|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
เมื่อป่วย..จะเข้าโรงพยาบาลรัฐหรือเอกชนดีหนอ....
สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ชาวบล้อคและผู้ที่พลัดหลงทุกท่าน ช่วงนี้เราเจ็บอยู่ ดังนั้นเรื่องที่นึกออกและอยากเขียนก็เลยหนีไม่พ้นเรื่องป่วยๆ ก็อ่านๆ กันเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันนะคะ เพราะไม่มีใครหนีพ้นความเจ็บ ป่วยได้หรอก จะต่างกันก็แค่ หนักหรือเบาเท่านั้น
ต้องเกริ่นนิดนึงว่า แต่ก่อนเมื่อเราเจ็บป่วย เราก็ได้แม่ซึ่งเป็นหมอ เป็นผู้รักษาด้วยการจ่ายยาให้ อาจจะโชคดีของเราด้วยที่การเจ็บป่วยของเราไม่เคยร้ายแรงมาก คือ แค่กินยาก็หาย ก็เลยไม่เคยเข้าโรงพยาบาลกับเขา
แต่พอแม่ไปสวรรค์เสียแล้ว คราวนี้ก็ต้องรักษาตัวเอง เรื่องยากินก็อาศัยยาที่แม่เคยจ่ายให้ แต่พอเจ็บคราวนี้ ปวดจนพยุงสังขารตัวเองไม่ไหว ก็จำต้องพึ่งโรงพยาบาล ก็คิดถึงแต่โรงพยาบาลเอกชนอย่างเดียวเลย ด้วยความที่มันสะดวก สบาย และเราเองก็พอมีเงินอยู่เพราะก็กะเก็บเงินเพื่อการรักษาตัวนี่ล่ะ มากกว่าคิดจะเอาไปใช้ทำอะไร
ดังนั้น เราก็ขอให้พ่อพาเราไปโรงพยาบาลเจ้าพระยา เพราะมันใกล้บ้านที่สุด บริการดี คือ เราเคยพาแม่และพ่อมาที่นี่ ก็เลยคุ้นเคยหน่อย
พอถึงโรงบาล ก็ให้พ่อเอารถไปจอด ตัวเราทางเจ้าหน้าที่เขาก็จับนั่งรถเข็น แล้วเข็นไปที่ประชาสัมพันธ์บอกชื่อเขา จากนั้นก็ไปรอที่แผนกกระดูก เพราะเราปวดหลังและขา
เรานั้นตั้งใจแต่แรกแล้วว่า จะขอนอนโรงบาลจนกว่าจะค่อยยังชั่ว เพราะอยู่บ้าน เราเอาตัวไม่รอดแน่ แค่จะลากสังขารไปเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ก็แทบแย่แล้ว ไหนจะหาอาหารกินอีก จะหยิบจับอะไรก็ไม่สะดวก เพราะแค่ขยับตัวเลื่อนไปนิดหน่อยก็ปวดแล้ว ดังนั้น ขณะรอคิวหมอ เราก็บอกพยาบาลเลยว่า เราจะขอนอนนะ เขาก็ถามว่ามีประกันไหม เราเคยทำไว้หลายปีแล้วแต่ไม่เคยใช้เลย ก็ได้ใช้คราวนี้ล่ะ เขาก็ไปติดต่อเรื่องให้
พอเจอหมอก็ตรวจไป เราก็บอกจะขอนอน แล้วทำกายภาพจนกว่าจะค่อยยังชั่ว เขาก็ไม่ว่าอะไร หลังจากนั้น เราก็ได้อยู่อาศัยในโรงพยาบาล 15 วัน วันที่สอง หมอเขาอยากจะให้ทำ mri เพื่อจะได้ดูว่ามันเกิดอะไรขึ้น เพราะอาการเรามันเข้าข่าย หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เพราะมีอาการชาและนิ้วโป้งไม่มีแรง แต่เรากลัวๆ ก็เลยยังไม่ทำ ขอนอนให้หมอฉีดยาแก้ปวดแล้วทำกายภาพไปก่อน เขาก็ไม่ว่าอะไรอีก ตามใจคนไข้
เราก็อยู่โรงบาลแบบสบายใจ ถึงแม้ไม่มีคนเผ้า แต่ก็กดออดเรียกพยาบาลได้ อีกอย่างเราก็มีวอร์คเกอร์พอช่วยพยุงตัวลากสังขารไปมาในห้องได้ ที่สำคัญสำหรับเราคือ ความอุ่นใจว่ามีคนดูแล คือปวดมากก็มีคนรักษาให้ ฉีดยา กินยา มีคนเช็ดตัว เอาอาหารมาให้กิน จะว่าไป สำหรับร่างกายคนเราแล้ว ก็มีแค่เรื่องพื้นฐานเท่านี้เองคือ กิน ถ่าย ทำความสะอาด แค่นี้จริงๆ เพราะนอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว เราจะไม่ขยับกายไปทำอะไรอื่นเลย 55
