บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
14 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
สายลับกลับใจรัก บทที่ ๕ โดย สามารถ


-5-

เสียงหัวเราะครึกครื้นดังมาจากกระท่อมหลังนั้น ข้างฝาสี่ด้านตีปิดด้วยไม้ไผ่ผ่าซีกเรียงเป็นชั้นๆ จนเต็มทึบ หลังคามุงหญ้าคาสภาพเก่าผุยุ่ย ต้นสะเดาทึนทึกสูงค้ำกวาดกิ่งกรอกแกรกตามแรงลมด้านบน ใบไม้แห้งที่กองสุมปรกคลุมอยู่ร่วงกราว ปลิววะว่อนลงสู่พื้นดินเบื้องล่างดังวิมานฤดูใบไม้ร่วง

ราตรีมืดสลัว ระฟ้าดาษดื่นไปด้วยดวงดาวเล็กระยิบ ฤดูหนาวมีจำนวนดาวมากกว่าฤดูอื่น แต่ที่สว่างจนมองเห็นทางเดินรางๆ กลับเป็นเพราะพระจันทร์นวลเด่นที่ส่องประกายเต็มดวง
แสงดาวแม้จะสวยมากสีสันเพียงใด ก็ไม่สว่างดังจันทราฉายแสงโดดเด่นเพียงดวงเดียว

เด็กหนุ่มสามคนนั่งล้อมกันเป็นวง อีกคนหนึ่งนอนขยับตัวหยุกหยิกอยู่บนเปลนอนที่ผูกอยู่ข้างวงกัญชา ปลายเชือกผูกเปลห้อยย้อยระย้าหยิก ฟู่ฝอยเรี่ยเกลี่ยพื้น มองดูเหมือนผมยาวหยักสยายของใครบางคน

“เมื่อไหร่พี่ดิษจะกลับมาวะ ไอ้ดุ่ย?” วัยรุ่นคนหนึ่งหันมาถามเพื่อน หลังจากที่พากันข่มเสียงหัวเราะที่ออกจะกังวานท่ามกลางทุ่งโล่งสลัวเสล

“ไม่รู้ว่ะ ไอ้อี๊ด มึงจะไปยุ่งอะไรกับเขาวะ?” คนชื่อดุ่ยถามกลับ

“เปล๊า กูแค่ถามเฉยๆ” เด็กชายขึ้นเสียงสูง ประกายดวงตาฉาบฉายแววซุกซนและซ่อนเร้นปูมหลังอันขมขื่น

“เค้าว่ากันว่า ปู้เหว่ยส่งพี่ดิษไปเก็บเจ้าพ่อเมืองกาญจน์ มึงรู้เรื่องมั้ยวะไอ้ดุ่ย?” วัยรุ่นอีกคนหนึ่งระเบิดคำถาม ยืดอกราวกับคนชาญฉลาดและรู้เรื่องราวของพวกผู้ใหญ่เป็นอย่างดีกว่าเพื่อนในกลุ่มเดียวกัน

ดุ่ยชักเริ่มหงุดหงิด “พวกมึงทำไมเอาแต่ถามกูวะ? ไอ้นกไง มันก็อยู่หมู่บ้านม้งเหมือนกู มึงไม่ถามมันบ้างล่ะ?” เขาหันไปมองเด็กชายอีกคนที่นอนเท้งเต้งบนเปลญวน

“อย่ามาถามกูเลย กูไม่ได้ชอบสู่รู้เรื่องชาวบ้านเหมือนไอ้ดุ่ยมัน พวกมึงถามถูกคนแล้วล่ะ” เด็กที่ชื่อนกตอบ

“มึงนั่นแหละ ไอ้ดุ่ย พี่ดิษเขาชอบมาเล่นกับมึงบ่อยๆ มึงต้องรู้บ้างล่ะ อีกอย่าง พ่อมึงก็เป็นลูกน้องปู้เหว่ยเหมือนกันนี่ มึงไม่เคยได้ยินผู้ใหญ่เขาพูดกันบ้างเลยรึ?” อี๊ดรบเร้าต่ออย่างใคร่รู้

“ก็กูไม่รู้ ถึงพี่ดิษจะใจดี มาหากูบ่อย แต่กูก็ไม่เคยได้ยินแกเล่าอะไรให้ฟัง แต่ว่า...” ดุ่ยอ้ำอึ้ง กระตุ้นต่อมอยากรู้ของอี๊ดได้ดียิ่งขึ้น

“แต่อะไรวะ?”

