... วิธีง่ายๆ ต่อสู้กับมะเร็ง ...


พ่อเลี้ยงวรรณฯ อายุ 60 ปี เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่กระดูกสันหลัง คุณหมอทั้งไทยและเยอรมัน ไม่รับรองว่า จะรักษาหาย จึงไปทำการรักษาที่เกาหลีเหนือ เป็นเวลา 1 เดือน ก็หายจากโรค กลับมาเมืองไทย จึงตั้งเป็นมูลนิธิวรรณ รับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ฟรี! ปัจจุบันมีผู้รับการรักษา 2000 กว่าคน ณ. อ.แม่สอด ห่างจาก จว.ตาก 100 กม.

วิธีการรักษามะเร็ง แบบธรรมชาติง่ายๆ 4 ข้อ ดังนี้

1. จิตใจ ต้องสู้

2. อาหาร งดเว้นเนื้อสัตว์แล้วหันมารับประทานอาหารที่มะเร็งไม่รับประทาน 15 ชนิด ได้แก่

2.1 ธัญพืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวกล้อง, ข้าวม้ง, ข้าวบาเล่ย์, ข้าวสาลี, และลูกเดือย นำมาหุงด้วยหม้อข้าวไฟฟ้า
2.2 ผักผลไม้ 10 ชนิด ได้แก่ หอมหัวใหญ่, มันฝรั่ง, หรือมันเทศ, กล้วยน้ำว้าสุก (8 ลูก/วัน), ฟักทอง, ข้าวโพดหวาน, ยอดแค, ถั่วพู (2 ชนิดนี้ห้ามขาด), บลอคโคลี่ หรือกะหล่ำ ดอก, ถั่วหวาน และคะน้าฮ่องกง(ผักผลไม้ 5 ชนิดแรกใช้นึ่ง) นำทั้ง 10 ชนิด หั่นเป็นชิ้นๆ นำมาเข้าเครื่องปั่นแบบไม่ต้องละเอียดมากเพื่อให้กระเพาะอาหารทำหน้าที่ย่อย จากนั้นนำมารับประทานหนัก 1 กก./วันกับธัญพืช

3. อาบน้ำร้อนสลับเย็นหรือเย็นสลับร้อนอย่างละ 2 นาที รวมเวลา 10 นาที1ครั้ง/วัน เตรียมน้ำร้อน โดยใช้เครื่องทำน้ำร้อน เตรียมน้ำเย็นโดยหาถังน้ำใส่น้ำแข็ง แล้วอาบร้อนจัด และเย็นจัด เท่าที่ร่างกายทนได้ ภูมิต้านทานโรคทั้งสิ้น 2 จำพวก จะถูกกระตุ้นขึ้นมาทำหน้าที่อย่างแข็งขัน

4. การออกกำลังกาย เดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 45 นาที/วัน ง่ายไหมครับ

“มูลนิธิวรรณ”เลขที่ 3/681 ประชานิเวศน์ ถ.เทศบาลนิมิตเหนือ ลาดยาว จตุจักร กทม.
- เบอร์โทรศัพท์มือถือ พ่อเลี้ยงวรรณ 02 1580658 / 086-7886222






Create Date : 08 สิงหาคม 2551
Last Update : 29 สิงหาคม 2551 21:49:55 น.
Counter : 708 Pageviews.

5 comments
  
วิธีสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆ

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย

1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด นื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้

2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง

3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมออนหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์>มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหาร ไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง

4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่าย โดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ
ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ

8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือก เนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำหรือเป็นเวลานาน

10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้

11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อยบ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ

12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้ เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อ
บริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์
ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่

13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ

****ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร

แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้

14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกาย

มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด

นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา (Melanoma )คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่าง หรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ

ส่วนอันนี้เค้าฟอเวิร์ดติดมาด้วย –
ถึงท่านผู้โชคดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหาย
โดยไม่คาดคิดสำหรับมะเร็งจะหายภายใน 6 วัน

วิธีรักษา - ไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึงก้อนเกลือ 3 ก้อน นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม ให้ดื่มจนหมดชาม
สรรพคุณในการรักษา - หลังจากดื่มยานี้แล้ว ควรดื่มน้ำตามมาก ๆ นำส่วนที่เหลือมารับประทาน
ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ

***ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็นเงินค่ารักษา
และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด
หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน

โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:22:01:58 น.
  