ตอนบ่าย เขาก็เอาเรานั่งรถเข็น ไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ผู้ถือแฟ้มประวัติเรา ไปส่งที่แผนกทำกายภาพ ทำเสร็จก็มารอรับเหมือนเป็นบอดี้การ์ดตลอด
พอทำกายภาพไปได้สักสองสามครั้ง เนื่องจากเขาจะทำแบบคลุมทุกอย่างคือ ทั้งดึงหลัง นวด กระตุ้นด้วยไฟฟ้า จี้ด้วยอัลตร้าซาว์ด อบผ้าร้อน ไอ้เราก็พวกรู้มาก พอทำๆ ไป มันชักเจ็บมากเพราะทำทุกวัน ก็เลยเริ่มขอทำวันเว้นวัน และคุยกับเจ้าหน้าที่กายภาพว่า ไม่ต้องดึงดีกว่า เพราะมันเหมือนกับไปกระตุ้นเส้นประสาทอยู่ตลอด มันก็เลยไม่หายอักเสบเสียที เอาแค่จี้ด้วยอัลตร้าซาว์ดตรงที่ปวดอย่างเดียวดีกว่า เขาก็ตามใจคนไข้อีกล่ะ
ผลคือ มันเลยเหมือนเรานอนเล่นอยู่โรงบาลมากกว่าจะเป็นการรักษาด้วยการสั่งของหมอ หรือเป็นการักษาด้วยคำสั่งเรามากกว่า เพราะหมอมาดูๆ จับๆ ขา วันละไม่ถึงนาทีแล้วก็ไป จนในที่สุด เราก็ตัดสินใจทำ mri ให้มันรู้แล้วรู้รอดจะได้รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรข้างใน ก็เลยทำด้วยความลุ้นเป็นอย่างยิ่งของเรา เพราะการทำนี้ เราต้องนอนหงายและอยู่นิ่งๆ นานประมาณครึ่งชัวโมง ซึ่งการนอนหงายเป็นปัญหาใหญ่ของเรา เพราะนอนไม่ได้เนื่องจากมันปวด ถึงจะฉีดยาแก้ปวดก็เถอะ โชคดีที่อาการค่อยทุเลาลงมาก จนทำได้ผลสำเร็จเรียบร้อย
พอวันรุ่งขึ้น หมอก็มาบอกสั้นๆ ปากเปล่า ไม่ได้มีการเอาอะไรมาให้ดูเพื่ออธิบาย บอกแต่ว่า หมอนรองกระดูกทับเส้นนะ แค่เนี้ย เราก็ถามว่า แล้วมันร้ายแรงอะไรแค่ไหนล่ะ เขาก็ว่า ถ้าอยากหายก็ต้องผ่า เพราะทำกายภาพตั้งนานแล้ว ดีมั่งแย่มั่งแบบนี้ มันไม่ใช่แล้วล่ะ
เราซึ่งปอดแหกอย่างมาก แค่ฉีดยานี่ก็กลัวจะแย่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องผ่า นั่นคือ สิ่งสุดท้ายที่จะคิดถึงเมื่อไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว เราก็เลยตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า ขอไปตั้งหลักก่อนว่าจะเอาไงต่อไป แต่ใจเราคิดว่า จะย้ายไปนอนที่โรงบาลยันฮีแทน โดยจะเอาผลการักษาโดยเฉพาะเจ้า mri ไปด้วย แล้วให้หมอที่นั่นดูอีกที แล้วขอนอนทำกายภาพต่อไป
ทำไมต้องยันฮี บางคนอาจสงสัย คือ แม่เราเคยมานอนรักษาตัวที่นี่ตอนที่ติดเชื้อในกระแสเลือด เราก็มานอนเฝ้าอยู่ด้วยตลอด จึงเห็นวิธีการรักษาของเขา เขารักษาได้ดีนะ ยันฮีไม่ใช่แค่ทำเรื่องศัลยกรรมความงาม แต่เรื่องการรักษาด้านอื่น เขาก็ทำได้ อีกอย่างราคาค่าห้องไม่แพงหนักเหมือนเจ้าพระยา อีกอย่าง ตอนโน้นมีเพื่อนแม่ทำงานอยู่ที่นี่ด้วย ก็เลยมีบัตรส่วนลด
พอออกจากเจ้าพระยา ก็อยู่บ้านหลายวันเพราะต้องไปทำธุระให้พี่ชายที่ธนาคารเนื่องจากเราเป็นผู้จัดการมรดกของแม่ พี่ก็ต้องเอาเรานั่งรถเข็นไปล่ะ ซึ่งรถเข็นนี่ ตอนแม่ป่วย เราก็เป็นคนไปซื้อให้แม่ แต่แม่ก็ไม่ได้ใช้ ก็เลยเก็บอยู่ที่บ้าน กลายเป็นเราเป็นคนใช้เอง 55
พอทำธุระต่างๆ เสร็จ พ่อก็ไม่อยากให้เราไปนอนอยู่โรงบาล เพราะเห็นว่าไม่คุ้มเงิน แค่นอนเฉยๆ รอทำกายภาพ ก็เลยตัดสินใจอยู่บ้านก็ได้ พี่เราก็มาช่วยจัดห้องให้เราเดินเหินด้วยวอร์คเกอร์ได้สะดวกขึ้น