เสียงลมวู่หวิวแรงยิ่งขึ้น รถยนต์แล่นผ่านถนนหน้ากระท่อมส่องไฟหน้าสว่างวาบ ทุกคนในกระท่อมหยุดนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ไม่มีแม้เสียงลมหายใจดังออกมา ความเงียบทำให้เสียงรถยิ่งแผดตวาด พอมันแล่นผ่านไปทุกคนก็พากันแอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกลับเข้าสู่ภาวะเดิม

“กูได้ยินพวกเพื่อนพ่อกูเขาพูดกัน ว่าที่หมู่บ้านม้งกำลังมีการผลิตยาตัวใหม่ คุณภาพดีกว่าเดิม น่าจะทำกำไรให้ปู้เหว่ยมากกว่าเดิมหลายเท่าเลยล่ะ”

“เหรอวะ งั้นพ่อมึงก็จะรวยไปด้วยสิ ว่าแต่ว่า มึงเคยโดนพี่ดิษจับได้ว่าเล่นยา เขาไม่อยากให้มึงเล่นยารึ?” อี๊ดถาม พลางก้มลงแนบริมฝีปากกับกระบอกไม้ไผ่ สูดลมหายใจเฮือกยาวเหยียด ไฟในหัวไม้ด้านล่างแดงวาบ ครู่หนึ่งก็ไหลลงรูเล็กๆ จนหมด

เด็กชายเงยหน้าขึ้น พ่นควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นด้านบนหลังคา สมองปั่นป่วนล่องลอย แต่ก็ผสมกลมกลืนไปด้วยความมั่นอกมั่นใจในสิ่งที่กระทำอยู่

เด็กชายอย่างเขาคิดว่า การออกมามั่วสุมยามค่ำคืน แสดงให้เห็นถึงพลังที่มีของคนเริ่มวัยผู้ใหญ่ มากกว่าจะจมปลักอยู่กับบ้านอุดอู้ ละครหลังข่าวที่หญิงสาวต่างเงื้อมแง้ฝ่ามือเข้าหากันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรผู้ชายที่แสนจะหายากในท้องเรื่อง เสียงน้องสาวทารกร้องร่ำงอแงร่ำไรน่ารำคาญ และคำพูดเชือดเฉือนความรู้สึกกันและกันระหว่างพ่อกับแม่ ก่อนจะจบลงด้วยการฝืนจิตให้ข่มตาหลับท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ทุเรศดิ้นรนในบ้านที่เปรียบเสมือนกรงเน่าเหม็น

“แกไม่อยากให้กูยุ่งกับยา กูเองก็งงเหมือนกัน ว่าห้ามพวกเราแล้ว ทั้งพ่อและพี่ดิษช่วยปู้เหว่ยผลิตมันขึ้นมาทำไม?” ดุ่ยถอนใจ

“ยาตัวใหม่ น่าลองแฮะ” นกนอนยิ้มปากกว้างบนเปล กรอกกลิ้งลูกตาขึ้นลงเหมือนกำลังคิดถึงอะไรบางอย่างอันน่าสนุก

“ว่าแต่...ไอ้เปี๊ยก มึงนั่งเงียบมานานแล้วนะเว้ย เป็นอะไรไปวะ?”

เด็กชายเปี๊ยกนั่งก้มหน้านิ่ง ร่างผอมบางของเขาสั่นเทาราวไข้จับ สองมือขยุ้มเข้าหากันบดบี้ขยุบขยับ

“พวกมึงมีของกันมาบ้างมั้ย กูอยากยาว่ะ...” เด็กชายเปี๊ยกบอกแผ่วเบา
คนอื่นๆ หัวเราะกันครืน
“ไอ้ห่า...ไม่ยอมบอก นั่งนิ่งอยู่ได้ตั้งนาน” นกว่า พลางล้วงมือเข้าในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตลายขาวดำที่เขาสวมใส่ หยิบเม็ดยาห่อหุ้มด้วยหลอดกาแฟใสออกมาเม็ดหนึ่ง โยนใส่มือสั่นเทาของเปี๊ยก
เด็กชายรับมันไม่ทัน ยาเม็ดกระเด็นหล่นลงพื้นเสื่อ เปี๊ยกหยิบมันขึ้นมาแกะออกจากหลอดอย่างเร่งรีบ ท่ามกลางสายตากระหยิ่มยิ้มย่องของผองเพื่อน เม็ดยาเนื้อในสีส้มสด ขนาดเท่ายาแก้แพ้แก้หวัด
อี๊ดหัวเราะแหะหะ มองยาในมือเปี๊ยกเหมือนเด็กเห็นขนม

