บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
29 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
สายลับกลับใจรัก บทที่ ๑๒ โดย สามารถ

-12-

พิดิษกลับขึ้นตึกอีกครั้ง สมองวุ่นวายวนเวียนอยู่กับคำพูดของดุ่ย ท่าทางฉะฉานและกร้านโลกกว่าเดิมของเด็กชายน่าเป็นห่วง แสงสีและวัตถุที่นี่กำลังจะเปลี่ยนเขา ดุ่ยเคยเชื่อฟัง แต่บัดนี้สายตาคู่นั้นยากที่จะเข้าใจ

เขาหยุดอยู่หน้าห้องเอกสาร

ราตรีเปิดประตูออกมาพอดี เธอสะดุ้งเสียเล็กน้อย แล้วกลับยิ้มละไม ดวงตาสว่างวูบร่าเริง พยักหน้าเรียกให้เขาเข้าไปด้านใน

“ฉันเตรียมของไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้คุณต้องออกเดินทางแต่เช้า ค้างที่โรงแรมในเวียงจันทน์คืนหนึ่ง เช้าอีกวันจึงออกตามหาคนเอเย่นต์ของซีไอเอ”

ราตรียื่นหนังสือเดินทางให้เขา พิดิษคิ้วย่นด้วยความแปลกใจ

“อำนาจ ชุมนที?”

“ค่ะ คุณคงไม่คิดจะใช้ชื่อมือปืนค่าหัวสามแสนเดินทางไปลาวนะ” เธอยิ้ม ยื่นรูปถ่ายให้อีกหนึ่งใบ เป็นรูปชายฉกรรจ์อายุราวสามสิบปี สวมเครื่องแบบทหารไม่สวมหมวก ใบหน้าคมเข้ม ผิวขาว ดวงตากลมโต

“จารุจน์ พรหมเลข คนของท่านแม่ทัพภาค 1 ที่ท่านฝากตามหา”

พิดิษเลิกคิ้ว “ยังหนุ่มอยู่เลย”

“ยังกับคุณแก่แล้ว” ราตรีหัวเราะ สบตาพิดิษครู่หนึ่ง

ทั้งคู่เงียบและไม่มีใครพูดอะไรพักใหญ่

หญิงสาวยื่นโทรศัพท์มือถือให้เขาเครื่องหนึ่ง

เขารับมาพร้อมกับทำหน้างงๆ

“ผมนึกว่าจะได้นาฬิกาที่ตัดเหล็กได้ เข็มขัดโรยตัวด้วยลวดเบอร์แปด เครื่องมือสื่อสารผ่านดาวเทียมหรือรถแอสตันมาร์ตินอะไรแบบนั้น”

ราตรียิ้ม “คุณคงดูหนังมากไป”

“เรื่องอื่นๆ ล่ะ? ขอรายละเอียด”

“คุณมีเงินในบัญชีเวียตแบงค์สองหมื่น และจะโอนเข้าเรื่อยๆ ในแต่ละเดือนเพื่อใช้จ่ายในลาว เช่นค่าความเป็นอยู่ อาหารการกิน ที่พัก ค่าแหล่งข่าว ค่ารถและอะไรต่อมิอะไร”

“ผมมีบัญชีธนาคารไทยอยู่สองสามบัญชี”

ราตรีส่ายหน้า “บัตรเอทีเอ็มคุณใช้ไม่ได้หรอก ต้องมีเครื่องหมายวีซ่าบนบัตรเท่านั้น อีกอย่าง หากคุณใช้บัตรคุณที่นั่น ตำรวจไทยจะตามคุณเจอ เราช่วยอะไรคุณได้ไม่มาก คุณต้องช่วยตัวเองนะ พิดิษ”

พิดิษยักไหล่ หันหลังกลับและกำลังเดินจากไป แต่ราตรีก็เรียกเขาให้ชะงักอีก

“พิดิษคะ”

“หืม?”

เธอเดินเข้ามาหาเขา ร่างสองร่างห่างกันไม่ถึงฟุต คนทั้งสองได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน

หญิงสาวสบสายตาเขานิ่งงัน

ความเงียบทำให้เสียงหัวใจเขาเต้นแรงขึ้น พิดิษไม่หลบสายตาเช่นกัน เขาไม่เข้าใจความหมายในนั้นสักนิด

“คุณรู้ใช่ไหม ว่าไปครั้งนี้ คุณอาจไม่ได้กลับมาอีก?”

พิดิษพยักหน้า

“กระนั้นคุณก็ยังจะไปอีกหรือ?”

