บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
29 เมษายน 2554
 
All Blogs
 

สายลับกลับใจรัก บทที่ ๑๓ โดย สามารถ

-13-

“Get Out Fuck!”

เสียงตวาดดังขึ้นกลางดึก พิดิษสะดุ้งโหยง ค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้นเชื่องช้า รู้สึกแสบตาพร่า พบว่าตัวเองนอนแผ่หราอยู่บนเตียงขนาดห้าฟุต ผ้าปูสีขาวหม่น เพดานต่ำทึบ ไฟยังเปิดจ้าอยู่ เสียงเครื่องปรับอากาศครางหึ่ง

เสียงเกรี้ยวกราดเมื่อครู่เป็นของผู้หญิง สำเนียงกระเดียดไปทางคนเอเชีย ไม่ไทยก็ลาว เขาเดา ยกมือลูบหน้าขึ้นลง หลังจากเผลอหลับไปด้วยอ่อนเพลีย ไม่ทันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยซ้ำ หยิบรีโมททีวีขึ้นมากด ละครทีวีช่องเจ็ดยังไม่จบ ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู ยังไม่สี่ทุ่ม

เสียงคนสนทนาดังลอดม่านหน้าต่างเข้ามาอีก เป็นเสียงผู้ชาย ทุ้มนุ่ม ปลายประโยคออกเสียงสูง พิดิษเดาว่าเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่เขาฟังไม่รู้เรื่อง คนสองคนเถียงกันคนละภาษาอยู่พักหนึ่งก็เงียบไป เสียงคร่ำครางเปี่ยมสุขดังขึ้นแทน ชายหนุ่มเริ่มรำคาญ เขาเร่งเสียงทีวีให้ดังขึ้น แต่มันไม่ช่วยอะไร

เขาอยากปล่อยอารมณ์ฉุนเฉียวพลุ่งพล่านที่เกิดขึ้นฉับพลันไว้ที่ริมระเบียงยามค่ำ เหม่อมองแสงดาวและถอนหายใจให้ชีวิตห่วยๆ ของตัวเองสักหนึ่งอึดใจ แต่ห้องพักของเขาอยู่ในมุมอับใต้บันได มันไม่มีระเบียง โรงแรมที่นี่ดีตรงหลบซ่อนอาคารมหึมาของมันไว้ภายใต้ฉากต้นคูนดกครึ้ม และเขาดันเลือกห้องที่ต้องปกปิดตัวเองให้มิดชิด

พิดิษลงบันไดไปด้านล่าง เดินตรงเข้าไปหาเคาน์เตอร์ หญิงสาวผิวขาวยืนยิ้มกว้างหลังแผงกั้น ประดับด้วยฉากหลังที่ทำด้วยไม้แกะสลักลวดลายอ่อนช้อย

“สบายดี” เธอทักทาย

เขาเหลือบมองหน้าตู้เครื่องดื่ม มีผู้ชายคนหนึ่งนั่งกระดกขวดเบียร์เข้าปาก ชายคนนั้นยกขวดให้เขาทำท่าเชิญชวน ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มแกนๆ ก่อนจะละความสนใจ ที่นี่เขาไม่ควรไว้ใจใคร

“สบายดี แต่ผมใช้โทรศัพท์ไม่ได้” เขาหยิบโทรศัพท์ให้เธอดู

“ที่นี่ต้องใช้ซิมลาว พรุ่งนี้คุณจะซื้อได้ที่ตลาดเซ้าใกล้ๆ นี่ก็ได้ ราคาประมาณสองร้อยบาท”

“แล้วเครื่องผมนี่คงต้องปิดสนิทเลยใช่ไหม?”

เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “ถ้าคุณจำเป็นจริงๆ ห่างจากนี่ไปสักสามกิโลถึงริมฝั่งของ ที่นั่นมีสัญญาณโทรศัพท์ของคุณ ใช้โทรฯจากตรงนั้นได้”

สายตาเธอเหมือนจะขอโทษหรือวิงวอน เขาไม่แน่ใจ

พิดิษถอนใจพรู เขาอยากโทรหาแม่ แต่วันนี้คงไม่สะดวก

ร่างล่ำก้าวออกมายืนนอกชายคาหน้าโรงแรม ชายที่นั่งดื่มเบียร์คนเดียวมองตาม พิดิษสังเกตว่าหน้าตาเขาน่าจะเป็นคนไทย แต่บางทีเขาก็ไม่แน่ใจ

บนถนนเงียบสงัดเงื่องหงอย ประตูไซมองเห็นลิบๆ

พรุ่งนี้เขามีนัดที่นั่น สิ่งก่อสร้างมหึมารอคอยเขาอย่างทะมึนทึบท้าทาย รอบกายเขาว่างโหวง หัวใจอ้างว้าง

เขาถามตัวเองว่ามายืนทำอะไรที่นี่?



กลิ่นหอมจางลอยปะจมูก เขารู้สึกว่าร่างตัวเองเบาหวิวเหมือนคนขาดน้ำ หอบกระเส่าดังคนหมดแรง ลำคอแห้งผากเหมือนเพิ่งกลืนทรายเข้าปากอึกใหญ่ เนื้อตัวเย็นเฉียบจนขนลุกเกรียว

เครื่องปรับอากาศยังทำหน้าที่ของมันอย่างคนขยันที่กินอย่างมูมมาม พิดิษรู้สึกเหมือนมีคนมานอนใกล้ ผมสีดำสยายเต็มหมอน ชายหนุ่มค่อยๆ หันไปมองช้าๆ

“นาอู!”

ใบหน้านั้นยิ้มยั่วยวนเมื่อเขาร้องเรียก เธอเหมือนไม่ใช่คนเดิม และกำลังขยับเลื่อนกายเข้ามาหาเขาอย่างท้าทาย แต่เขาไม่สนใจ เมื่อสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้าคือคนที่เขาเพรียกหา ไม่ว่าคืออะไร นั่นก็คือนาอู

คนที่เขาต้องการ...

พิดิษกำลังจะโผเข้าหาร่างนั้นด้วยความเสน่หา เสียงเคาะประตูก็ดังสนั่นขึ้น

ชายหนุ่มลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วอย่างคนหัวเสีย เขามองไปยังหมอนอีกใบ

ไม่มีนาอู

ไม่มีเส้นผมดำขลับ เขาฝันไป…

พิดิษยกสองมือขึ้นลูบหน้าและตบเบาๆ ลุกไปเปิดประตูอย่างเกียจคร้าน

“แปดโมงเซ้าแล้วกะเจ้า” หญิงที่ยืนหลังเคาน์เตอร์เมื่อคืนบอกเขาอย่างเกรงใจ

ความทรงจำเลือนรางกลับมาพร้อมสติ

เมื่อคืนเขายืนนิ่งเป็นรูปปั้นอยู่หน้าโรงแรม ครู่หนึ่งก็กลับมานอนต่อ ก่อนขึ้นบันไดเขาสั่งเธอไว้ให้ปลุกตอนแปดโมงเช้าด้วย ทีแรกเขาเข้าใจว่าหญิงสาวจะใช้โทรศัพท์ที่วางบนโต๊ะหัวเตียงปลุกเขา

ราตรีนัดเอเย่นต์ไว้ให้เขาตอนสิบเอ็ดโมง ที่ประตูไซ



ร้านอาหารริมแม่น้ำแควน้อยสร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง โต๊ะทุกตัวเงางามเคร่งขรึม พัดลมติดเสาส่ายไปมาอย่างคนหัวเสีย อากาศร้อน สายน้ำไหลเอื่อยเรื่อยล้าดังคนชราไร้เรี่ยวแรง ใบไม้ไม่ไหวติง

