Photobucket
Mall with Jt March 22nd 2009


 



 


ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณสำหรับคำอวยพรให้่น้องเจเด้นครบสองขวบด้วยนะคะ ของพี่อ้อยก็ได้แล้วค่ะ ขอบคุณจากใจนะคะ จุ๊บๆ


ช่วงนี้อากาศดีจริงๆค่ะ วีคนี้ถึงแม้จะไม่อุ่นมากแต่ก็ไม่หนาวเท่าไร ตอนนี้ยังไม่ได้อัพอะไรเป็นเรื่องเป็นราวด้วยเหตุผลเดิมๆก็คือทำงานและก็อยากให้เวลากับเด็กๆเต็มที่ ตอนนี้ รร พี่จัสตินปิดค่ะ เล่นเอาแม่เหนื่อยประสาทแทบกลับ คนหนึ่งก็สองขวบก็ซน 2 or terrible 2 ค่ะ กรี๊ดกร๊าดเมื่อไม่พอใจแล้วขว้างของ รื้อได้รื้อดี แม่ทำอะไรไม่ค่อยจะได้ต้องคอยมามีส่วนร่วม ส่วนอีกคนก็ห้าขวบกว่าก็พูดรู้เรื่องส่วนใหญ่แต่บทจะงอแงกับแม่และไม่ยอมน้องก็น่าดูเหมือนกัน ต้องไทม์เอ๊า ดื้อมากจริงๆก็ตีค่ะ รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตีนะคะ แต่เราก็ต้องตีอย่างถูกวิธีด้วยนะคะ


สองวีคก่อนพาพี่จัสไปเล่นที่มอลมาค่ะ ต้องไปซื้อซินเนมอลเพรตเซิลให้พี่จัสทาน



 

(( อร่อยจริงๆ แม่ยังชอบเลย มีคูปองแถมอีกหนึ่ง ^^ ))

 



 

(( ลูกแม่ได้ของหม่ำมาก็ยิ้มแป้น ))

 พอดีร้านอยู่ติดกับ วิคตอเรีย ซีเครท ก็เลยขอลูกแวะไปหน่อย คราวนี้ไม่มีงอแงค่ะเดินตามเข้าไปโดยดีแถมเตือนแม่ว่าอย่าลืมถุงชอปปิ้งด้วยนะ แม่ก็เลยบอกให้ไปหยิบให้ พี่จัสก็ไปหยิบให้ค่ะแถมถือให้ด้วย ^^ ก็เดินสำรวจรอบๆร้าน ใจจริงที่อยากได้ก็คือ กกน ใส่นอนค่ะที่เป็นคอทตอลห้าตัว 25 ยูเอสน่ะค่ะ จะใส่ของเค้านอนตลอดเพราะสบายดี เคยซื้อยี่ห้ออื่นแต่ใส่แล้วนอนไม่หลับ ฮ่าๆ ก็จัดการเดินไปเลือก พี่จัสตินก็จัดแจงเลือกให้บอกว่า หม่ามี๊เอาตัวนี้ๆ แม่ก็ขำใหญ่น่ะสิ พร้อมกับบอกพี่จัสตินว่าต้องเป็นไซส์เอ็มนะคะลูกถ้าแอลมันจะใหญ่เกินไป พอดีไม่มีคนอยู่แถวนั้นแม่จึงรีบหยิบกล้องเล็กมาแช๊ะๆไว้เป็นหลักฐานค่ะ อิอิ


(( โปรดสังเกตุว่าฮีสะพายกระเป๋าชอปปิ้งของทางร้านให้แม่ด้วย ^^ ))



 

(( อืมๆ ตัวนีก็ดีนะแม่ this one ๆๆ ))

 

ส่วนแม่ก็ ^_^ "

 

ตอนจ่ายตังค์พี่จัสตินเป็นคนบอกเบอร์โทรที่บ้านให้คนขายด้วย แม่ได้บัตรกำนัล secret reward มาหนึ่งใบเพราะซื้อเกิน 10 ยูเอส ก็คือมันจะมีมูลค่า 10,50,100 หรือ 500 แต่ที่แน่ๆมีค่า 10 ยูเอสแน่นอนค่ะ ก็ต้องมาพรีเซนต์วันเวลาที่เค้ากำหนดก็ประมาณวันที่ 7 Apr-10 May ค่ะ พอเราจ่ายเงินเสร็จก็กลับบ้านกัน