นายแพทย์อารีย์ วชิรมโน รักษามะเร็งด้วยตนเองหายใน 3 เดือนด้วยหลัก 7 อ.


"ผมจบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และที่มหาวิทยาลัยมอสโกด้วย ผมสอนนักศึกษาปริญญาเอกที่ฮาร์วาร์ด มาเป็นเวลา ๓๐ ปี"

ทำไมคุณหมอจึงตัดสินใจเดินทางกลับเมืองไทย
" ผมตั้งใจจะกลับมาตั้งนานแล้ว พอดีเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากระยะสุดท้าย
ทีแรกนึกว่าเป็นนิ่ว ปัสสาวะมันขัด พอไปเอกซเรย์ดู ต่อมลูกหมากโตเบ้อเริ่ม

เมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งผมก็ตัดสินใจกลับมาตายเมืองไทย อยากกลับมาหาแม่
และอยากกลับมาอยู่ป่า เพราะอยู่ป่าคอนกรีตมา ๓๐ กว่าปีแล้ว
ตอนเป็นมะเร็งหนัก ๆ จะตายแล้ว ลูกสามคนไปให้กำลังใจ ตอนนั้นผมคิดว่า
คงอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ พอลูกเตือนสติว่าไหนป๋าบอกว่าจะมีอายุอยู่ถึง ๑๒๑ ปี
ให้ได้ ป๋าผิดคำพูด สู้ไม่จริง ...นั่นแหละ จึงได้คิดว่าจะลองสู้ดูสักตั้งไหม

มะเร็งไม่เคยให้โอกาส คนครั้งที่ ๒ ผมไปซื้อรองเท้ามาฝึกเดิน แล้วคิดว่าจะแก้
เรื่องเครียดยังไง เพราะความเครียดเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็ง ทีเดียว

คิดไม่ออก นอนปลงอยู่บนเก้าอี้ผ้าใบ คิดว่าถ้ากูตาย ลูกจะรู้หรือเปล่า
บอก เพราะผมอยู่ในป่าใครจะไปคนเดียว จนกระทั่ง คิดหาวิธีแก้เครียดได้
คือการคิดแบบตรงกันข้าม เช่น มีคนมาลักวัวเรา ก็ไม่ต้องเครียด
ถือเสียว่าได้ชดใช้กรรมกันในชาตินี้ เพราะชาติที่แล้วกูไปลักของเขามา
หรือมีคนด่าเรา ถือเราได้บุญ เพราะช่วยให้คนที่ด่าเราหายเครียด
ได้ระบายอารมณ์ พอคิดได้อย่างนี้

ตอนหลังคิดอะไรเป็นตรงกันข้ามหมด คิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูกนะ
และแม่เรายังอยู่ เราจะตายก่อนแม่ได้อย่างไร และแม่เราเป็นชาวบ้านธรรมดา
ไม่รู้จักรักษาสุขภาพตัวเอง แต่เราเป็นหมอจะมาตายกับโรคโง่ ๆ อย่างนี้ไม่ได้
เราอายแม่ อายหมาด้วย หมายังไม่เป็นมะเร็งเลย เมื่อมันเป็นแล้ว
ถ้าเรายังแก้ไม่ได้ เราไม่ใช่คน แต่เราก็รู้ว่าการที่จะสู้ ต้องสู้ด้วยจิต

ฝึกจิตให้ได้ เริ่มคิดไปในทางบวก อะไรก็ดีหมดทุกอย่าง มะเร็งนี่ถือว่าทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปเลย"

แต่ก่อนผมเป็นคนดุมาก อารมณ์เกรี้ยวกราด บวกกับการกินอาหาร
ซึ่งผมกินเนื้อแบบฝรั่งตลอด ทำให้ผมเป็นมะเร็ง แต่พอป่วย
เรารู้ว่าจะหายจากมะเร็งได้จิตต้องเปลี่ยน นิสัยการกินต้องเปลี่ยน
อย่างเด็ดขาด เท่านั้นแหละ ดีวันดีคืน ค่ามะเร็งลดลงอยู่แค่ ๗ จาก ๕๗๑
ซึ่งเป็นค่ามะเร็งระดับสูง ผมรักษาตัวอยู่ ๓ เดือนกว่า หายเลย
โรคอื่นก็พลอยหายไปด้วย เบาหวานก็ไม่เป็น โรคเกาต์ที่ต้องกินยามา ๒๐ กว่าปี
ตอนนี้หายหมด คิดถึงมันมากเลย คือเราไม่กินเนื้อ ไขมัน กินแต่ผัก ผลไม้ เกลือแร่ และวิตามิน