ชายร่างใหญ่แต่งกายน่าเกรงขามนั่งส่ายสายตาไปมาเหมือนกำลังมองหาใครสักคน แต่บริเวณนั้นไม่มีใคร ช่วงก่อนเที่ยงยังไม่มีลูกค้ามาใช้บริการจากร้านนี้ ทำให้โต๊ะทุกตัวว่างเปล่า เขาหันกลับมาที่โต๊ะอาหาร

เบื้องหน้าคือชายอีกคน หนวดยาวเฟื้อมเฟื้อยปลายงอนง้ำเหมือนนักดนตรีแม็กซิกัน สวมเสื้อเหลือง กางเกงยีน แขวนพระเต็มสร้อยคอ ใบหน้ากรำแดด ดวงตาขุ่นมัวนั้นหมองหม่น นั่งก้มหน้าต่อคู่สนทนาราวลูกหนี้สำนึกผิด

“ผมไม่คิดว่ากำนันจำเนียรจะไม่เห็นดีเห็นงามกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากผม มันน่าเสียดายนะ ถ้าเรายังมัวยึดถืออุดมการณ์โง่ๆ ความขัดแย้งเก่าๆ เหมือนคนโบราณทึนทึก มองกันในแง่ธุรกิจ ที่ผ่านมาผมไม่เคยมองกำนันเป็นศัตรูเลย ให้ตายสิ” รัฐมนตรีการุณย์พูดกับคนที่นั่งเบื้องหน้าด้วยน้ำเสียงกังวาน แววตาเขาเย็นชาดุจเสือที่รอตะปบเหยื่อ

ในขณะที่ลูกกวางเชื่องอย่างกำนันจำเนียรนั่งตัวสั่นเทาราวกำลังจับไข้

“ผมเกรงว่า ที่ผ่านมาอาจทำให้ท่านไม่พอใจกระผมนัก” กำนันหนวดงามแก้ตัว

“ไม่หรอกน่า...ไหนๆ สุรชัยก็ตายไปแล้ว ความขัดแย้งเดิมก็ควรจะจบๆ ไป กำนันมาอยู่ข้างผม เชื่อเถอะว่า กำนันจะอยู่ในตำแหน่งอย่างเป็นสุข ไร้สิ่งใดมารบกวนตำแหน่งอันทรงเกียรติของกำนันเลยทีเดียว”

“แล้วผมจะต้องทำอะไรบ้างครับท่าน?” ชายหนวดงามรู้สึกกระอักกระอ่วนที่คนนั่งตรงข้ามเรียกตำแหน่งเขาบ่อยนัก ด้วยน้ำเสียงออกไปทางเย้ยหยัน

การุณย์หัวเราะร่า ท่าทางกดดันผู้อื่นเมื่อครู่หายไปกับความร้อนระอุของแดดยามสายในเมืองทองผาภูมิ

“กำนันไม่ต้องทำอะไรเลย แค่ดึงมวลชน ฐานเสียงมาทางพรรคผม ช่วยเป็นหัวคะแนนในคราวต่อไป และคอยจัดการธุรกิจแทนสุรชัยให้ผมก็พอแล้ว ผมอุตส่าห์หลบนักข่าวมาพบกำนันด้วยตัวเองเช่นนี้ ก็ได้แต่หวังว่า จะได้รับคำตอบที่น่าพอใจ และก็ไม่ผิดหวังเลย”

กำนันจำเนียรเงยหน้าขึ้นยิ้ม รู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก

“กระผมต้องขอบพระคุณท่านรัฐมนตรีมากครับ ที่ไว้วางใจให้ผมร่วมงานด้วย และไม่ติดใจในเรื่องเก่าที่ผมเคยขัดแย้งกับคนสนิทของท่าน”

การุณย์โบกไม้โบกมือคล้ายจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เขายังไม่ทันพูด ลูกน้องในชุดซาฟารีคนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาหา

“เฮ้ย...บอกให้เฝ้าด้านหน้าไว้ไงเล่า ขืนใครเห็นฉันมาแถวนี้เดี๋ยวพวกนักข่าวก็ตามมาอีก”

“โทรศัพท์ครับท่าน” ลูกสมุนมาดขรึมยื่นโทรศัพท์ให้เจ้านายอย่างนอบน้อม

“ว่ายังไงไอ้น้องชาย?” การุณย์กรอกเสียงลงมือถืออย่างอารมณ์ดี

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วล่ะพี่ มีคนพบเจ้าพิดิษที่เวียงจันทน์”

“หา...การันต์ แกว่าไงนะ?” พ่อค้ายาในคราบรัฐมนตรีตาเหลือก “มันไปทำไม?”

