เมื่อฉันลองเป็นแม่ค้า on line==> สิ่งที่ได้รับมีมากกว่าที่คิด
ปีใหม่นี้ ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาทุกๆ ปี เพราะปีนี้เราได้ลองทำอะไรใหม่ๆบางอย่าง นั่นก็คือ การเปิดร้านขายของ on line
ทำไมถึงคิดจะทำน่ะเหรอ ส่วนหนึ่งอาจเพราะว่าทำงาน office มา 7 ปีแล้ว (แต่ทำที่ office ปัจจุบันได้ 6 ปีพอดีเมื่อตอนปีใหม่) ใฝ่ฝันตลอดเวลาว่า ฉันไม่อยากเป็นสาวออฟฟิศไปจนแก่ ฉันอยากเปิดร้านขายของเล็กๆ ทำอะไรก็ได้ที่เป็นนายตัวเอง และพอเลี้ยงชีพแบบไม่ลำบาก แม้ว่าจะได้เงินน้อยกว่าตอนเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ยังพอรับได้นะ
มัวแต่คิดๆๆ ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไง ไอ้ครั้นจะลาออกจากงาน ไปหาทำเลเปิดร้าน โดยที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย และยังไม่มีไอเดียที่แน่ชัด ก็มีหวังจบเห่ เงินเก็บจากการทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนคงมลายหายไปสิ้น
ว่าแล้วก็ได้ไอเดียจากน้องที่แผนก ลองเข้าเว็บที่เค้าให้บริการเปิดร้านค้า online ดูดีกว่า
เห็นน้องเค้าทำก็เริ่มนึกสนุก ลองเปิดแบบฟรีดูก่อน เอาของที่ซื้อตอนไปญี่ปุ่นมาโพสต์ขายก่อน
ทำไปแล้วก็รู้สึกว่าไหนๆก็ไหนๆแล้ว ลองเปิดร้านแบบจ่ายเงิน register เลยแล้วกัน ปีนึงไม่แพงมาก ลงทุนซื้อ url เป็นของตัวเองด้วย คิดชื่อจนหัวแทบแตก คิดได้แล้วดีใจมากกก.. รีบจดทะเบียนชื่อก่อนที่จะไปซื้อของมาขายในร้านซะอีก แล้วก็เริ่มโพสต์หนังสือในคอลเล็กชั่น(ที่เก็บไม่ไหว ต้องการปล่อยขาย)เป็นลำดับต่อมา
จากนั้นก็ได้ฤกษ์ไปซื้อของเข้าร้านจริงๆเสียที
วันอาทิตย์ที่ผ่านมาถึงได้ฤกษ์ตะลุยสำเพ็ง ตอนนี้รู้แล้วล่ะสิว่าของที่เราขายในเว็บก็คือของกิฟท์ช็อปกุ๊กกิ๊กๆ ราคาไม่แพง รวมทั้งของเล่นเด็กน่ารักๆด้วย (ความชอบส่วนตัว ถ้าจะทำอะไรซักอย่างเราก็ต้องทำในสิ่งที่ชอบใช่ไหม)
เนื่องจากสังขารไม่อำนวย เป็นหวัดงอมแงมอยู่ ก็เลยตะลุยได้แค่ 2 ชม.เศษ ได้ของมาแค่ 9-10 ชิ้นเอง
ตอนเอามาขึ้นเว็บ รู้สึก happy มาก ทั้งที่รู้นะว่าทำไปก็คงขาดทุนอยู่แล้ว ถึงตอนนี้ก็ยังมองไม่เห็นอนาคตเลยว่าจะหาผู้ซื้อมาจากไหน เราไม่แน่ใจว่า คนนิยมซื้อของ online กันซักเท่าไหร่ เว็บที่เราไปเปิดร้านน่ะ คนดูเยอะมากๆ แต่คนที่ซื้อจริงๆนี่สิ ยังสงสัยอยู่ ของที่เราขาย ไม่ค่อยจะ popular ซะด้วย รู้สึกเว็บที่เค้ารุ่งๆ ขายได้เยอะๆนี่จะเป็นพวกเครื่องสำอางหิ้ว หรือเสื้อผ้า