แผนต่อไปคือ จะเอาผล mri ไปให้อาจารย์ที่คณะกายภาพมหิดลดูจะได้ทำกายภาพให้มันสอดคล้องกับอาการ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นต้องไปศิริราชแทน
หลังจากหมอที่ศิริราชดูผล mri แล้วก็วินิจฉัยว่า ไม่ต้องถึงกับผ่าหรอก ทำกายภาพคือการดึงเอวก็ได้ ให้ทำไปสักสองเดือนแล้วดูผลอีกทีนึง ตอนนี้ก็เลยทำสองครั้งต่ออาทิตย์ เป็นคลีนิคนอกเวลา
เนื่องจากมันนอกเวลา เขาจะเริ่มตอนห้าโมงเย็น แต่เรากับพ่อก็ต้องไปก่อนเพราะกลัวรอคิวยาว ผลคือ พอไปก่อน ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่รถเข็น เพราะยังไม่ถึงเวลาเขา วันแรก พ่อต้องไปเอารถมาเข็นให้เราเอง เราก็ไม่สบายใจเลย แล้วก็ต้องรอจนห้าโมงเขาถึงจะเริ่มทำให้
พอดึงหลังเสร็จ ขาข้างที่เจ็บมันจะลงน้ำหนักไม่ได้เพราะจะเสียวมากๆ ก็ต้องนั่งรถเข็นอีก ก็เกรงใจเจ้าหน้าที่เขาเหมือนกัน เพราะปกติเขาไม่เอารถเข็นเข้ามาในห้องทำกายภาพ ส่วนใหญ่คนไข้ก็เดินโขยกเขยกกันเอา เขาก็เข็นให้นะ แต่ส่งให้หน้าห้อง แต่จากหน้าห้องลงลิฟท์แล้วไปหน้าตึก ก็ต้องให้ญาติเข็น เพราะมีเจ้าหน้าที่มีคนเดียว ถ้าว่าง เขาก็เข็นให้ได้ พอจะกลับบ้าน ก็ไปรอแท้กซี่ ตอนเย็นๆ นี่ชักจะมีน้อย แถมมาแล้วยังไม่รับอีกแน่ะ
สรุป จากประสบการณ์การรักษาที่ศิริราช และ 15 วันกับการรักษาที่เจ้าพระยา ก็ได้ให้ข้อมูลกับเรามากพอว่า
โรงพยาบาลเอกชนนั้น จะให้ความสะดวก สบาย ในทุกด้าน ขอให้มีเงินก็พอ หากเราสามารถพาตัวเองมาถึงโรงพยาบาลได้ แม้จะมาคนเดียว แต่มือนึงถือบัตรประกัน อีกมือมีบัตรเครดิต แค่นี้ก็หมดปัญหา
จะทำสแกน เจาะเลือด ทำการรักษาใดๆ ก็ทำได้เลย จ่ายทีหลัง แต่ส่วนการรักษา คนไข้หรือญาติมีสิทธิ์ " สั่ง " หมอได้ ดังนั้นหากคนไข้ดื้ออย่างเรา หมอก็อาจรักษาไม่ได้หากเราไม่ยอมทำตาม หรือ ไม่ก็การรักษาหรือวินิจฉัยของหมอ อาจเกินความจำเป็นได้ อย่างเช่นกรณีเรา เขาจะให้ผ่าอย่างเดียว ค่าผ่าก็สองแสนเข้าไปแล้ว รักษาตัวอีก 6 เดือน ไม่เอาด้วยหรอก
แต่กับโรงพยาบาลรัฐอย่างศิริรราช คนไข้จะต้องมีญาติไปด้วยเสมอ เพราะ การจะทำอะไรแต่ละอย่าง ไม่ว่าจะเจาะเลือด ทำเอกซเรย์ ญาติก็ต้องไปจ่ายเงินก่อน แล้วเอาใบเสร็จมา เขาถึงทำให้ได้ ซึ่งมันก็เป็นกฏของเขา ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่มันไม่สะดวกสำหรับเรา ซึ่งมีญาติคือ พ่อ ซึ่งแก่แล้ว เดินเหินก็ไม่ค่อยไหว แต่ต้องเป็นคนมาเดินเรื่องให้ อีกอย่างคือ คิวที่ยาว ไม่ใช่ยื่นปุ๊บได้ทำปั๊บ เราไปสองตรั้งแบบไม่ได้นัดก่อน ก็รอคิวตรวจสามชั่วโมงทั้งสองครั้ง