“ไม่แน่ใจครับ ผมว่า มันน่าจะไปหาปู้เหว่ย”

“เรารู้แน่ใช่ไหมว่ามันเป็นสาย นทส.?”

“แน่นอนครับ”

“แสดงว่า มันไปตามจับปู้เหว่ย เรื่องมันวิ่งเข้าหากันเป็นวงกลมเลย พี่ชักงงแล้วล่ะ”

“พี่ไม่งงหรอกครับ พี่เป็นคนฉลาด ไม่งั้นจะได้เป็นถึงรัฐมนตรีหรือ”

“พอๆ ไม่ต้องชมกันเองมากนักหรอก ว่าแต่มันรู้ได้ยังไงว่า ปู้เหว่ยอยู่ที่ลาว แสดงว่า มันกลับไปร่วมงานกับ นทส.อีกล่ะสิ?”

“ใช่แน่นอนครับ น่าเสียดายที่ตลอดหนึ่งปีมานี่ เราตามหามันไม่พบ ไม่รู้ว่ามันไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน เราน่าจะได้ใช้กฎหมายเล่นงานมันฐานฆ่าคนตายนะครับ”

“นั่นสินะ เรายังมีแค้นที่รอชำระกับมันอยู่ ป่านนี้ เจ้าเล็กคงนอนกระสับกระส่ายอยู่ในหลุมศพ เพราะพ่อกับอาของมันแก้แค้นให้ไม่ได้”น้ำเสียงรัฐมนตรีสั่นเครือ

“เราให้คนของเราที่นั่นจัดการกับมันเลยดีกว่ามั้ยครับ?”

“ก็ดีเหมือนกัน หมดตัววุ่นวายแบบมันไปได้ก็ดี เรื่องนี้ฝากนายจัดการได้เลย อ้อ...เรื่องนี้ไม่ต้องไปบอกเจ้าใหญ่ ลูกชายฉันล่ะ ช่วงนี้งานมันยุ่งๆ อยู่ อย่าไปรบกวนมัน”

สายโทรศัพท์ถูกตัดไปแล้ว รัฐมนตรีหันมายิ้มให้กำนัน

“เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องรายได้กันดีกว่า”



สายจนเกือบเที่ยง ท่ามกลางเมืองหลวงของแขวงเวียงจันทน์ ตะวันทอแสงสีส้มอ่อน ไม่เปล่งประกายเจิดจ้าเหมือนเมื่อวาน บรรยากาศขะมุกขะมัวร้อนอบอ้าวเหมือนฝนจะตก แต่ทุกอย่างก็ไว้ใจอะไรไม่ได้

พิดิษเดินเรื่อยเปื่อยเพราะไม่ได้รีบร้อนเท่าใดนัก ไม่ถึงสิบนาทีเขาก็ยืนอยู่ใต้โครงสร้างอันตระหง่านของประตูไซ เขาเหลียวหลังกลับไปมองอย่างระแวงระไว ทางเดินเข้าปลูกต้นปาล์มเรียงเป็นช่อง ริมถนนมีรั้วเตี้ยของแนวต้นเข็ม ห่างออกไปคือสนเขียวขจียืนเด่น รถราวิ่งผ่านประปรายผิดกับเมืองหลวงอีกเมืองที่เขาคุ้นเคย ที่นั่นอึกทึกเสียจนลืมไปว่า มีต้นไม้ยืนต้นอย่างสิ้นหวังปลูกแซมเกาะกลางถนนอยู่บ้าง

