Care Assistant
"งานแคร์" หรือที่เค้าเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Care Assistant, Support Worker หรืออีกมากมายหลายชื่อแล้วแต่จะเรียก ซึ่งจะเรียกว่าอะไรมันก็ความหมายคล้าย ๆ กันอ่ะนะ แล้วก็ทำหน้าที่ไม่ค่อยแตกต่างกันซักเท่าไหร่
ก่อนตัดสินใจมาทำงานนี้ ก็คิดอยู่นานมากกกกกกกกก เพราะเท่าที่เคยได้ยิน ได้ฟังมา มันค่อนข้างหนักเอาการอยู่เชียว งานที่ต้องดูแลคนแก่...เช็ดอึ เช็ดฉี่ เช็ดอ้วก แค่นึกก็สยองแล้ว
แต่ในที่สุด...หลังจากหางานไม่ได้ซะทีตั้งแต่หลังปีใหม่ ก็เลยตกลงปลงใจไปสมัครงาน "แคร์" แล้วบริษัทก็รับเราอย่างง่ายดาย...จนเราแปลกใจ ไม่กี่วันถัดมา เราก็ได้เข้าไป Training 5 วันเต็ม ๆ เช้าจรดเย็น กับการ Training แบบเต็ม ๆ เพื่อนร่วมรุ่นที่ Train กับเราเป็นฝรั่งอังกฤษทั้งหมด (แถมเด็กด้วย) (ไหนใครว่างานนี้มีพวกต่างชาติอย่างเราทำเยอะวะ)
ผ่านการ Training เรียบร้อย อาทิตย์ถัดมาไม่รอช้า ก็ได้เริ่มงานจริงกันเลย (แต่วันแรกเป็นแบบ Shadowing ไปก่อน) วันถัดมาถึงได้ทำแบบเต็ม ๆ เดี่ยวบ้าง double up บ้าง
งานไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราเคยคิดหรือจินตนาการ การดูแลคนแก่ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ บางคนอาจจะต้องเช็ดตัวให้ เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เปลี่ยนผ้าอ้อม เช็ดตูด เช็ดอึ เช็ดฉี่ เทกระโถนอึ-ฉี่ บางคนอาจจะต้องช่วยจัดอาหารให้ แต่ก็แค่อาหารง่าย ๆ เช่น พวกคอนเฟรก ซีเรียล สำหรับอาหารเช้า หรืออุ่นอาหารสำเร็จรูปในไมโครเวฟใ้ห้ หรือทำแซนวิชให้ แล้วก็ชงชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มง่าย ๆ ให้ยา...ซึ่งยาก็มีการแพ๊กแยกเป็นเวลา ๆ ให้อยู่แล้ว เราก็แค่แกะออกมาจากแพ๊ก ส่งให้กับมือ แล้วก็คอยดูให้ลูกค้ากินยาก็เท่านั้น
สำหรับลูกค้าบางคนที่เดินไม่ได้เลย ต้องมีอุปกรณ์ช่วยยก เราก็จะต้องทำร่วมกับแคร์อีกคนนึง (เค้าไม่อนุญาตให้ทำคนเดียว) ซึ่งก็ไม่หนักหนาสาหัสอะไร เพราะมีเครื่องช่วยยกอยู่แล้ว
เวลาในการดูแลลูกค้าแต่ละคนก็จะมีตั้งแต่ 15, 30, ถึง 45 นาที เริ่มตั้งแต่ 7 โมงเช้าไปจนถึงสี่ทุ่ม (ถือว่ายาวเชียวล่ะ)
เราค่อนข้างสนุกกับงานนี้นะ (เฉพาะงาน) เพราะการได้ดูแลคนแก่พวกนี้ มันทำให้้เรารู้สึกอบอุ่นบอกไม่ถูก เหมือนได้อยู่กับญาติผู้ใหญ่ อย่างปู่ ย่า ตา ยายของเรางั้นอ่ะ แล้วคนแก่ส่วนใหญ่ที่เราเจอ ก็ค่อนข้างน่ารักมาก ๆ ด้วย การได้ช่วยเหลือพวกเค้าทำให้เรารู้สึกเหมือนได้บุญอีกด้วยล่ะ