“เดี่ยวตากูต่อนะ ชักเบื่อกัญชาแล้วว่ะ”

“พวกมึงน่ะ เดี๋ยวพี่ดิษรู้นะมึง ตายหมู่” ดุ่ยบอก ขยับตัวเข้าหาเปี๊ยกพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ เขาเลียริมฝีปากอย่างคนหิวกระหายและใคร่ลอง

นกเอื้อมมือจากเปลข้ามมาตบศีรษะเขาหนึ่งฉาดใหญ่ด้วยท่าทางหมั่นไส้ ก่อนจะเหวี่ยงตัวลงจากเปลเพื่อเข้าร่วมวงอีกคน



รถกระบะสีดำเงาจอดนิ่งหน้าบ้านไม้หลังใหญ่ ละอองฝุ่นเม็ดเล็กลอยคะคว้าง พิดิษเปิดประตูก้าวลงจากรถ เดินดุ่มขึ้นบนบ้านอย่างรีบร้อน

ชายท่าทางทะมัดทะแมงเดินมาขวางเขาไว้ พอรู้ว่าเป็นพิดิษ คนๆ นั้นก็หลีกทางอย่างกริ่งเกรงใจ

ชายหนุ่มถามเขาโดยไม่มองหน้า ขณะที่ขาก็ก้าวต่อไปเรื่อยๆ

“พี่ดอก เจ้านายอยู่มั้ย?”

“อยู่ในสวนหลังบ้านครับ คุณพิดิษ”

พิดิษชะงัก หันมาถามเขาเหมือนเพิ่งนึกอะไรออกบางอย่าง

“อ้อ...ดุ่ยเป็นยังไงบ้าง พี่คงไม่ปล่อยให้มันเล่นยาอีกนะ”

“อ๋อ...ไม่แล้วล่ะครับ ไอ้ดุ่ยมันถูกผมยื่นคำขาดไปแล้ว ถ้าขืนมันเล่นอีกผมจะไล่มันลงไปทำงานในเมือง”

“ก็ดี...” พิดิษพึมพำ

เขา สาวเท้าก้าวเดินต่อเข้าไปในบ้าน เลยทะลุออกประตูหลังออกไป ด้านนอกเต็มไปด้วยสวนกล้วยไม้หลากสี
หากชายหนุ่มหันกลับมามอง เขาจะเห็นดอกมีสีหน้าหม่นวูบ ดวงตาคู่นั้นมองตามพิดิษด้วยแววตาหยามเหยียด แล้วกระหยิ่มยิ้มที่มุมปากอย่างคนรอความหวังในอะไรสักอย่าง



“เจ้านาย” พิดิษเรียก

ชายชราที่ยืนนิ่งงันกับภวังค์ ริมระเบียงหันมามอง ฉีกยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เห็นร่างของชายหนุ่ม

“ไง พิดิษ กลับมานานหรือยัง?”

“เพิ่งกลับมาครับ” ความร้อนรนของพิดิษลดลง เสมือนมีพลังกดดันอันใดแผ่ซ่านออกมาจากร่างผอมเกร็ง ทำให้เลือดในกายกำยำสูบฉีดเชื่องช้าและเนือยหน่าย “เจ้านายคงรู้เรื่อง...สุรชัยแล้ว”

“ใช่...” ชายแก่พยักหน้า กังวานเสียงเข้มขลังดั่งคนมีอำนาจแต่ก็พรั่งพร้อมไปด้วยปราณี แต่เมื่อเผลอไผล ความอ่อนโยนนั้นก็แปรผันเป็นเพลิงเผาผลาญจนแทบมอดไหม้
ชายหนุ่มรู้ถึงข้อนั้นดี

“นายทำได้ดีแล้ว อย่างน้อยสุรชัยก็เป็นคนเลว อย่าคิดมากไปเลย”

“ผมไม่ได้คิดมากอะไรครับ สุรชัยสมควรตาย แต่ว่า...พวกนักวิทยาศาสตร์ไม่มีใครยอมกลับมากับผม ผมเลย...จัดการเก็บพวกเขาหมด”

“งั้นรึ?” ปู้เหว่ยมองเขา สบตาเป็นประกายและยิ้มด้วยความยินดีจนพิดิษสังเกตได้

“นายเดินทางมาเหนื่อยๆ ไปพักซะเถอะนะ พรุ่งนี้ เราจะจัดงานกันแล้ว”