ชายหนุ่มสังเกตกลุ่มคนทางด้านขวามือ วินมอเตอร์ไซด์รับจ้างกำลังสนุกสนานอยู่กับวงหมากฮอส เขารู้สึกเหมือนยืนใต้หว่างขาของหุ่นยนต์ยักษ์ แหงนมองดูจึงเห็นภาพนูนต่ำประดับงดงามประดับไว้ทั้งสี่มุม ทั้งหนุมาน ราหูอมจันทร์ หรือเทพยดา เขาไม่ค่อยรู้เรื่องศิลปะนัก แต่ก็มองดูว่ามันสวย

เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครสะกดรอยตามมาหรือไม่มีอะไรผิดสังเกตแล้ว สายลับ นทส.จึงซื้อตั๋วเพื่อขึ้นด้านบน โดยไม่ลืมที่จะหันกลับมาพินิจดูกลุ่มหมากฮอสอีกครั้ง ดูจากสถานที่แล้ว ถ้าถูกล้อมจับเขาคงหนีไปไหนไม่รอด พลางบ่นในใจว่าทำไมเอเย่นต์ของราตรีถึงมาอยู่ในที่อับแบบนี้

พิดิษจ่ายเงินสามพันกีบแล้วรีบสาวเท้าก้าวขึ้นบันไดทันที

ด้านบนเป็นสิ่งที่เขาคาดผิดถนัด ทีแรกชายหนุ่มคิดว่าคงมีอะไรแปลกหูแปลกตาให้เขาได้ชม แต่ทั้งชั้นเต็มไปด้วยแผงขายของ เขาสังเกตโดยรอบ เพ่งมองแผงไม้อัดแผ่นใหญ่ที่ตีปิดข้างผนังครู่หนึ่ง แล้วจึงตรงเข้าไปถามแม่ค้าเสื้อที่เฝ้าร้านอยู่คนเดียวหลังโต๊ะตัวนั้น มันทอดยาวเหยียดปลายยันผนังทั้งสองด้าน แต่แบ่งเป็นล็อกๆ โดยมีผ้าผืนยาวสีเลือดหมูผืนเดียวปูรองสินค้าไว้

“เสื้อยืดตัวเท่าไหร่?”

หญิงสาวยิ้มหวาน “ร้อยนึงจ้า”

“ผมจะไม่ต่อสักบาท ถ้าบอกได้ว่าคนชื่อแสงอยู่ไหน”

แม่ค้าหยิบถุงใส่เสื้อยื่นให้เขา “ขายโปสการ์ดอยู่ชั้นบนสุด”

พิดิษยื่นเงินไทยให้แล้วรีบขึ้นบันไดไปอีก วิ่งผ่านตัวหนังสือสกปรกบนฝาผนัง จิตรกรรมของคนมือบอนที่ไม่มีใครต้องการ ไม่นานก็ถึงชั้นบน

ในนั้นแคบกว่าชั้นเมื่อครู่ที่เขาซื้อเสื้อ มีซุ้มเล็กๆ สี่ทิศ แต่ขึ้นลงได้เพียงสองด้าน ด้านบนขึ้นไปไม่มีร้านขายของแล้ว เขาจึงก้าวเข้าไปด้านใน ส่ายสายตาเมียงมองจึงรู้ว่าเอเย่นต์ที่ชื่อแสงเป็นผู้หญิงสาว จึงเดินเข้าไปทัก

“สบายดี”

เธอทำหน้างงแต่ก็รีบยิ้มหวานตามวิสัยแม่ค้า “สบายดี เลือกได้เลยกะเจ้า”

“มีรูปคนสวยไหม?” เขาเริ่มบอกรหัส

“บ่มีดอก คนสวยงามยืนอยู่ตรงนี้เอง หรือว่าจะมีผู้ใดงามกว่าก็คงไม่ใช่บนนี้แล้ว” หญิงสาวตอบตะกุกตะกักเหมือนท่องจำมา