พิดิษยิ้มละไม ไม่ตอบคำถามนั้น

“เพราะอะไร?” ราตรีส่งแววตาฉงน

“เพราะผมต้องไป”



ภาพที่มองจากเบาะรถตู้คือข้างทาง มันเปลี่ยนสภาพไปเรื่อย ตั้งแต่ผิวถนนร้อนระอุท่ามกลางการจราจรบ้าคลั่ง ตึกสีขาวสูงตระหง่านไปสู่ทุ่งนาผิวระโหยแห้ง จากรถยนต์คันละสามล้านที่จอดติดนิ่งนานบนแยกไฟแดงถนนวงศ์สว่าง ถึงรถอีแต๋นบรรทุกฟางข้าว พุ่งทะยานราวม้าคะนองศึกบนถนนมิตรภาพช่วงอำเภอสูงเนิน ห้างสรรพสินค้าย่านรังสิต ด้านหน้าเต็มไปด้วยผู้คนยืนออรอรถเมล์ แต่ละคันจอดเทียบป้ายอย่างเร่งรีบ ถึงร้านค้าโชว์ห่วยริมถนนแถวเมืองพลที่มีศาลาพักรอรถโดยสารสร้างไว้ด้านหน้า ในนั้นมีเพียงยายแก่ๆ กับเด็กหญิงหกขวบนั่งรอรถตรงนั้นนานมากกว่าครึ่งชั่วโมง

จากความศิวิไลซ์ถึงแร้นแค้น จากความวุ่นวายอึกทึกสู่ความเงียบเหงาเศร้าซึมและหดหู่

ภายในรถตู้มีคนนั่งเต็มทั้งสิบเอ็ดเบาะ ส่วนใหญ่อยู่ในวัยทำงานแล้ว สามคนนั่งเบาะหลังท่าทางบ่งบอกว่ามาด้วยกัน เป็นหนุ่มใหญ่วัยราวห้าสิบต้นๆ พูดคุยครึกครื้นคะนองปาก บรรยายถึงแต่สรรพคุณหญิงสาวที่ได้พานพบมาในที่ต่างๆ ที่พวกเขาเหยียบย่างไป

พิดิษพอจะจับใจความได้บ้างว่าพวกเขามีเป้าหมายในการไปเที่ยวกับทัวร์นี้อย่างไร จากการพูดคุยที่ดังโหวกเหวกมาถึงเบาะด้านหน้า เบาะกลางเป็นคู่หนุ่มสาว อายุน่าจะราวยี่สิบต้นๆ หญิงท่าทางอายุมากกว่าชายเล็กน้อย ดูจากด้ายพันหนาเต็มรอบข้อมือ คงเพิ่งผ่านพิธีแต่งงานหมาดๆ คนทั้งสองนั่งกุมมือกันเกือบตลอดทาง พิดิษนั่งชิดเบาะแถวกลางริมด้านซ้าย ส่วนด้านหน้าเขาอีกสามที่เป็นที่นั่งของหญิงสาวสามคน อายุราวยี่สิบกว่า ท่าทางมาด้วยกันเช่นกัน

ชัยยุทธ์เลือกให้เขาเดินทางวันนี้ก็เพราะเป็นวันหยุดยาว ที่ด่านผ่านแดนน่าจะมีคนมากมายจนวุ่นวายพอสมควร นั่นแปลว่าเขาคงจะผ่านไปได้โดยง่าย

ไกด์สาวนั่งคู่คนขับ ก่อนรถออกเขาเห็นชัยยุทธ์คุยกับเธออย่างจริงจังนานพอสมควร

“อีกห้ากิโลเมตรถึงหนองคาย” ไกด์หันมาบอก คงเห็นว่าทุกคนเริ่มบ่นและขยับตัวยุกยิกไล่ความเมื่อยขบกันจนเต็มที่แล้ว

พิดิษรู้สึกชาบริเวณก้นกบ เขาเมื่อยแต่ก็จนปัญญาที่จะขยับเปลี่ยนท่านั่ง เพราะมันไม่มีท่าที่จะให้เขาเลือกแล้ว ยกนาฬิกาข้อมือดูเวลา เข็มสั้นชี้ที่เลขสาม เข็มยาวก็เฉียดไปใกล้กัน

รถแล่นเบี่ยงออกนอกเมือง ตามป้ายที่บอกทางไปเวียงจันทน์ สักพักก็เลี้ยวขวา ช่วงนี้สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านทำหนังสือผ่านแดนและรับฝากรถ ตรงไปอีกสองร้อยเมตรก็ถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองหนองคาย

โทรศัพท์ในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตสั่นถี่แต่ไร้เสียง พิดิษหยิบขึ้นดู

“ว่าไงชัยยุทธ์?”