จากการทดลองเปิดร้าน online ครั้งนี้ นับถึงตอนนี้ก็ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ยังขายไม่ได้ซักชิ้น แต่เรากลับได้เรียนรู้มากกว่าที่คิด
เมื่อได้ลิ้มรสความเป็นแม่ค้าแล้วถึงได้หันมามองความลำบากของคนอื่น ทำให้คิดได้ว่า เวลาซื้อของ ถ้าเราสามารถจ่ายได้ไม่ลำบากเกินไป อย่าต่อมากนัก เพราะหลังจากสวมบทแม่ค้าสมัครเล่นแล้วรู้ว่ามันลำบากนะ เวลาไปซื้อของ ขนมาก็ทุลักทุเล ต้องขึ้นแท็กซี่ ซึ่งถือเป็นต้นทุนชนิดนึงอีก คนที่เค้ามีร้าน เค้ายังต้องเสียค่าเช่าร้าน ถ้ามีลูกจ้าง ก็จ่ายค่าลูกจ้างอีก ส่วนเราขายทางเว็บ มีต้นทุนค่าเว็บ ค่า url ค่าสึกหรอของกล้องดิจิตอลสุดหวงที่เราใช้ถ่ายรูป แล้วยังค่าไฟอีก (เปิดคอมทำ) ค่าเหนื่อยที่ต้องนั่งแต่งรูป เขียนคำบรรยาย แต่งร้าน ทั้งหมดนี้ สินค้าบางชิ้น บวกกำไรเข้าไปแล้ว ถ้าขายได้ เราได้กำไร 30 บาทอ่ะ! คุ้มไหมเนี่ย แต่... ก็เต็มใจทำค่ะ เพราะใจรัก
ข้อคิดที่สองคือ การเป็นมนุษย์เงินเดือน เราเหนื่อย เราใช้สมอง บางทีเครียดเรื่องเพื่อนร่วมงาน เรื่องเจ้านาย แต่มันเป็นวิธีได้เงินที่ง่ายที่สุด คำว่าง่าย หมายถึงว่า ไม่ค่อยมีความเสี่ยง ใช้สมอง แต่ไม่ได้ใช้แรงงานมากนัก ไม่เจ็บตัว มีแต่จะได้เงินเพิ่มเข้ามา ในขณะที่ค้าขายเอง บางทีเงินไม่เข้า เงินเก็บเราย้งต้องจ่ายออกไปซะอีก
เนื่องจากของที่เราขายเป็นของราคาไม่แพง กำไรต่อชิ้นจะต่ำมาก (เพราะเราไม่กล้าขายแพงด้วย) ตกชิ้นนึง 30 บาทไปจนถึงไม่เกิน 100 บาทโดยเฉลี่ย ดังนั้นถ้าเทียบกับเงินเดือนของการทำงานออฟฟิศ ขายเป็นร้อยๆชิ้นนะ ถึงจะได้ ผู้ซื้อก็หายากเย็น จะขายได้ซักชิ้นแสนลำบาก(สำหรับเว็บเรานะ คนอื่นที่เค้ารวยจากการขายทางเว็บอินเตอร์ e-bay ก็มี แต่เราไปไม่ถีงขั้นนั้น)
สรุปแล้ว ตอนนี้ก็ขาดทุนอยู่เล็กๆ (ไม่มากนักเพราะไม่กล้าเสี่ยง ของในเว็บตอนนี้ยังมีแค่ 20 ชิ้น) ถ้าถามว่าเข็ดไหม ไม่เข็ด เงินที่เราขาดทุน ถือว่าซื้อประสบการณ์
พอเห็นความลำบากของการเป็นแม่ค้าแล้วเเข็ดไหม ตกลงเปลี่ยนใจอยากเป็นสาวออฟฟิศไปตลอดจนเกษียณหรือเปล่า ก็ไม่อีก... เพราะถึงจะเหนื่อย ลำบาก เงินน้อย แต่ได้ความอิสระ ได้เป็นนายตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารักและใฝ่ฝันมากที่สุด
หวังว่าซักวันนึงในอนาคตที่ไม่ไกลเกินไป เราจะได้เป็นแม่ค้าเต็มตัวซักที
Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2550 |
|
11 comments |
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2550 15:53:15 น. |
Counter : 946 Pageviews. |
|
|
|
สบายดีน๊า