คนที่เป็นมะเร็งควรจะกินอาหารประเภทใด

อาหารธรรมชาติอย่างพืชผักผลไม้ มะเร็งไม่ชอบ มีวิตามินสูง คนเป็นมะเร็ง
ต้องกินอาหารพวกนี้ คนที่เป็นมะเร็งส่วนใหญ่จะกินอาหารแบบนี้ได้น้อย

จึงขาดพวกเกลือแร่ เอนไซม์ วิตามิน ฉะนั้นหมอจึงแนะนำให้กินพวกเกลือแร่
วิตามิน เอนไซม์เข้าไปช่วย สรุปแล้วคนเป็นมะเร็งต้องพยายามกินผักผลไม้
เพราะต้องการให้ก้อนมะเร็งอดอาหาร และดู ไม่ให้ขาดเกลือแร่

วิตามินเสริม เพราะมันจำเป็น ส่วนจะเป็นวิตามินประเภทใดก็ต้องให้

หมอตรวจเลือด เพื่อจะรู้ว่าร่างกายเราขาดอะไรก่อน
การหยุดขยายก้อนมะเร็ง นอกจากการเลือกกินอาหารแล้ว

มีอะไรอีกครับ ด้วยการกินวิตามินซี ตามหลักของแพทย์องค์รวม
เขาบอกว่าวิตามินซีต้องได้อย่างน้อย ๒๐ กรัมต่อวัน ในร่างกายเรามีเซลอยู่ประมาณ ๗๕,๐๐๐ ล้านเซล เซลล์ดีจะมีเยื่อหุ้มเซลที่เรียกว่าเหมือนเป็นเสื้อเกราะ

ไม่ให้มะเร็งเข้ามาทำลายได้ แต่ถ้าเซลไหนเป็นมะเร็งแล้ว เยื่อหุ้มเซลจะไม่มี
แถมเซลมะเร็งจะสร้างเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า... ซึ่งเป็นตัวร้าย เอมไซม์ตัวนี้
จะไปทำลายเสื้อเกราะของเซลอื่น ทำให้กลายเป็นมะเร็งต่อไปเรื่อย ๆ
แต่พอวิตามินซีเข้าไปในกระแสเลือด มันจะไปทำลายเอนไซม์ตัวนี้

มะเร็งก็ไม่ขยายตัว นอกจากนี้วิตามินซี เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือ
สารต้านอนุมูลอิสระ มันช่วยลดความเครียดลงได้ ยกตัวอย่างเช่น คนไข้เจ็บปวด
เวลาฉีดวิตามินซี ทำไมคนไข้สงบเร็ว เพราะมันไปลดอีเอสอาร์ หรือ
ลดตะกอนเม็ดเลือดแดง ตะกอนเม็ดเลือดแดงมากเท่าไหร่ หมายความว่า
เกิดการอักเสบ หรือเกิดการเสื่อมของร่างกายมากขึ้นเท่านั้น คนปรกติให้กิน
วิตามินซี ๔-๕ พันมิลลิกรัม/ต่อวัน แต่ถ้าคนที่อยู่ในเมือง มีมลภาวะ
อย่างน้อยต้อง ๖ พันมิลลิกรัมขึ้นไป ประเทศที่กินวิตามินซีสูงมาก

ประเทศนั้นสุขภาพเขาจะดีมาก แล้วหน้าตาเขาจะดี ประเทศที่กินมากที่สุด
คือสวีเดน รองลงไปคือรัสเซีย พวกนี้สุขภาพจะดีมาก ทั้งที่กินเนื้อสัตว์มาก

เรากินวิตามินซี จากส้มเพียงพอหรือไม่ ท่านทราบหรือไม่ว่า ส้มลูกหนึ่งมี
วิตามินซีอยู่ ๑๐๐ มิลลิกรัม หมายความว่าต้องกินจากต้น แต่ถ้าส้มหนึ่งลูก
เก็บไว้เจ็ดวัน จะเหลือ ๑ มิลลิกรัม เท่านั้น วิตามินซีหายหมดเลย
ดังนั้น ถ้าคุณจะกินส้มให้ได้ ๔ พันมิลลิกรัม ต้องกินส้มสี่พันลูก กินวิตามินซีมาก ๆ