“พิดิษ ฟังให้ดี คุณส่งหนังสือเดินทางให้ไกด์ไป ตอนอยู่ด่านฝั่งไทยคุณอยู่แต่บนรถนะ ห้ามลงไป เดี๋ยวไกด์เขาจะจัดการเอง”

“อะไร คุณบอกผมไปแล้วนี่?” พิดิษสงสัย

“ใช่ แต่เปลี่ยนแปลงรายละเอียดนิดหน่อย พอข้ามไปด่านฝั่งลาวแล้ว คุณรีบลงจากรถเลย เอาสัมภาระลงด้วย เอางี้ดีกว่า คุณไม่เคยมา เดี๋ยวงง พอข้ามสะพานมิตรภาพไปแล้วผมจะโทรฯไปอีกรอบ ผมแน่ใจว่าที่ด่านฝั่งโน้นยังพอมีสัญญาณให้คุยกันได้อยู่”น้ำเสียงชัยยุทธ์แสดงความกังวล

“เอ๋...คุณรู้ได้ยังไงว่าผมถึงด่านแล้ว?”

อีกฝ่ายไม่ตอบ

“เกิดอะไรขึ้นชัยยุทธ์?” พิดิษเริ่มกังวล

“ช่างเถอะ เดี๋ยวผมโทรฯไปนะ”

สายถูกตัดแล้ว

รถตู้ถูกบังคับให้เข้าเลนกลาง พอถึงด่านก็จอดนิ่งสนิท ไกด์สาวหน้าสวยหันมาบอก “รวบรวมหนังสือเดินทางส่งมาให้ดิฉันเลยค่ะ”

คณะทัวร์รวบรวมของส่งให้ไกด์ด้วยท่าทางเงอะงะ นอกจากหนุ่มใหญ่สามคนด้านหลัง ทั้งหมดเหมือนคนไม่เคยมาที่นี่เลยสักคน รวมทั้งพิดิษด้วย

เขามองออกไปด้านนอก ถนนขวามือคือฝั่งขาเข้าประเทศ รถทยอยเข้ามาน้อยมาก ตรงกันข้ามกับขาออก ทั้งสี่แถวมีคนยืนรอต่อกันยาวเหยียด ท้ายแถวยืนชะเง้อเงื้อม แววตาขุ่นข้องทดท้อ จุดมุ่งหมายพวกเขาคือตู้กระจกติดฟิล์มมืดทึบเบื้องหน้า ในนั้นมีพนักงานช่วยกันสองคน ตรวจหนังสือเดินทางและคอยบอกให้คนที่มีร่างสูงกว่าปกติย่อเข่าเพื่อถ่ายรูปจากกล้องในตู้นั้น

แถวผู้คนรอผ่านแดนยาวทะลุแผงเหล็กกั้นออกมา เบียดบังร้านถ่ายเอกสารที่มีเพียงเครื่องเดียวและร่มบังแดดหนึ่งคัน รุมล้อมไปด้วยคนนับสิบ ถัดออกไปมีตู้กดเงินของธนาคารหนึ่งตั้งอยู่

การรอนานทำให้พิดิษเริ่มกระวนกระวาย เขาหันไปมองฝั่งขาเข้า ตำรวจยืนออคุยกันเป็นกลุ่มใหญ่ หนึ่งในนั้นเอนตัวออกนอกวงสนทนา สักพักก็เหมือนจะเดินตรงมาทางรถตู้ที่เขานั่งอยู่ คิ้วขมวดเข้าหากันเหมือนกำลังสงสัยในบางสิ่งอย่าง ใจพิดิษเต้นแรงขึ้น เตรียมขยับกระเป๋าแนบลำตัว ครู่หนึ่งไกด์สาวก็เปิดประตูเข้ามาในรถ

“เรียบร้อยแล้วค่ะ ออกรถได้เลย” เธอยิ้มแฉ่ง เผยเห็นซี่ฟันเรียงกันขาวสะอาด คิ้วโก่งดังคันธนู ผิวขาวนวลเนียนไร้เม็ดสิว ผมยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง จำกัดความเคลื่อนไหวของมันด้วยหนังยางสีเหลืองเพียงเส้นเดียว

