March 15th 2009 at 4-6 pm :
หลังจากที่เอาสัมภารกเก็บในบ้านแล้วถ่ายรูปพอสมควร พวกเราก็พาเด็กๆไปที่พาร์คซึ่งอยู่ใกล้กับบ้านพัก ตอนนั้นห้าโมงเย็นกว่าๆพระอาทิตย์กำลังจะตกดินเราจึงต้องรีบไป อากาศเย็นเหมือนกันแต่ไม่มากเท่าไหร่ ใส่เสื้อกันหนาวก็รู้สึกสบายๆ เด็กๆก็วิ่งกันอย่างสนุกสนาน แม่กลัวน้องเจเด้นล้มมากๆ จำได้ว่าแกล้มไปหนหนึ่งอีกวันเข่าถลอกเลย
ระหว่างทางเดินไปพาร์คก็ถ่ายรูปเก็บวิวจากทางด้านขวา พระอาทิตย์เริ่มตกดินแต่ยังไม่มืดเลย
พาร์คก็มีประตูกั้นและมีของให้เด็กๆเล่นพอควร ตอนที่ไปเย็นนั้นไม่มีเด็กคนอื่นเลยสักคน
เงียบดีจริงๆ
มัมแม่สามีมาด้วย ก็เลยได้ช่วยดูเด็กๆให้ได้บ้าง
ลูกชายทั้งสองของแม่โตวันโตคืน สามารถที่จะเล่นกันได้ดีขึ้นบ้าง คงอีกสองปีที่น้องเจพูดได้เยอะขึ้น แม่อยากเห็นเวลาที่ลูกพูดกันเหลือเกิน อยากเห็นเวลาที่ลูกเล่นและทำกิจกรรมร่วมกัน รักกันให้มากๆนะคะลูก
วิวยามเย็นสวยมากๆ คิดแล้วอยากให้มีวิวแบบนี้ดูทุกวันเลย ยามค่ำคืนฟังเสียงน้ำกระทบฝั่ง โอ๊ยสุขใจจริงๆ ไม่ค่อยอยากออกไปไหน นั่งชมวิวจากในบ้านและบริเวณรอบนอกพร้อมๆกับครอบครัวที่แสนจะอบอุ่นแค่นี้ก็เพียงพอแล้วค่ะ
ทิ้งท้ายไว้ให้คิด
ฝนยังไม่ตกทุกวัน ฟ้ามีมืดก็มีสว่าง แล้วจะยึดติดทำไมกับอะไรที่ผ่านเข้ามา เพราะไม่ว่าสุขหรือทุกข์ มันก็คงไม่อยู่กับเรานานอยู่ดี คิดไว้แบบนี้จะได้สบายใจ แต่ถึงแม้ความทุกข์มันจะรักเรามากกว่า เพราะมาหาเราบ่อยเหลือเกิน ก็ให้ถือเสียว่า เป็นการฝึกความแข็งแรงของใจ และถึงจะต้องร้องไห้ ก็ให้ถือเสียว่า ดวงตาของเราก็อยากแข็งแรงเหมือนกัน . . . มักจะบอกตัวเองอยู่เสมอๆ ว่า ถ้ามองทุกอย่างในแง่จริง แล้วมันเจ็บปวดนัก ก็ให้มองมันในแง่ดี ส่วนแง่ร้ายก็ลืมๆ มันไป ทำเป็นมองไม่เห็นมันเสียบ้าง คงไม่เสียโอกาสอะไรในชีวิตไปหรอก ที่พูดแบบนี้ ไม่ใช่ให้เลี่ยงที่จะรับรู้ความจริง แต่ความจริง ก็มีหลายด้านให้เลือกมองไม่ใช่หรือ