ทางการแพทย์บอกว่าอาจจะมีปัญหากับระบบปัสสาวะ
วิตามินซีอยู่ในเลือดเราได้ ๒ ชั่วโมง แล้วจะถูกขับออกมา แต่ก่อนเขาบอก
วิตามินซีพอกินเข้าไปปั๊บ ร่างกายเราจะเปลี่ยนเป็นออกซาลิกเอซิด
แล้วพอตกไปกระเพาะปัสสาวะ มันจะเป็นนิ่ว แต่เปอร์เซ็นต์มันน้อยเหลือเกิน
ทฤษฎีมันว่าอย่างนั้นจริง แต่อัตราการเกิดมีน้อยมาก เพราะปรกติมันจะ
ออกมากับปัสสาวะ ถ้าเราดื่มน้ำ มันจะออกหมดภายในสองชั่วโมง ไม่ได้สะสม

บางคนพอกินวิตามินซีเข้าไป ดื่มน้ำน้อย วิตามินซีมีสามรูป แอสคอมิกเอซิด
แคลเซียมแอสคอเบด โซเดียมแอสคอเบด อย่างพวกวิตามินซีชีวภาพ
เขาจะเอาทั้งสามอย่างมารวมกัน แอสคอมิกเอซิดเป็นกรด แคลเซียมแอสคอเบด
กับโซเดียมแอสคอเบดเป็นด่าง เพื่อที่จะลดกรดลง ถ้าเรากินวิตามินซี
พวกนี้เข้าไป จะไม่ค่อยมีปัญหา แต่วิตามินซีที่เรากินทั่วไป จะเป็น
แอสคอมิกเอซิดซึ่งเป็นกรด กินเข้าไปแล้ว ขับถ่ายออกมาเร็ว
ถ้าเรากินน้ำน้อย ตะกอนพวกนี้ไปตกที่กระเพาะปัสสาวะ จะแสบ
ฉะนั้นจึงบอกให้ดื่มน้ำมาก ๆ


เหตุใดคุณหมอให้ความสำคัญกับการกินวิตามินมากครับ

คนเราทุกวันนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สิ่งแวดล้อมทำให้เรารับอนุมูลอิสระ
หรือสิ่งมีพิษเข้าไปในร่างกาย เราจะต้องกินพวกแอนตี้ออกซิแดนท์
เข้าไปมากที่สุดเพื่อต่อสู้กับมลภาวะพวกนี้ ฉะนั้นเรากินแค่นั้นไม่เพียงพอ
ตามปรกติจะให้ร่างกายแข็งแรง ต้องได้วิตามินซีไม่ต่ำกว่า ๔-๕ กรัมต่อวัน
เป็นขนาดที่เพียงพอ สำหรับให้ท่านมีชีวิตอยู่เท่านั้น ไม่ได้เพียงพอที่จะ
สร้างภูมิต้านกินหรือต่อสู้เชื้อโรค คนในเมืองจึงเป็นหวัดกันไม่หยุดเลย
ก็ลองกิน ๖-๑๒ กรัม ดูซิว่าตอนที่เราอยู่ในเมือง เราเป็นหวัดหรือไม่ ไ
ม่เป็นหรอก แต่ที่ผ่านมาเราไปยึดตำรา ของกระทรวงสาธารณสุขของอเมริกา
ของแพทย์ตะวันตกที่ให้กินวิตามินซีได้นิดเดียว ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปหมดแล้ว
จึงมีการสอนกันว่าเรื่องการให้เกลือแร่ วิตามินต้องขึ้นอยู่ในสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น

หลักการป้องกันมะเร็งของคุณหมอ อีกประการคือ การสร้างภูมิคุ้มกัน ให้กับร่างกาย ก็คือการเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวใช่ไหม