พิดิษก้มหน้านิ่ง คำถามที่ตระเตรียมไว้มลืนมลายหายไปในอากาศ ต่อหน้าปู้เหว่ย ความสงสัยเลือนลบไปเสียหมด เขาเงยหน้ายิ้มพรายให้ชายชราแทนคำขอบคุณ ก่อนจะหันหลังกลับและเดินออกจากสวนด้วยประตูเดิมที่เข้ามา

สมองเขาว่างโหวง ช่วงเวลาแบบนี้ เขาอยากคุยกับลุงเติบเหลือเกิน



เสียงคนพูดคุยกันจอแจจากภายนอกดังแว่วมาเข้าหูพิดิษ บ้างเสียงขึ้นสูง บางครั้งก็ทุ้มต่ำ ชายหนุ่มค่อยๆ เผยอเปลือกตาขึ้น พลิกตัวเปลี่ยนเป็นท่านอนหงาย คลำเปะปะบนที่นอนข้างกายก็พบความว่างเปล่า เขาหันมองก็ไม่เห็นร่างนาอู เธอคงตื่นนานแล้ว

พิดิษนอนนิ่ง เพ่งมองบนเพดานอยู่อีกครู่หนึ่งราวกับต้องการพิจารณาความละเอียดลึกซึ้งถึงฝ้าสีขาวที่ว่างเปล่านั้น

ยามที่ต้องสังหารคนเลวๆ ปู้เหว่ยมักพูดปลอบประโลมและปลุกเร้าใจให้เขารู้สึกดี เนิ่นนานบ่อยเข้า เขาก็เริ่มชิน เมื่อสองวันก่อนเขาปลิดชีพสุรชัย ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิดอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าคำถามบางอย่างยังคั่งค้างอยู่ในใจเขา

เจ้าพ่อดังเมืองกาญจน์บอกว่าเขาจะเป็นคนทำให้ระบบมันพังพินาศ นักวิทยาศาสตร์กลัวเขา แต่ก็ยอมตายดีกว่าที่จะถูกฉุดกลับมาเพื่อรอรับโทษทัณฑ์ที่คาดเดาไม่ได้ถึงความหวาดเสียวทรมาน

พวกนั้นบอกว่าสูตรยาอยู่ที่ปู้เหว่ย

สังเกตจากสายตาสามคู่เมื่อวานนี้ เขาไม่พบพิรุธใดๆ

วันดีบอกว่าจะพาสามคนไปซ่อนตัวไว้ในที่ปลอดภัยให้ รอเวลาให้เขากลับไปสะสางอีกรอบ

ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างวันดีใยมีปัญญาควบคุมชายฉกรรจ์สามคนนั่นได้

หล่อนเป็นใคร และใครกันแน่ที่โกหกเขา ?

พิดิษนึกถึงลุงเติบ เวลาอย่างนี้ชายชราเพียงคนเดียวที่จะช่วยไขข้อข้องใจให้ความกระจ่างแก่เขาได้ แต่ด้วยเวลาที่จวนเจียน เขากับวันดีต่างต้องวางแผนหนีของเขากันจนเกือบรุ่งสาง กว่าจะหาทางกลับมาที่เมืองน่านได้ สุดท้าย เรื่องที่จะแอบไปส่งข่าวให้ลุงเติบจึงต้องเก็บงำเอาไว้ก่อน

ชายหนุ่มถอนลมหายใจพรู พักนี้เขาเครียดหนัก คงเป็นเพราะต้องเดินทางไกลๆ

การปรนนิบัติจากนาอูเมื่อค่ำคืนช่วยให้เขาผ่อนคลายขึ้น เธอเป็นคนน่ารัก รู้จักเอาอกเอาใจเขาในทุกเรื่อง เขาเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่า

สักวันหนึ่ง...เขาคงขาดเธอไม่ได้

พิดิษหยิบรีโมททีวีบนหัวเตียงขึ้นมากด แสงสว่างวาบออกมาจากจอแก้ว

เครื่องปั่นไฟในโรงงานผลิตยาครางกระหึ่มอยู่ตลอดช่วงเช้า บางครั้งก็ตัดกับเสียงเครื่องปั๊มเม็ดยาดังอลวนอลเวง ข่าวการตายของนายสุรชัยออกกระหน่ำทุกช่อง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่า นี่เป็นการขัดแย้งทางธุรกิจเถื่อนของเจ้าพ่อเมืองกาญจน์ พิดิษยักไหล่

“จริงของเขา” เขาพึมพำ

“ไม่ตื่นเช้าไปหน่อยหรือคะ?” นาอูถือถาดเงินเข้ามา น้ำเสียงหัวเราะร่วน วางถาดลงบนเตียงนอน ในนั้นมีน้ำเต้าหู้ร้อน ไข่ดาว ขนมปังปิ้งและฮอทดอกทอด

ชายหนุ่มรั้งร่างระหงที่นั่งข้างๆ เข้ามากอด จุมพิตที่หน้าผากแผ่วเบา
“อย่าพูดประชดน่า...”