พิดิษยิ้มอย่างยินดี เหลือบมองแม่ค้าร้านเครื่องเงินที่อยู่ติดกันแล้วพยักหน้าให้เอเย่นต์เดินตามเขาออกมาด้านนอกร้าน

เขาหยุดเดินตรงขอบราวปูน เหม่อมองออกไปด้านล่าง มองเห็นกำแพงนครเวียงจันทน์เกือบทั้งหมด ต้นไม้สีเขียวประดับแซมแทรกไปทั่ว ตึกสีขาวของโรงแรมริมถนน ทางทอดยาวที่เคยเป็นรันเวย์ของกองทัพอเมริกัน รถราไม่กี่คันแล่นเอื่อยเฉื่อยอยู่บนนั้น วัดพระธาตุฝุ่นอันเงียบสงบฉาบฉานด้วยสีทองอร่าม ทุกอย่างอยู่ในสายตาของเขาราวกับผู้มองคือพระเจ้า

เอเย่นต์สาวหยุดยืนเคียงข้าง

“คุณราตรีโทรฯมาบอกแล้วว่าคุณจะมาวันนี้”

“ผมมาตามหาคนๆ หนึ่ง” พิดิษยื่นรูปถ่ายให้เธอดู

หญิงสาวส่ายหน้า

“ฉันแค่คนกลาง ไม่ใช่คนของซีไอเอหรอก อีกสักครู่พวกเขาจะมา ถ้าคุณให้ฉันใช้โทรศัพท์”

พิดิษหยุดคิดครู่หนึ่ง “ผมจะรุ้ได้ยังไงว่าไว้ใจคุณได้?”

“ไม่รู้ ถ้าคุณไม่แน่ใจก็ไปหาคนอื่นช่วย ทางคุณเพียงแค่ขอความช่วยเหลือมาเท่านั้น เราจะช่วยหรือไม่ก็ได้” เธอยักไหล่

ชายหนุ่มมีท่าทางลังเลครู่หนึ่ง “งั้นผมขอโทรฯก่อนได้ไหม?”

“คุณจะโทรฯไปไหน? ถ้าโทรฯกลับไปเมืองไทยอย่าใช้เครื่องฉันนะ ค่าโทรมันแพง นาทีละตั้งแปดบาท”

“ผมจะจ่ายให้” พิดิษเอ่ยอย่างรำคาญ

เธอจึงส่งโทรศัพท์ให้เขา

ชายหนุ่มรับมาแล้วกดเบอร์ทันที เขาแอบมองเอเย่นต์ท่าทางเพี้ยนๆคนนี้ เธอเป็นสาวผิวขาว อันที่จริงตั้งแต่ข้ามมาฝั่งนี้เขาก็เจอแต่คนผิวขาว เธอสวมกางเกงยีนสีน้ำเงินซีด เสิ้อเชิ้ตลายตาราง หน้าตาไร้เครื่องสำอางใดๆ

สายสบตาเขาอย่างขวางๆ เมื่อรู้ว่าถูกแอบมอง

พิดิษจึงเสไปมองด้านในอาคาร เห็นแม่ค้าขายเครื่องเงินกำลังด้อมๆ มองๆ ชะเง้อมาทางเขาอยู่

เธอล้วงโทรศัพท์มากด

เขาเริ่มรู้สึกอึดอัดและเป็นกังวล

“ราตรี นี่ผมเอง” เขากรอกคำพูดลงโทรศัพท์

“อำนาจ คุณเจอแสงมั้ย?” เขาตะหงิดใจที่เธอเรียกชื่อปลอม

“เจอแล้ว ไว้ใจเธอได้แน่เหรอ?”