พอเราเกิดมาปุ๊บ จะมีทหารมาคุ้มครองเรา คือเม็ดเลือดขาว ปรกติในหนึ่งตารางมิลลิเมตรจะต้องมีเซลเม็ดเลือดขาว ระหว่างห้าพันถึงหนึ่งหมื่น ถ้าเลือดเราอยู่
ในเกณฑ์นี้ หมายถึงว่าร่างกายเราแข็งแรง ร่างกายเราพอเกิดมาก็มีสิ่งไม่ดีอยู่
ในตัวเราแล้ว คือโรคที่เกิดจากเชื้อโรคทำให้เราไม่สบาย แต่ก็ยังมีความป่วยไข้
อีกอย่าง เป็นโรคที่ไม่ใช่เชื้อโรค แต่เป็นโรคแห่งความเสื่อมของร่างกาย เช่น
มะเร็ง เบาหวาน ความดัน ฯลฯ ในร่างกายคนเราทุกคนมีเซลมะเร็ง

เหมือนบ้านเมืองนี้ มีโจร แต่ยังไม่ได้ปล้น คนที่ยังไม่ได้เป็นมะเร็ง
คือมันยังยึดไม่ได้ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหารหรือภูมิคุ้มกัน
แข็งแกร่งอยู่ เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่ยังแข็งแกร่ง พวกนี้ก็อาศัยอยู่เฉย ๆ
แต่เมื่อไหร่เจ้าหน้าที่อ่อนแอ พวกนี้เล่นงานก่อนนอนก็ไม่ได้นอน
ไปเที่ยวกลางคืน กำลังกายก็ไม่ออก ทหารตำรวจก็อ่อนแอ
มะเร็งก็เล่นงานเลย

มีวิธีสร้างภูมิต้านอย่างไร
ทำได้หลายวิธี อาทิ ออกกำลังกาย หรือเดินให้ได้รับแสงแดด
แสงที่สะท้อนบนลูกตาจะไป กระตุ้นต่อม ไพเนียล ใต้สมองให้
หลั่งสารเอ็นโดฟินออกมา ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่เป็นความสุข และระงับ
ความเจ็บปวดได้ดีกว่ามอร์ฟีน ๒๕๐ เท่า เมื่อหลั่งออกมา เรามีความสุข
มองโลกในแง่บวกทันที พอไม่เจ็บ มันก็สดชื่นขึ้นมาทันที ฮอร์โมนหลั่ง
ทันที มันไปกระตุ้นต่อมไทรอยและต่อมต่าง ๆ ในร่างกายของเราให้ผลิต
เม็ดเลือดขาวออกมาทันทีเลย นั่นหมายถึงว่าเริ่ม สร้างภูมิต้านกันแล้ว
และการยิ้มหัวเราะ คลายเครียดแต่ละครั้ง ก็หลั่งเอ็นโดฟีนออกมาด้วย
นอกจากนี้แสงอุลตราไวโอเลต ยังเปลี่ยนคลอเลสเตอรอลให้เป็นวิตามินดี
วิตามินดีจะไปช่วยให้ แคลเซี่ยมที่อยู่นอกกระดูก กลับเข้าไปในกระดูก
ลดคลอเลสเตอรอล ทำให้กระดูกแข็งแกร่ง ช่วยในการดูดซึมของฟอสฟอรัส
แคลเซี่ยม แมกนีเซียม ในทางเดินอาหารให้ได้ดี วิตามินดีที่เรากินเข้าไปสู้


