอย่างไร” ถานเอ๋อร์ถามออกไปด้วยความไม่พอใจ คุณหนูของนางถูกหมางเมินตั้งแต่คืนเข้าหอแล้วยังไม่พอ แม้แต่อาหารมื้อเช้าท่านอ๋องยังไม่สนใจจะให้ร่วมโต๊ะ

“แล้วท่านอ๋องรับประทานอาหารที่ใด”กู้อันเฉินถามไปตามธรรเนียม อย่างน้อยใครก็ไม่อาจพูดได้ว่านางไม่ใส่ใจสามี

“ที่เรือนไผ่งามขอรับที่นั่นใกล้ลานฝึก ท่านอ๋องบอกว่าช่วงนี้มีงานฝึกทหารจำเป็นต้องพำนักที่นั่นชั่วระยะหนึ่ง” พ่อบ้านชราเอ่ยแล้ว ก็ค่อยสังเกตสีหน้าผู้เป็นนายหญิงคนใหม่ของจวน เขาพยายามหาเหตุผลที่ฟังแล้วเข้าทีในการอธิบาย เพื่อมิให้เกิดเรื่องผิดใจกันเพียงวันแรกที่ได้อยู่ร่วมฐานะสามีภรรยาระหว่างเซวียเย่าอ๋องกับหวางเฟย

“ถึงพำนักที่เรือนหลักของท่านอ๋องเจ้านายข้าก็หาใช่คนเรื่องมาก” ถานเอ๋อร์แย้ง

“หากท่านอ๋องพำนักอยู่ที่นี่ จะมีทหารเดินเข้าเดินออกแทบทุกชั่วยาม อาจสร้างความรำคาญให้พระชายา”พ่อบ้านหาข้ออ้างได้ลงตัวนัก

 “คุณหนูของข้าเป็นถึงบุตรีภรรยาเอกของจวนเสนาบดี แต่งเข้าจวนอ๋องในฐานะชายาเอก ท่านอ๋องทำเช่นนี้ช่างไม่เห็นแก่หน้า...”ถานเอ๋อร์พยายามเรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณหนูของนาง

“ช่างเถอะ... ข้าเองก็ต้องการความสงบ แต่ก่อนจะไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ รบกวนพ่อบ้านยกสำรับอาหารมาที่นี่ ข้าจะทานมื้อเช้าก่อนไป” กู้อันเฉิงกล่าวแทรก ตอนแรกนางเองก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกหยามศักดิ์ศรีของสตรี หากเป็นสตรีอื่นถูกทิ้งร้างไร้ความใส่ใจจากสามีตั้งแต่คืนเข้าหอ พวกนางคงร้องไห้คร่ำครวญหรือไม่ก็เอาหัวชนเสาตาย แต่พอได้ยินว่าจวนอ๋องแห่งนี้มีลานฝึกทหาร นางกลับยินดียิ่ง นี่เป็นโอกาสเหมาะที่นางจะได้ฝึกฝนร่างกายที่เปราะบางนี้ให้แข็งแกร่งดังเดิม

“ได้ขอรับ” พ่อบ้านโค้งคำนับก่อนจะหันหลังกลับ

“เดี๋ยว...ข้ายังไม่สั่งรายการอาหารเลย”

“ขอรับ...” พ่อบ้านหันกลับมายิ้มรับคำสั่ง ใจไม่ได้คิดอะไรมากเกินไปกว่าพระชายาคงต้องการรับประทานอาหารโปรดที่คุ้นเคย

“ข้าต้องการเนื้อไม่ติดมันย่างสุกพอดีอย่าเกรียมมากสักหกชั่ง ไข่ต้มสิบฟอง แตงกวาห้าลูก ผักสดสักจาน อ้อ...อย่าลืมข้าวอีกสองถ้วย”

รายการอาหารที่พระชายาสั่งนั้นทำเอาพ่อบ้านผู้เฒ่าถึงกับอึ้งทำตาโตไม่วายยกแขนเสื้อขึ้นปาดเหงื่อ ก่อนจะคำนับอีกครั้งแล้วถอยหลังออกไป

“เดี๋ยว”

เสียงเรียกของพระชายาดังขึ้นก่อนที่พ่อบ้านชราจะออกไปพ้นประตู พ่อบ้านหม่าหันกลับมารอรับคำสั่งอีกรอบ ในใจคิดว่าพระชายาคนนี้ดูแปลก แตกต่างจากคุณหนูสูงศักดิ์คนอื่นๆที่เขาเคยเห็นมา นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่มิใช่หรือ เหตุใดอาหารการกินของนางถึงเรียบง่ายและมีปริมาณมากมายปานนี้ หรือว่าพระชายาจะถูกผีสุกรเข้าสิง

“พระชายามีอะไรจะสั่งเพิ่มขอรับ”

“เรื่องอาหารการกินของข้า ต่อไปข้าจะให้สาวใช้ส่งรายการอาหารไปให้ล่วงหน้าทุกวัน วานท่านพ่อบ้านช่วยจัดอาหารให้ตามรายการนั้นด้วย จะได้หรือไม่”

เหมือนจะเป็นคำขอร้อง แต่พ่อบ้านหม่ารู้ดีว่านี่คือคำสั่ง เป็นคำสั่งของชายาอ๋องที่เขาไม่อาจปฏิเสธหรือโต้แย้งหากไม่เหลือบ่ากว่าแรงในการจัดสนองความต้องการ พ่อบ้านหม่าโค้งคำนับรับคำสั่งอีกครั้งก่อนจะดึงบานประตูปิดเข้าหากันดังเดิม