 


 ช่วงนี้ทำอะไรบ้าง


 1) ทำงานสองวันวีคที่ผ่านมาและวีคหน้า


2) พยายามจัดตู้เสื้อผ้าใหม่ทั้งของตัวเองและของลูก


3) กำลังจะปลูกผักและดอกไม้


 4) ทำความสะอาดบ้าน เคลียร์ของที่ไม่จำเป็นจะได้ไม่รก


5) พาลูกๆออกไปพาร์คไม่ก็มอล


 


รักวัวให้ผูก .. รักลูกให้ตี (อย่างถูกวิธี)

 

สุภาษิตที่ว่ารักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี... สะท้อนให้ทราบว่า ครอบครัวไทยให้ความสำคัญต่อการ “ตี” ว่าสามารถอบรมสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ถกเถียงกันมาหลายปีว่า การอบรมสั่งสอนลูกด้วยการตีนั้น สมควรทำหรือไม่ ความเห็นแบ่งออกเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็จะให้เหตุผลว่า การตีเป็น “สื่อร้าย” เพราะอาจทำให้เด็กเก็บกด หวาดกลัว ไม่กล้าแสดงออก ก้าวร้าว และอาจเข้าข่ายผิดกฎหมายละเมิดสิทธิเด็กได้ ส่วนฝ่ายที่เห็นด้วยก็บอกว่า การตีจะกลายเป็น “สื่อรัก” ถ้าทำอย่างถูกวิธี จะช่วยให้เด็กมีวินัย เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ กล้ารับผิดชอบ และรู้ดีรู้ชั่ว ...อะไรประมาณนั้น


นั่นก็แปลว่า ... ข้อสรุปของยุคปัจจุบัน คือ การตีที่ “ถูกวิธี” ไม่ใช่สิ่งผิดแต่อย่างใด แต่กลับจะให้ผลดีต่อเด็กอีกด้วย แล้วการตีแบบไหน ถึงจะเรียกว่าถูกวิธี วันนี้ดิฉันมีเคล็ด (ไม่) ลับในการตีเด็กอย่างมืออาชีพ มาแบ่งปันค่ะ ก่อนอื่นต้องเข้าใจเสียใหม่ว่า การตีที่ “ถูกวิธี” ไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นการ “ปรับพฤติกรรม” อย่างหนึ่ง มีเป้าหมายไม่ต่างกับการขอเวลานอก (Time Out) ซึ่งจะกล่าวในบทความต่อไป นั่นคือมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับพฤติกรรมเด็กที่แสดงออกอย่างไม่เหมาะสมแบบต่างๆ เช่น ตีเด็กอื่น พูดคำหยาบ โกหก ขโมยของ ทำลายสิ่งของ ขี้วีน เม้งแตก ลงไปชักดิ้นชักงอที่พื้นเวลาไม่ได้ดั่งใจ ฯลฯ


ในความเห็นส่วนตัว ดิฉันมองว่าระหว่าง “การรักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” ตามแนวคิดของสังคมไทย และ “การขอเวลานอก” (Time Out) ตามแนวคิดของตะวันตก นั้น ไม่แตกต่างกันทั้งในแง่ของเป้าหมาย และวิธีการ ดิฉันเข้าใจว่า “การตี” ในความหมายของครอบครัวไทยสมัยก่อน คงไม่ใช่เพียงการใช้มือหรือไม้เรียว ตีเด็กอย่างเดียว แต่หมายถึงการจำกัดพฤติกรรมให้อยู่ในขอบเขต ซึ่งคงหมายความรวมถึงการตักเตือน สั่งสอน และชี้แนะเพื่อไม่ให้เด็กเดินออกนอกลู่นอกทาง เฉกเช่นการผูกวัวไม่ให้เดินหลงทางไป ซึ่งถ้าเป็นลักษณะแบบนี้ก็ไม่แตกต่างจากการขอเวลานอก แต่อย่างใด สำหรับการตีที่ “ไม่ถูกวิธี” นั้นไม่ใช่การปรับพฤติกรรม แต่เป็นการลงโทษ ซึ่งส่งผลเสียต่อเด็กพอๆ กับการไม่สั่งสอนใดๆ หรืออาจจะส่งผลเสียมากกว่าด้วยซ้ำ เอาล่ะค่ะ


 คราวนี้ดิฉันขอเสนอ 4 ขั้นตอนในการตีที่ถูกวิธี หรือตีอย่างมืออาชีพ ..