แต่สิ่งนึงที่เรารับไม่ได้...และทำให้เราไม่อยากทำงานนี้ต่อ ก็คือเรื่องของเวลาแล้วก็การเดินทางที่หนักหนาเอาการ ซึ่งถ้าบางวันที่เราต้องทำตั้งแต่ 7 โมงเช้าจนถึงสี่ทุ่ม รวมระยะเวลาตั้งแต่ออกจากบ้านจนกลับถึงบ้าน ก็ปาเข้าไปสิบสี่สิบห้าชั่วโมง...แต่ค่าแรงที่ได้ กลับได้ไม่ถึงสิบชั่วโมงด้วยซ้ำ
และด้วยการที่บริษัทไม่ได้จ่ายค่าแรงในเวลาที่เราเดินทาง แต่จ่ายให้เฉพาะเวลาที่เราไปถึงลูกค้าและดูแลเท่านั้น ซึ่งกว่าเราจะได้ค่าแรงแต่ละชั่วโมง เราต้องตระเวนไปทำหลายบ้าน และเวลาส่วนใหญ่ที่หมดไปก็คือ "เวลาเดินทาง"
สุดท้ายแล้ว....เราก็อดทนทำงานนี้ได้ไม่ถึงเดือน ก็ตัดสินใจลาออก...เพราะมานั่งคำนวณดูแล้ว "ได้ไม่คุ้มเหนื่อย"
ก่อนจะลาออก ก็มีเหตุการณ์นึงล่ะ ที่ทำให้เราฉุนจัด เพราะหลังจากที่เราตรากตรำทำงานจากเช้ายันค่ำ ขับรถทั้งวัน ติด ๆ กันเป็นอาทิตย์ จนร่างกายรับไม่ไหว เช้าวันนึงเราเป็นไข้ ถึงกับลุกไม่ขึ้น สามีเราก็รีบโทรศัพท์แจ้งบริษัท...แต่บริษัทเฮงซวย มันดันไม่ยอมให้เราลาป่วย...แต่กลับบอกให้เราออกมาทำงาน ทั้ง ๆ ที่เราป่วยจนลุกจากที่นอนไม่ขึ้น เราบอกว่าเราขับรถไปไม่ไหวหรอก...มันก็ยังยืนยันจะให้เราออกมา มันอ้างว่าหาคนมาทำแทนเราไม่ทัน แล้วมันบอกว่าเราต้องรับผิดชอบลูกค้าคนแก่ ๆ ใครจะดูแล เราก็เลยบอกไปตรง ๆ เลยว่า ชั่วโมงนี้ชั้นต้องเป็นห่วงชีวิตและสุขภาพของชั้นก่อนล่ะ
มันเถียงกับเราอยู่หลายนาที....พอเรายืนกรานที่จะไม่ออกไป มันก็เลยขู่เราว่าจะไล่เราออก เราก็เลยหมดความอดทน...พอกันที...ออกก็ออกสิวะ
สรุปเราก็ลาออก ตามที่บอก แล้วก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดจริง ๆ เพราะหลังจากที่ไอ้บริษัทแคร์เฮงซวยนี่โอนเงินค่าแรงมาให้ เราถึงกับช๊อก....เพราะค่าแรงขาดไปเกือบ 6 ชั่วโมง แถมค่าน้ำมัน ที่มันจ่ายให้ก็ขาดทุนไปอีกเกือบ 50 ปอนด์ มีอย่างเหรอ....เราขับรถทำงานให้มัน 300 กว่าไมล์ แต่มันจ่ายค่าน้ำมันให้เรามาแค่ 170 กว่าไมล์
เฮ้อ...แต่ก็ตัดใจไม่อยากทวงถาม ให้มันจบ ๆ กันไป ชาตินี้ไม่้ต้องเจอะเจอกัีนอีก ถือว่าเป็นประสบการณ์(เลว ๆ ) ไปละกัน กับการทำงานแคร์ตามบ้านแบบนี้
แต่คงจะหางานแคร์ ที่ทำใน Home Care หรือพวก Residential Home น่าจะเวิร์คกว่าเยอะ
Create Date : 12 กุมภาพันธ์ 2557 |
|
1 comments |
Last Update : 13 มีนาคม 2557 2:45:37 น. |
Counter : 431 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|