“คุณหนู! จะรับประทานแบบนั้นได้หรือเจ้าคะ”แม้แต่ถานเอ๋อร์ยังทำตาโตเท่าไข่เป็ด

“ทำไมจะไม่ได้ ก็แค่เนื้อไม่กี่ชั่ง ไข่ไก่ไม่กี่ฟอง แตงกวาไม่กี่ลูก ผักสดตามฤดู มีอะไรน่าแปลก”

“มันเยอะเกินไป คุณหนูไม่เคยทานอาหารประเภทนี้ และเยอะขนาดนี้” ถานเอ๋อร์แย้ง

“มิน่า ร่างกายนี้ถึงได้ผอมโซ ไร้เรี่ยวแรง นี่แค่เล็กน้อยพอให้กระเพาะคุ้นชิน เห็นทีข้าต้องขุ่นตัวเองซะแล้วล่ะ จะค่อยๆเพิ่มปริมาณอาหารให้มากขึ้นกว่านี้อีก เจ้าเองก็ต้องกินเหมือนอย่างที่ข้ากิน ต่อไปใครก็ไม่อาจรังแกเจ้าได้” กู้อันเฉิงเอ่ยก่อนจะหันมาสนใจชุดที่ตนสวมใส่ “ข้าไม่ชอบชุดนี้ ดูรุ่มร่ามพิลึก ไว้กินข้าวเสร็จเจ้าไปหาชุดใหม่มาเปลี่ยนให้ข้าที ขอชุดที่ดูรัดกุมกว่านี้หน่อย”

“ชุดรัดกุมไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูต้องเข้าเฝ้าฮ่องเต้ ชุดที่สวมก็ต้องเป็นชุดกึ่งพิธีการหน่อย บ่าวจำได้ว่าเอามาจากจวนหลายชุด รอสักครู่นะเจ้าคะ...”

ถานเอ๋อร์รีบรุดออกไปจากห้องเพื่อหาชุดใหม่มาเปลี่ยน พอกลับมาถึงก็พบว่าอาหารที่สั่งถูกนำมาวางไว้เต็มโต๊ะเรียบร้อยแล้ว

“กินแล้วค่อยเปลี่ยนชุด” กู้อันเฉิงสั่ง ก่อนจะนั่งลง ทั้งพยักหน้าให้สาวใช้นั่งร่วมโต๊ะกับนาง แม้คราแรกถานเอ๋อร์จะยังอิดออดลังเล แต่เมื่อเห็นสายตาคมดุที่จ้องมองนั้นนางก็รีบปฏิบัติตามทันที นับจากนี้คำสั่งของคุณหนูรองคือประกาศิต ถานเอ๋อร์มิอาจไม่ทำตาม

ที่แท้อาหารที่สั่งมามากมายคุณหนูสั่งมาเผื่อนาง คุณหนูให้นางร่วมโต๊ะรับประทานอาหารถือว่าเป็นวาสนาสุดหาใดเปรียบ ทว่าคำสั่งที่ให้นางกินเนื้อสามชั่ง กินไข่ต้มห้าฟอง รวมไปถึงข้าวหนึ่งถ้วยและผักอีกครึ่งจานนี่สิ ตัวนางเล็กแค่นี้ ตัวคุณหนูของนางยิ่งบอบบางเข้าไปใหญ่ไฉนเลยจะจัดการได้หมด แต่ผิดคาดสุดท้ายบนโต๊ะอาหารก็หลงเหลือเพียงจานเปล่า ไม่เหลือเศษข้าวติดถ้วยเลยแม้สักเม็ด ไม่อยากจะเชื่อ นี่คือคุณหนูรองผู้บอบบางที่ไม่มีแม้กระทั่งแรงเชือดไก่ของนางจริงๆหรือ


 




 

Create Date : 13 มกราคม 2565
0 comments
Last Update : 22 มีนาคม 2565 10:46:12 น.
Counter : 1353 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


นิยายฝันหวาน
Location :
มหาสารคาม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 13 คน [?]




เชิญอ่านนิยายสนุกๆ สไตล์นิยายฝันหวาน



Writer By tonglang
: Copyright © 1999-2008
ข้อตกลง
1. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้เป็นผลงานที่แต่งโดยผู้ลงผลงานเอง ลิขสิทธิ์ของผลงานนี้จะเป็นของผู้ลงผลงานโดยตรง ห้ามมิให้คัดลอก ทำซ้ำ เผยแพร่ ก่อนได้รับอนุญาตจากผู้ลงผลงาน

2. กรณีที่ผลงานชิ้นนี้กระทำการคัดลอก ทำซ้ำ มาจากผลงานของบุคคลอื่นๆ ผู้ลงผลงานจะต้องทำการอ้างอิงอย่างเหมาะสม และต้องรับผิดชอบเรื่องการจัดการลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว

3. ผู้ใดพบเห็นการลงผลงานที่ละเมิดลิขสิทธิ์ โปรดแจ้งเจ้าของบล็อกทันที


Group Blog
 
 
มกราคม 2565
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
13 มกราคม 2565
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add นิยายฝันหวาน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.