 ขั้นที่ 1 สำรวจอารมณ์ตัวเอง ก่อนตีลูก ต้องนั่งนิ่งๆ สักครู่เพื่อสำรวจตัวคุณเองว่า คุณหัวเสียกับลูกมากน้อยแค่ไหน ถ้าโกรธจนใจมันเต้นตุบๆ ตัวสั่น ปากสั่น ลมออกหู ก็อย่าตีลูกเวลานี้เป็นอันขาด เพราะการตีจะรุนแรงมากกว่าปกติ ลูกคุณอาจได้รับบาดเจ็บทั้งกายและใจ แถมยังไม่ได้เรียนรู้ใดๆ จากการถูกตีครั้งนี้ นอกจากนั้น คุณจะส่งผ่านความก้าวร้าวไปสู่ลูกโดยไม่รู้ตัว ทำให้ลูกซึมซับความก้าวร้าวทีละน้อย ทางที่ดีคุณควรหายใจเข้าออกลึกๆ เรียกสติให้ดี ท่องคาถาในใจว่า “โอม...จงลง...จงลง” (หมายถึงอารมณ์โกรธจงสงบลง ...ฮา... ) เมื่ออารมณ์สงบลงบ้างแล้ว ก็รีบตีซะ อย่าปล่อยให้เวลาล่วงเลยนานเกินไป เดี๋ยวลูกจะงง เพราะลืมไปแล้วว่าตีเขาด้วยเรื่องอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กอายุ 2-3 ขวบ คุณต้องจัดการให้เร็วที่สุด เพราะเด็กวัยนี้ยังเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ ไม่เก่งนัก ตีเหล็กต้องตีขณะที่กำลังร้อน แต่ไม่ใช่ตีลูกขณะที่อารมณ์คุณกำลังร้อนนะ หมายความว่าต้องจัดการขณะที่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นไม่นาน


 ขั้นที่ 2 บอกเหตุผลของการตี ก่อนตี นำลูกออกมาจากสถานการณ์นั้นๆ ก่อน อย่าตีเขาต่อหน้าคนอื่น (ถ้าไม่จำเป็น) อย่าลืมว่าเด็กก็มีหัวใจ มีศักดิ์ศรี เขาอายเป็นเหมือนกัน การตีอย่างมืออาชีพ ต้องไม่ทำให้เด็กรู้สึกเจ็บอายและด้อยค่า แต่ควรจะทำให้เด็กรู้สึกว่าตัวเองกล้าหาญ ที่กล้ารับผิด หรือกล้าเผชิญความจริง ซึ่งเด็กจะรู้สึกอย่างนั้นได้ ถ้าเขายอมรับว่าเขาผิดและสมควรถูกตี แต่!!!!! อย่าคะยั้นคะยอให้เขายอมรับผิด ณ ขณะนั้น เช่น พูดว่า ... “ลูกรู้ตัวมั้ยว่าทำผิด” .. หรือ .. “บอกมาซิว่าลูกผิดไปแล้ว..(ขอโทษ เดี๋ยวนี้ !!)” อย่า!!!! ตั้งคำถามว่า “ลูกทำหรือเปล่า” เพราะร้อยทั้งร้อยลูกจะตอบว่า “ไม่” ถามหน่อยเถอะ เวลาคุณถูกตำรวจจับเพราะขับรถผิดกฎจราจร คุณยอมรับผิดแต่โดยดีตั้งแต่แรกเลยหรือไม่ เด็กก็เช่นเดียวกัน อย่าเปิดโอกาสให้เขาอ้างเหตุผลร้อยแปดเพื่อให้พ้นผิด