“คุณพิดิษจะออกไปร่วมงานตอนไหนคะ?” เธอถาม แหงนหน้าขึ้นมองเขา แววตาใส่ซื่อทอประกาย ใบหน้าฉาบฉานไปด้วยร่องรอยแห่งความสุข

“อาบน้ำเสร็จ” จมูกชายหนุ่มเริ่มซุกซนชอนไช

หญิงสาวหัวเราะคิกคัก

“และหลังจากกวนเธออีกสักรอบ...”




สายมากแล้ว เขาตื่นลืมตาขึ้นหลังหลับไปอีกรอบ

นาอูนั่งแต่งหน้าอยู่หน้ากระจกของโต๊ะเครื่องแป้ง สวมเสื้อแขนยาวสีดำแบบม้ง ปลายแขนเป็นลายปักฉูดฉาดตัดกับสีพื้นของเสื้อ ขอบเย็บติดด้วยผ้าสีฟ้าคราม ปกด้านหลังเป็นลายปักขนาดใหญ่ เช่นเดียวกับสาบเสื้อด้านหน้าที่เย็บปักด้วยลวดลายงดงาม สวมกระโปรงสั้นคล้ายแบบช็อตสเกิร์ต เย็บต่อกันเป็นสามแถว แถวบนสุดติดกับขอบเอวสีฟ้าเข้ม ส่วนด้านล่างลงมาสีก็อ่อนลงตามลำดับ จับจีบโดยรอบ ต้นขาพันด้วยผ้ายืดสีดำยาวลงมาถึงช่วงบนของน่อง สองมือสาละวนอยู่กับผมยาวสยายดำเงางามที่เธอกำลังรวบขึ้นด้านบน เพื่อที่จะสามารถสวมหมวกแบบของม้ง ซึ่งเป็นการพันผ้าสีสดใสหลายๆ รอบได้

พิดิษเพ่งมองอย่างเพลิดเพลิน เป็นความสุขเดียวที่เขาพึงมีในความเสี่ยงของฐานะหนอนบ่อนไส้ในที่แห่งนี้

“ให้ฉันช่วยไหม?” พิดิษถาม เมื่อเห็นว่า นาอูคงจะรวบผมตัวเองขึ้นในแบบของม้งไม่ได้ง่ายๆ

“อย่าเลยค่ะ ปีที่แล้วครึ่งชั่วโมงคุณพิดิษก็ทำให้นาอูไม่สำเร็จ สุดท้ายคุณก็หันมากวนนาอูจนต้องลุกขึ้นมาแต่งตัวใหม่อีกรอบ คุณลุกอาบน้ำเถอะ นาอูอยากเห็นพิธีปีใหม่ม้งแล้วล่ะ” หญิงสาวหัวเราะสดใส

พิดิษเอื้อมมือเลื่อนบานหน้าต่างออก ลมเย็นชื่นมื่นปะทะผิวหน้า

ขุนเขาเขียวสดยามกระทบแดดจ้าทอดยาวอยู่เบื้องหน้า เสียงเป่าใบไม้เป็นเพลงดังมาหวิวแว่ว บ้างก็แทรกเข้ามาด้วยเสียงแคนที่เล็กแหลมยิ่งกว่า

เขาเลื่อนบานหน้าต่างลงปิด ลุกจากเตียงนอนหยิบผ้าเช็ดตัวพาดไหล่ เดินทอดน่องเข้าห้องน้ำอย่างสบายใจด้วยเสียงผิวปากหวีดหวิว



Create Date : 14 เมษายน 2554
Last Update : 14 เมษายน 2554 13:21:07 น. 1 comments
Counter : 253 Pageviews.

 
ตั้งใจอัพตั้งแต่บทที่ ๕ ไปจนถึงบทที่ ๙

ติดตามอ่านผลงานคนสามารถกันต่อได้แล้วค่ะ


โดย: mercurybooks (sorwor ) วันที่: 15 เมษายน 2554 เวลา:0:22:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.