รถตู้เริ่มเคลื่อนไหว วิ่งลอดซุ้มประตูยิ่งใหญ่ของด่านตรวจ ให้ความรู้สึกกดดันแก่คนที่มีชนักติดหลังและยืนอยู่ข้างใต้นั้นเป็นอย่างดี พิดิษนึกขอบคุณชัยยุทธ์ที่เลือกให้เขามากับบริษัททัวร์ คงไม่เป็นการดีนักหากเขาจะยืนเรียงแถวต่อคิวทำหนังสือเดินทางเป็นเวลานานๆ โดยมีตำรวจยืนเฝ้าเต็มไปหมด

พอรถแล่นบนสะพาน หลายคนบนรถก็เหลียวซ้ายแลขวากันล่อกแล่ก บ้างก็หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมา

ไกด์สาวยิ้ม หันมาบอกอย่างเกรงใจ

“เราจะแวะชมวิวบนสะพานมิตรภาพตอนขากลับค่ะ” ท้ายประโยคเธอแวบมองเขา

พิดิษไม่ได้ใส่ใจ มองออกไปในสายน้ำกว้าง ประกายระยิบแผ่กระจายบนยอดระริ้วคลื่น เสียงลมแรงพัดหวู่เข้ามาทางหน้าต่างรถที่เลื่อนออก กล้องถ่ายรูปราคาสามหมื่นของหญิงสาวที่นั่งด้านหน้าถูกยื่นออกด้านนอก

รถแล่นข้ามสะพาน พิดิษสังเกตเห็นว่า กลางเลนถนนมีการวางทางรถไฟไว้ตลอดทาง

ครู่หนึ่งไกด์สาวหันมาอีกครั้ง

“ถึงด่านแล้วค่ะ คราวนี้ ทุกคนต้องลงจากรถนะคะ”

ทุกคนก้าวลงจากรถ โทรศัพท์พิดิษสั่นอีกครั้ง

“ว่าไงชัยยุทธ์? ผมต้องทำไงต่อ พวกเขากำลังลงรถเพื่อเดินเข้าด่านกันแล้ว” เขากรอกคำถามลงไป

“ผมรู้แล้ว คุณเห็นร้านกาแฟตรงหัวมุมร้านค้าด้านซ้ายมือคุณมั้ย? เดินไปทางนั้น อ้อมร้านค้าทั้งหมดไป พอถึงสุดทาง เลี้ยวขวา เดินต่อไปอีก พบทางเข้าร้านปลอดภาษีที่อยู่ด้านในอาคาร ทางเข้าจะมีตู้ขายโทรศัพท์มือถือ เดินผ่านเข้าไป ทะลุออกอีกฝั่ง เลี้ยวซ้าย แล้วไปยืนรอหน้าร้านดาวเรือง รออยู่ตรงนั้นจนกว่าจะมีคนนำหนังสือเดินทางมายื่นให้คุณ ถ้าครึ่งชั่วโมงยังไม่ได้ โทรฯมาบอก อ้อ...อย่าแวะซื้ออะไรนะ”

สายถูกตัด

พิดิษรู้ทัน เขาจึงไม่ถามอะไรเซ้าซี้ และพอจะเดาได้ว่า ความยุ่งยากบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น คงเป็นเพราะความสงสัยของตำรวจจากฝั่งไทยเมื่อครู่ ดังนั้น ลำพังหนังสือเดินทางปลอมอย่างเดียวคงไม่เพียงพอต่อการข้ามแดนในครั้งนี้

ห้านาทีเขาก็มายืนนิ่งอยู่หน้าร้านดาวเรือง

สิบนาทีผ่านไป ยังไม่มีใครเอาหนังสือเดินทางมาให้ รู้สึกว่าการยืนอยู่เฉยๆ นานเข้าทำให้ตัวเขาเองกลายเป็นคนมีพิรุธ

เขาเห็นชายสวมเครื่องแบบสีเขียวคนหนึ่งที่ด่านมองมาทางเขาได้พักหนึ่งแล้ว ชายหนุ่มลังเลว่าจะปลีกตัวจากที่เดิมดีหรือไม่ เริ่มรู้ตัวว่าผิดสังเกต จุดที่เขายืนเด่นโล่งเกินไป ครั้นจะเปลี่ยนที่ก็กลัวจะคลาดกับคนที่เขากำลังรออยู่