 ฝึกให้เขารับผิดไปเลยด้วยการบอกว่าเขาทำผิดอะไร และคุณจะตีเขาเพราะเหตุนั้น โดยบอกเพียงสั้นๆ ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับอายุเด็ก ไม่ใช่เอาแต่เทศนาสั่งสอน อ้างเหตุผลต่างๆนานาว่าลูกต้องเป็นเด็กดี กตัญญูต่อพ่อแม่อย่างโน้นอย่างนี้ อารมณ์ ณ ตอนนั้นเด็กไม่พร้อมจะรับฟังคุณหรอกค่ะ นอกจากนั้น ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะบอกเหตุผลการตีว่าเป็นเพราะลูกทำให้คุณเสียใจ เช่น พร่ำเพ้อว่า “ลูกทำแบบนี้แม่เสียใจมากนะคะ ..หัวใจแม่แทบสลาย (น้ำตาเริ่มปริ่ม) ..เพราะฉะนั้น แม่ขออนุญาตตีลูกหน่อยนะ (แน่ะ ..ยังจะขออนุญาตอีก) การพูดทำนองนี้เป็นการยึดพ่อแม่เป็นศูนย์กลาง คุณควรจะยึดลูกเป็นศูนย์กลาง คือ ทำให้ลูกรู้สึกว่า การตีครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อตัวเขา ช่วยปรับพฤติกรรมเขาให้ดีขึ้น ไม่ใช่ทำเพื่อตัวคุณ ตัวอย่างของคำพูดที่ควรใช้ เช่น .. “พ่อจะตีลูก เพราะเมื่อกี้ลูกทุบหัวน้องพลอย” สั้นๆ แค่นี้พอ ซึ่งสีหน้าคุณต้องจริงจังด้วยนะคะ ไม่ใช่พูดไปหัวเราะไป เด็กจะยิ่งสับสน


ขั้นที่ 3 ลงมือตี ด้วย... ไม้เรียว ทำไมต้อง “ไม้เรียว”? ประการแรก....ไม้เรียวทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณผิวหนังเท่านั้น มักไม่ทำให้อวัยวะภายในได้รับบาดเจ็บ ถ้าตีด้วยมือ หรือขึ้นศอกขึ้นเข่า อาจเกิดแรงกระแทกจนทำให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะสำคัญๆ ได้ เช่น ตับม้ามแตก หรือ กระดูกหัก ประการที่สอง....มือของพ่อแม่คือสื่อรัก ที่พ่อแม่ใช้ในการโอบอุ้มกอดรัดสัมผัสลูก หากใช้มือนั้นตีลูก ลูกจะรู้สึกสับสนว่ามือที่เคยให้ความรักความอบอุ่นแก่เขา ทำไมกลับกลายเป็นมือที่ทำร้ายเขาไปได้ ประการที่สาม... หากใช้มือตี พ่อแม่มักตีลูกทันที โดยไม่ยั้งคิด เพราะมืออยู่ติดตัวพ่อแม่ สามารถใช้ได้ทันที ต่างจากการใช้ไม้เรียว ที่พ่อแม่มักจะเดินไปหยิบ ซึ่งในช่วงเวลาระหว่างนั้น พ่อแม่อาจได้คิดและสำรวจอารมณ์ตัวเองไปด้วย การตีให้ปลอดภัยควรตีที่ก้น เพราะบริเวณนั้นมีกล้ามเนื้อที่หนา จะช่วยป้องกันการบาดเจ็บต่ออวัยวะภายในที่สำคัญได้ นอกจากนั้น การตีที่อื่น เช่น ที่น่อง แขน และขา อาจจะเกิดรอยทำให้เด็กอับอายผู้อื่นได้ การตี ก็ต้องตีให้แรงพอเพียงครั้งเดียว เพื่อให้เด็กเจ็บและจำ ไม่ใช่ตีเบาๆ แค่รู้สึกคันๆ เด็กจะไม่หลาบจำ พ่อแม่ที่ใจอ่อน กลัวลูกเจ็บ กลัวลูกร้องไห้ ก็อย่าใช้วิธีตี ควรเลือกใช้วิธีขอเวลานอก (Time out) จะดีกว่า