“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ค่ะ เชื่อฉันเถอะ” ได้ยินเท่านั้นเขาก็ตัดสาย ยื่นโทรศัพท์คืนให้เธอ

แสงกดเบอร์ลงไปบ้าง กรอกภาษาลาวลงไปสักครู่เธอก็หันมายิ้มให้เขา

“ขอตัวไปขายของก่อนนะ รออยู่นี่แหละ เดี๋ยวมีคนมารับ” เธอบอกพร้อมกับสะบัดร่างขึ้นบันไดสามขั้นไปด้านใน

พิดิษเห็นแววตาประหลาดของคนขายเครื่องเงินที่มองมาทางเขา ทำให้รู้สึกอึดอัด

เขาถามตัวเองว่าตอนนี้ควรทำอย่างไร จะเชื่อใจใครได้หรือไม่ แต่คนที่น่าไว้ใจก็คือราตรีไม่ใช่หรือ เขาถามตัวเอง เดินกระสับกระส่ายวนออกมาอีกด้านหนึ่ง เห็นเศษเหล็กยาวกองระเกะระกะ ฝรั่งสาวสองคนยืนถ่ายรูปท่าทางอารมณ์ดี ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งบ้างเมื่อหนึ่งในนั้นหันมายิ้มให้อย่างเป็นมิตร พอเขาห่างออกมา เหลือบมองอีกครั้งด้วยหางตา คนทั้งคู่ก็พากันลงด้านล่าง

เขาหยุดเดิน วิวด้านหลังเป็นลานน้ำพุสองแห่ง อยู่ห่างกันพอสมควร สายน้ำพวยพุ่งขึ้นด้านบน บางครั้งก็ทะยานยาตรสูงละลิ่ว หรือไม่ก็กวัดแกว่งฉวัดเฉวียนเป็นสายพร้อมเพรียง พริ้วไหวเหมือนเรียวขาของนักระบำใต้น้ำ เขามองดูด้วยความเพลิดเพลิน ผู้คนประปราย ที่นี่เหมือนสวนสาธารณะพักผ่อนหย่อนใจ และเป็นวงเวียนบนถนนด้วย ชัยยุทธ์เล่าว่าประตูไซสร้างขึ้นจากซีเมนต์ที่อเมริกาเหลือทิ้งไว้จากการสร้างสนามบิน สงครามเย็นที่ร้อนรุ่มเผาผลาญ ทิ้งอะไรบางอย่างไว้ให้จดจำอย่างปวดร้าวหรือควรจะลืมเลือนอย่างทระนง เขาถามตัวเอง

ฝนเริ่มตั้งเค้า ท้องฟ้าลิบๆ เห็นเมฆดำทะมึนเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นแผง แผ่ขยายแน่นเป็นแพราวพกพาสิ่งชั่วร้ายซุ่มซ่อนมันไว้เบื้องบน

เขาเพ่งมองไปด้านล่าง เห็นความเคลื่อนไหวหนึ่งที่สะดุดตา กลุ่มชายฉกรรจ์หกคนก้าวลงจากรถที่จอดไว้ริมถนนอีกฟาก เดินตรงดิ่งเร่งรีบมายังทางขึ้นซุ้มประตู เขาหันไปมองแสง เธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว คนขายเครื่องเงินก็หายไปด้วย เขาวิ่งเข้าด้านในพลางสบถกับตัวเอง ไม่พบใครในนั้นนอกจากฝรั่งสาวสองคน

พวกเธอออกไปทางไหน? ในเมื่อเขาเหลือบมองซุ้มทางขึ้นลงตลอดเวลา ไม่มีใครนอกจากเห็นเพียงฝรั่งสองคนที่ลงไปเท่านั้น แต่ทำไม สองแหม่มยังอยู่ที่นี่ แล้วที่ก้าวลงไปเมื่อครู่เป็นใคร?