ผู้คนเดินเข้าออกร้านค้าขวักไขว่ แต่ชายชุดเขียวก็ยังจ้องมองเขาไม่ลดละ นักท่องเที่ยวแต่งกายภูมิฐานหอบหิ้วถุงสุราและบุหรี่ยี่ห้อดังเดินจนไหล่เอียง วัยรุ่นสองสามคนยืนล้อมตู้ขายโทรศัพท์มือถือ หญิงกลางคนแต่งกายแพรวพราวต่อรองราคากระเป๋าแฟชั่นหน้าตาเคร่งเครียด เธอคงเข้าใจลึกซึ้งถึงคุณค่าของเงิน จึงพยายามรั้งรอการกระเด็นกระดอนออกจากกระเป๋าเงินของเธอไว้ให้นานเท่านาน

เจ้าหน้าที่คนนั้นทำท่าจะลุกขึ้นจากเก้าอี้

พิดิษจำต้องตัดสินใจเดินเลี่ยงไปร้านค้าใกล้ๆ ขยับสายสะพายของเป้กระชับขึ้น เตรียมพร้อมหากจะต้องมีการวิ่งอย่างฉุกเฉิน เขาหยุดยืนหน้าตู้แช่

“น้ำอัดลมขวดนึง” เขาชี้ไปที่ขวดน้ำดำในตู้ เกล็ดน้ำเกาะพราวด้วยความเย็น

“ซาวห้าบาท”

พิดิษย่นคิ้ว แต่ก็จ่ายเงินไทยไปตามจำนวนที่แม่ค้าต้องการ มันแพงกว่าที่เคยซื้อสองเท่าครึ่ง ด้านหลังถูกสะกิด เขาหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว

“เค้าไม่ได้ให้คุณมารอตรงนี้นี่”

ไกด์สาวนั่นเอง เธอยืนยิ้มแฉ่ง เขย่งปลายเท้าขึ้นอย่างขัดเขิน ส่งหนังสือเดินทางให้เขา

พิดิษรับมาอย่างงงๆ “คุณนั่นเอง ขอบคุณ”

เธอพยักหน้า “ระวังตัวด้วยนะ คุณต้องหาทางไปต่อเอง เพราะเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า มีคนรู้ว่าคุณมาที่นี่หรือเปล่า เราแยกกันที่นี่แหละ ฉันคงช่วยคุณได้แค่นี้”

พิดิษเงียบ

เธอจึงยิ้มให้อีกครั้งก่อนเดินจากไป



เขาทิ้งขวดพลาสติกว่างเปล่าลงถังขยะ เดินปะปนกันผู้คนผ่านหน้าร้านค้าปลอดภาษีไปทางด้านที่มีรถจอดหนาแน่น

เจ้าหน้าที่คนนั้นจากไปแล้ว เขาเห็นคนพวกนั้นขับรถตามรถตู้ของคณะทัวร์ไป ชายหนุ่มเดินตรงไปหารถตุ๊กๆ คันหนึ่งที่จอดรออยู่ใกล้ป้ายรอรถ

“เข้าเวียงจันทน์”

“เขาฮ้องกำแพงนะคอนนะ สามร้อยห้าสิบ”

พิดิษชะงัก

“น้ำมันมันแพงอ้าย” คนขับเหมือนรู้ทันว่าจะมีการต่อรองราคา

ชายหนุ่มจึงก้าวขึ้นรถ

“ไปลงไส?” คนขับหันมาถามขณะเร่งเครื่องยนต์

“โรงแรม ใกล้ๆ ประตูไซและคนไม่พลุกพล่าน”

คนขับพยักหน้า

รถตุ๊กๆ ออกตัวแรงกระชากร่างเขาให้เกือบหงายหลัง เสียงเครื่องยนต์สองจังหวะดังระคายหู วิ่งทะยานเหมือนม้ากระโดด พอสักพักก็เอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าเหมือนลาหมดแรง ชิ้นส่วนรองเท้าหูคีบหล่นจากง่ามเหล็กโครงรถ มันมีไว้กันเหล็กกระแทกกัน ที่มาของเสียงที่ดังไม่เกรงใจหูใคร

ฟ้ากำลังมืดลง รถแล่นผ่านโรงงานเบียร์ ที่ว่างรกร้างหลังกำแพงรั้ว ร้านค้า ร้านอาหารติดป้ายโฆษณาเบียร์ สถานทูตของประเทศในเอเชียกลางที่มีหญ้าดกรก วิ่งผ่านกาลเวลาและแข่งกับมัน ก่อนที่จะถูกเข็มนาฬิกาวิ่งแซงอย่างกราดเกรี้ยว

การเดินทางครั้งใหม่กำลังจะเริ่มต้น...



Create Date : 29 เมษายน 2554
Last Update : 29 เมษายน 2554 4:57:14 น. 0 comments
Counter : 255 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.