 ขั้นที่ 4 จบลงด้วยสันติ หลายตำราแนะนำว่า ตีลูกเสร็จแล้ว ควรดึงเขาเข้ามาโอบกอด และบอกเขาว่าเราตีเพราะรัก เพราะอยากให้เขาได้ดี บลา...บลา...บลา.. ดิฉันกลับมองว่า การทำเช่นนี้ ยิ่งจะให้ลูกรู้สึกสับสน และอาจไม่ช่วยให้พฤติกรรมแย่ๆของลูกดีขึ้น เพราะการโอบกอดหลังตี เป็นการให้รางวัลชนิดหนึ่ง ซึ่งเด็กบางคนอาจคงพฤติกรรมแย่ๆ เอาไว้ เพื่อให้ได้รับรางวัลนี้อีก หลังตี ....คุณไม่ควรให้รางวัลใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการโอบกอด ชมเชย หรือให้สิ่งที่ลูกชอบ เพราะลูกจะเข้าใจว่า ถึงเขาแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม ยังไงก็ได้รับรางวัลอยู่ดี การให้รางวัลต่างๆ ควรให้เมื่อลูกแสดงพฤติกรรมเหมาะสมเท่านั้น เช่น วันนั้นลูกไม่แย่งของเล่นหรือไม่ตีคนอื่น (จากที่เคยทำ) คุณก็ควรรีบชมเชยลูกทันที (หรือให้รางวัลอย่างอื่นตามสมควร)


 วิธีปิดฉากที่ดีที่สุด หลังการตี คือ ทำให้บรรยากาศในบ้านเป็นปกติที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตีแล้วก็ให้จบแค่นั้น บอกลูกไปทำอย่างอื่นต่อ ในเด็กเล็กถ้าเขากำลังเล่นอยู่ก็ให้ไปเล่นต่อ ในเด็กโตถ้าเขาต้องการอยู่เงียบๆ คนเดียวในห้องนอน ก็ปล่อยเขาไป เขาอาจต้องการเวลาในการทบทวนตัวเอง ไม่ควรจับลูกมานั่งเทศนา หรือสั่งสอน ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะลูกไม่พร้อมจะรับฟังคุณแน่นอน ถ้าคุณจะสั่งสอนลูก ควรใช้เวลาอื่น เวลาที่ลูกมีความพร้อม สถานที่พร้อม และบรรยากาศพร้อม และที่สำคัญควรใช้วิธีการสอนหลายๆ รูปแบบ เช่น ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เล่านิทาน เล่นบทบาทสมมติ จับประเด็นในละครมาสอนลูก เป็นต้น จะเห็นว่า


การตีอย่างมืออาชีพ 4 ขั้นตอนที่กล่าวมา ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด (ถ้าคนอ่าน ไม่อ่านไปค้านไป..555) จากประสบการณ์การทำงานกับครอบครัวไทย ดิฉันพบว่า พ่อแม่ไทยคุ้นเคยกับการตีมากกว่าการขอเวลานอก หลายครอบครัวไม่รู้จักการการขอเวลานอก และหลายครอบครัวใช้วิธีการขอเวลานอกไม่ถูกต้อง ดังนั้น จึงดูเหมือนว่า ถ้าต่อต้านไม่ให้ตีลูก พ่อแม่ชาวไทยก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากปล่อยให้เด็กมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์นั้นต่อไป หรือไม่ก็ใช้วิธีการสั่งสอนเทศนา ซึ่งเดาได้เลยว่าไม่ได้ผล 99.9 % ((ข้อมูลจากคุณดอกหญ้าพันงู))


 


คราวหน้าจะเสนอเรื่องไทนม์เอ๊าท์นะคะ

 

 

 


 

 



Create Date : 21 กรกฎาคม 2553
Last Update : 21 กรกฎาคม 2553 8:33:33 น. 0 comments
Counter : 254 Pageviews.

Baby I love you
Location :
Amphur Muang Songkhla Thailand / St.Louis Missouri United States

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Photobucket
Photobucket
♥สวัสดีค่ะ เป็นคุณแม่ฟูลไทม์ค่ะ ทำงานพาร์ทไทม์เล็กๆน้อยๆพอที่จะมีสังคมและมีพอคเกตมันนี่กับเค้าบ้าง♥ ♥แต่งานหลัก..เลือกที่จะรักและดูแลลูกๆ ภูมิใจที่สุดสำหรับงานคุณแม่ฟูลไทม์ค่ะ♥
♥จงรักและปฏิบัติต่อลูกของคนอื่น♥ ♥เหมือนที่รักและปฏิบัติต่อลูกของตนเอง♥



free website counters
Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
21 กรกฏาคม 2553
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Baby I love you's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.