เลยได้ข้อสรุปว่า หากเจ็บป่วยกันจริงๆ ก็ให้เข้าโรงบาลเอกชนก่อน เพื่อเอา fact คือ เจาะเลือด ทำสแกนต่างๆ เอกซเรย์ ฯลฯ เพราะสิ่งเหล่านี้ เราคนไข้ไปคนเดียวก็ทำได้ และ ได้ผลไว แต่ทั้งนี้ต้องทำใจยอมรับและพร้อมเสียเงินมากหน่อยนะ จากนั้น ก็ให้เอาผลที่ได้ ไปให้หมอโรงบาลรัฐดูอีกที อย่างที่ศิริราช เป็นต้น เพราะมั่นใจได้ว่า หมอจะวินิจฉัยแบบหมอจริงๆ และอีกอย่างความที่เขาเป็นโรงเรียนหมอด้วย และได้เจอคนไข้อาการประหลาดๆ เยอะ จึงค่อนข้างแน่ใจว่า เขาจะรู้วิธีรักษา ซึ่งเมื่อเรามีผลต่างๆ ไปให้เขา เขาก็จะได้ดูจากผลเหล่านั้นเลย เพราะหากไม่มีผลพวกนี้ เขาก็ต้องสั่งให้เราทำอยู่ดี แล้วทำที่นี่ รอคิวเงกและไม่สะดวกอย่างที่บอก แต่ข้อดีคือ ราคาถูก
ดังนั้น จะไปว่าโรงบาลเอกชนแพงก็ไม่ได้เพราะเขาขายความสะดวกด้วย จะไปว่าโรงบาลรัฐให้บริการไม่ดีก็ไม่ได้ เพราะเขามีกฏของเขาแบบนั้น
มันจึงอยู่ที่ตัวเราเองว่า ต้องการอะไรแบบไหน แล้วก็ทำให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริง ก็เท่านั้น
ยังไงก็ขอให้ทุกท่าน สุขภาพแข็งแรง ไม่ต้องเข้าทั้งโรงบาลรัฐและเอกชนก็แล้วกันนะคะ..
Create Date : 24 มิถุนายน 2554 |
|
17 comments |
Last Update : 24 มิถุนายน 2554 11:28:58 น. |
Counter : 24161 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: nonguide 24 มิถุนายน 2554 11:40:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ผู้เสียแม่จาก รพ .รัฐ IP: 124.120.126.143 24 มิถุนายน 2554 11:45:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: catmaels 24 มิถุนายน 2554 14:56:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: หน่อย IP: 180.180.34.37 24 มิถุนายน 2554 14:59:04 น. |
|
|
|
| |
โดย: wares (wares1612 ) 24 มิถุนายน 2554 18:24:29 น. |
|
|
|
| |
โดย: kaojao IP: 223.205.66.45 9 กรกฎาคม 2554 3:01:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณย่า IP: 58.8.215.245 13 กรกฎาคม 2554 0:26:55 น. |
|
|
|
| |
โดย: นุ้ยเพื่อนขนม IP: 182.53.157.0 15 กรกฎาคม 2554 19:53:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณย่า IP: 115.87.192.217 16 กรกฎาคม 2554 1:09:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: ืnattya IP: 124.121.107.87 5 กรกฎาคม 2555 21:26:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: เจน IP: 125.24.213.45 12 มีนาคม 2556 23:32:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: แอ๋ม IP: 58.9.166.118 31 กรกฎาคม 2556 14:27:25 น. |
|
|
|
| |
โดย: โม่ IP: 58.9.12.115 29 มิถุนายน 2558 20:44:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: นักศึกษาไปเที่ยวกลางคืน กินเหล้า ไปสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟ สุดท้ายเขยิบไปเป็นคู่นอนเจ้าของร้าน มุจรินทร์ ฆะระบุตร IP: 134.196.149.27 20 สิงหาคม 2559 13:02:57 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ไปเยี่ยมบล็อกของน้ำชาได้ค่ะ ThaiLand Travel เป็น Blog ที่รวบรวมข้อมูล สถานที่ท่องเที่ยว ทั่วทั้ง 77 จังหวัด ในประเทศไทย รวมถึงยังให้บริการ จองโรงแรม ที่มอบส่วนลดให้คุณสูงสุดถึง 75% พร้อมรับข้อเสนอแล้ววันนี้