พิดิษไม่เสียเวลาคิด กระชับถุงเสื้อยืดที่เพิ่งซื้อมาไว้ในมือ รีบวิ่งลงทางเดิม เขาต้องรีบลงด้านล่างให้เร็วที่สุด ถ้าคนพวกนั้นขึ้นมาจับเขาจริง อยู่บนนี้เขาคิดว่าไม่มีทางรอดไปไหนได้

ลงมาถึงชั้นสอง ชายหกคนเมื่อครู่ก็เดินขึ้นบันไดสวนขึ้นมา

เร็วเหลือเกิน เขาคิดว่าอาจจะหนีไม่ทัน

คนพวกนั้นกรูมาทางเขา สองคนกระชับปืนเล็ง

พิดิษสังเกตทันว่ามันคือ colt 635 แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นปืนแบบนี้ที่ไหน รู้เพียงแต่ว่ามันฆ่าเขาได้

เสียงหวีดว้ายของนักท่องเที่ยวและแม่ค้าในนั้นดังแทรกสมองที่สับสนของเขา

ชายหนุ่มลังเลครู่หนึ่งก็ตัดสินใจวิ่งไปทางร้านเสื้อที่เขาเพิ่งซื้อ กระชากผ้าคลุมโต๊ะตัวยาวนั้นออก ดึงสุดแรงและวิ่งย้อนไปอีกทาง สินค้าทั้งเสื้อผ้าและของฝากไม้แกะสลักที่วางขายหล่นร่วงกราวลงพื้น สุดทางตรงนั้นมีแผงไม้อัดแปะกั้นอยู่ เขาถีบมันออก แสงสว่างสาดเข้ามาด้านใน

ชายหนุ่มยิ้มที่มุมปากอย่างพอใจที่คาดไม่ผิด ที่ตรงนี้เป็นลูกกรงโล่ง

เขากระโดดทันทีโดยไม่ต้องคิด รวบผ้าผืนยาวไว้ในมือ ชั้นที่เขาอยู่คงสูงเท่าตึกสองชั้น ร่างเขาหล่นละลิ่วสู่เบื้องล่าง แต่การยึดผ้าไว้ทำให้ร่างกำยำถูกกระตุกอย่างแรงและเหวี่ยงกลับมากระแทกผนังด้านนอก

พิดิษก้มมองด้านล่างเลยปลายเท้าลงไป เหลือไม่กี่เมตรก็ถึงพื้น เขาจึงปล่อยน้ำหนักตัวลงด้วยการรูดผ้าที่ย้อยเกลี่ยพื้น ไม่นานก็ลงกองสู่เบื้องล่างทั้งคนและผ้าผืนยาว ใจเขาเต้นระรัวเหมือนมันจะกระแทกผนังอกออกมา เหงื่อผุดพราวเต็มใบหน้าที่ซีดเผือด

ชายหนุ่มแหงนมองเบื้องบน เห็นพวกนั้นชะเง้อมองลงมา คงตามลงมาอีกแน่ เขาคิด พาร่างตัวเองวิ่งผ่าลานน้ำพุไปทางด้านหลัง ผู้คนพากันแตกตื่น เขาไม่สนใจ วิ่งฝ่าคนพวกนั้นไป เป้าหมายคือถนนกว้างด้านหน้า เพื่อแย่งรถสักคันแล้วไปจากที่นี่

ขณะออกแรงวิ่ง ความเหนื่อยล้าเริ่มสร้างอุปสรรค ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกตัวว่า การที่นอนจมปลักอยู่ในบ้านไร่เป็นปีๆ ทำให้ร่างกายในวัยยี่สิบเก้าไม่แข็งแรงสมบูรณ์ดังที่เคยเป็น นึกโทษตัวเองว่าเขาควรเตรียมตัวมาให้ดีกว่านี้

ทันใดนั้นขาเขาก็หยุดชะงัก วัตถุแข็งโป๊กกระทบท้ายทอยดังกึก หูเขาอื้อ ตาพร่ามัว ร่างหมุนคว้าง

เขาเห็นชายชุดเขียวสามคนยืนแสยะยิ้มอยู่ด้านหลัง แล้วสติก็ดับวูบลง




 

Create Date : 29 เมษายน 2554
0 comments
Last Update : 29 เมษายน 2554 5:05:06 น.
Counter : 895 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.