คำว่าป่าดงพญาเย็นนั้นได้ถูกกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว จากหลักฐานจากบทพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เรื่อง เที่ยวตามทางรถไฟ ได้ทรงเล่าถึงป่าดงพญาไฟไว้ว่า"ดงพญาไฟนี้ เป็นช่องสำหรับข้ามไปมา ระหว่างเมืองสระบุรีกับมณฑลนครราชสีมาแต่โบราณ ไปได้แต่โดยเดินเท้า จะใช้ล้อเกวียนหาได้ไม่ด้วยทางต้องเดินตามสันเขาบ้าง ตามไหล่เขาบ้าง คนเดินตามปกตินั้นตั้งแต่ตำบลแก่งคอย ต้องค้างคืนในป่านี้ถึง 2 คืน ถึงจะพ้น"
"สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเคยพระราชดำริไว้ว่า ไม่ควรเรียกดงพญาไฟเพราะให้คนครั่นคร้ามจึงทรงกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอให้เปลี่ยนชื่อจาก ดงพญาไฟ เป็น ดงพญาเย็นแต่หลายคนยังคงเรียกว่า ป่าดงพญาไฟอยู่ดั้งเดิม"
ภายหลังเมื่อมีการสร้างทางรถไฟและถนนมิตรภาพจากภาคกลางไปสู่ภาคอีสาน ผู้คนเริ่มที่จะอพยพเข้าไปแล้วถากถางป่าทำไร่ทำนาโดยเฉพาะบริเวณอำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมาขอขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียวัดพระฉายตั้งอยู่บริเวณเนินเขาเชิงเขาดงพยาเย็น ด้านจังหวัดสระบุรีในปัจจุบัน
ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่ เป็นแหล่งมรดกโลกแหล่งที่ 5 และเป็นลำดับที่ 2 ของมรดกทางธรรมชาติของไทยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 10–17 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 ณ เมืองเดอร์บัน ประเทศแอฟริกาใต้ ประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติ 4 แห่ง และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอีก 1 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ 6 จังหวัดได้แก่ นครราชสีมา สระบุรี นครนายก ปราจีนบุรี สระแก้ว และบุรีรัมย์ มีพื้นที่รวมทั้งสิ้นราว 3,874,863 ไร่ หรือ 6,155 ตารางกิโลเมตร ถูกเรียกว่าเป็น ผืนป่าตะวันออก เพื่อเทียบเคียงกับ "ผืนป่าตะวันตก" บริเวณภาคตะวันตกของไทยจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีคลิกที่นี่ผังแผนที่บริเวณอนุสรณ์สถานพระบวรราชวังสีทา ที่กรมศิลปกรขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญทางประวัติศาสตร์ ก่อเกิดดงพยาไฟเปลี่ยนเป็นดงพยาเย็นในปัจจุบันพศ.2563=2020