วิตามินดีที่เราได้จากธรรมชาติ จากแสงอุลตราไวโอเลตไม่ได้ ไส้ติ่ง
ก็เป็นประโยชน์แก่ภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย แต่แพทย์ปัจจุบันแนะนำให้ตัดออก
สมัยสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันที่มารบในสงคราม ทุกคนต้อง
ผ่าตัดไส้ติ่งหมด เพราะกลัวว่าจะเกิดไส้ติ่งอักเสบในสงคราม ตัดหมดทุกคนเลย
ไส้ติ่งมีประโยชน์เกี่ยวกับภูมิต้าน กินหลายอย่างมาก ตอนหลังนักวิทยาศาสตร์
เขารู้ว่าไส้ติ่งมีประโยชน์ ทหารอเมริกันที่กลับจากสงครามเขาเอาเรื่องรัฐบาล
ว่ามาตัดไส้ติ่งเขาหมด รัฐบาลปิดปากเงียบเลย ฉะนั้นพวกที่กลับจาก
สงครามเวียดนาม รัฐบาลอเมริกันให้ทุกอย่างเลย เพื่อปิดปากเรื่องหน้าแตกนี้
การเดินเท้าเปล่าช่วยสุขภาพอย่างไร ผมสังเกตมนุษย์ที่อยู่บนเขา
อายุยืนเยอะมากเลย ส่วนมากเขาจะเดินเท้าเปล่า คนที่เดินเท้าเปล่าบนพื้นดินธรรมชาติ เราได้อะไรได้พลังจักรวาลจากพื้นโลก ซึ่งมันมีสนามแม่เหล็ก
ในร่างกายของเรา ประกอบไปด้วย เซลประมาณเจ็ดหมื่นห้าพันล้านเซล
แต่ละเซลเหมือนแบตเตอรี่แต่ละลูก ทีนี้ในแต่ละลูกมันต้องมีขั้วบวก ขั้วลบ
เมื่อร่างกายเสื่อมโทรม ประจุลบ ประจุบวก มันไม่สมดุลกัน เหมือนแบตเตอรี่
หมดไฟ ไฟมันหรี่ลง แต่ถ้าเราไปเดินเท้าเปล่าบนพื้นโลก พลังงานจากแม่เหล็ก
โลกมันจะไปเรียงอิเล็กตรอน กับโปรตอนในเซลของเราใหม่ เหมือนเราไป
ชาร์จแบตเตอรี่ใหม่ ฉะนั้นเราสังเกตง่าย ๆ ว่าคนที่ใส่แต่รองเท้าแล้วอยู่แต่
ในตึกพวกนี้ พลังงานจักรวาลจะไม่ได้เลย พลังงานจักรวาลในโลกเรา
ได้มาอย่างไร ๙๘ เปอร์เซ็นต์ ได้มาจากดวงอาทิตย์ แม้แต่อาหารก็มาจาก

ดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์เปลี่ยนพลังงานไว้ตรงไหน ที่พืชพรรณธัญญาหาร
เราก็กินพวกนี้เข้าไป
การรักษาคนไข้ของหมอ แผนปัจจุบัน อาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญ
กับการสร้างภูมิคุ้มกัน
หรือไม่ที่มันเกิดโรค หรือโจรเกิดในบ้านเมืองเพราะอะไร เพราะความอ่อนแอ
ของเจ้าหน้าที่ เซลมะเร็งก็มีมาตั้งแต่เราเกิด แต่ถ้าเราภูมิต้านกินดี
มันก็อยู่เฉย ๆ ทำอะไรเราไม่ได้ แต่เมื่อเป็นมะเร็งเราไม่เคยคิดว่า
จะสร้างภูมิต้านกันอย่างไร คิดแต่จะฆ่าศัตรู แต่อย่าลืมว่าฆ่าพวกนี้
ไม่ได้หมดเพราะมันกลายพันธุ์ไปเรื่อย เดี๋ยวนี้เพนนิซิลิน คนลืมไปแล้ว
เพราะมันใช้ไม่ได้ผล คิดค้นมาเท่าไหร่ พวกนี้ก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ อย่าง
มะเร็งทุกวันนี้ก็กลายพันธุ์ไปเรื่อย ครั้งแรกใช้คีโมตัวนี้ พอใช้ไป
ดื้อซะแล้ว ตัวใหม่แรงกว่าเก่า แล้วก็ดื้ออีก ในขณะที่ร่างกายเรามี
แต่อ่อนแอลง เพราะคีโม ไม่ได้ไปหยุดการเจริญเติบโต ของเซลมะเร็ง
เท่านั้น แต่เซลเม็ดเลือดขาวพลอยตายไปด้วย สมมุติเป็นมะเร็งลำไส้
ไปผ่าตัดปั๊บ บางทีเป็นเต้านม ตัดอีก อยู่ไม่เท่าไหร่ เป็นอีก เพราะอะไร
เพราะเซลมะเร็งยังอยู่ ท่านไม่สามารถพิชิตโรคที่เกิดได้ แต่สามารถ
ทำให้ร่างกายแข็งแรง เหมือนเราไม่สามารถปราบโจรในโลกให้หมดได้
แต่สามารถป้องกันไม่ให้โจรมาปล้นได้ ถ้าเจ้าหน้าที่ของเราเข้มแข็ง
หมายความว่า การรักษามะเร็งด้วยการผ่าตัด ฉายแสง หรือคีโม

ไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้อง ผมเชื่อว่าการรักษาทุกอย่างใช้ได้หรือไม่
ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของคนไข้แต่ละกรณีไป เหมือนการผ่าตัดมะเร็ง บางครั้ง
ก็จำเป็น บางทีมะเร็งไปอุดตัน หรือไปเบียดบังอวัยวะอื่น ทำให้อวัยวะอื่น
ทำงานไม่ได้เต็มที่ ก็จำเป็นต้องตัด แต่ตัดแล้วไม่ใช่หาย หรือฉายแสง
ให้คีโมแล้วก็ยังไม่หาย ตราบใดที่เม็ดเลือดขาวเรายังอ่อนแอ
นอกจากหลักการควบคุมอาหาร และการสร้างภูมิต้านกินแล้ว
คุณหมอให้ความสำคัญกับการทำดีท็อกซ์
ดีท็อกซ์ ย่อมาจาก Detoxification
หมายถึง การกำจัดพิษออกจากร่างกาย
การเอาพิษออกมีหลายวิธี เช่นการออกกำลังกาย การอบความร้อน
แต่ในที่นี้เราหมายถึงการสวนทวาร เพราะอาหารที่เรากินเข้าไป จะระบายเป็น
ของเสียคือ อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อ และลมหายใจ ตรงไหนสกปรกมากที่สุด
ก็คืออุจจาระ ขณะที่เหงื่อที่ระบายออกมาทางผิวหนัง เราก็ทำความสะอาด
โดยการอาบน้ำวันละสองครั้ง ทั้งที่สกปรกน้อยกว่าอุจจาระ การที่เราถ่ายทุกวัน
เราไม่ได้ถ่ายหมด บางคนไขมันติดเป็นคราบ เป็นก้อนอยู่กับลำไส้ เป็นเวลา
หลายสิบปี อาหารที่มีเส้นใยก็ไม่กิน ข้าวกล้องก็ไม่กิน ของเสียติดกันเป็นพืด
เป็นพิษเข้าไปร่างกาย แต่การทำดีทอกซ์ มันช่วยทำให้ลำไส้สะอาด เมื่อลำไส้เราสะอาด แล็กโตบาซิลลัส ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดดีจะเจริญเติบโตได้รวดเร็ว
การดูดซึมสามารถทำได้เต็มที่ แต่ถ้า อุจจาระมีกลิ่นเหม็น เกิดสารพิษขึ้น


ตั้ง ๙ อย่าง สารพวกนี้นอกจากก่อมะเร็งลำไส้แล้ว ยังสามารถดูดซึมเข้าไปใน
กระแสเลือด ทำให้ตับทำงานหนัก การทำดีทอกซ์เป็นการ ช่วยตับด้วยให้
รับภาระนี้น้อยลง กาแฟยังไปช่วยตับให้ผลิตน้ำดีเพิ่มขึ้น เพื่อไปลดโคเลสเตอรอล และ เอาของเสียที่ตับกำจัดออกมา น้ำดีเหมือนรถบรรทุก เอาของเสียมาทิ้ง กับน้ำดี น้ำดีก็จะพาออกมากับอาหารของเรา นอกจากมันช่วยย่อยอาหารแล้ว
ยังช่วยเอาของเสีย ออกมาจากตับด้วย ถ้าคนเราถ่ายวันละสองครั้ง
ยังต้องทำดีทอกซ์ หรือไม่ควรทำ เพราะถึงคุณถ่ายยังไง ก็ไม่หมด
ไม่สะอาด สังเกตดูว่าถ่ายสองครั้งมีกลิ่นหรือไม่ ถ้ามีหมายความว่าเกิด
ของเสีย ๙ อย่างแล้ว การที่เราทำดีทอกซ์ทุกวัน แบคทีเรียที่ดีจะไม่ออก
จากร่างกายหรือ มันออกไปบ้าง แต่มันเจริญเติบโตเร็ว ขยายตัวเร็ว
เพราะลำไส้เป็นกรดคือ ลำไส้สะอาด แต่ถ้าเป็นด่างคือมีกลิ่นเหม็น สกปรก แบคทีเรียพวกแลคโตบาซิลลัส มันจะชอบลำไส้ที่เป็นกรด สะอาด
แต่แบคทีเรียชนิดเลว ชอบลำไส้สกปรก และเป็นด่าง คุณหมอทำดีทอกซ์
ตั้งแต่กลับมารักษาตัวที่กรุงเทพฯ หรือไม่ ทำตั้งแต่เป็นมะเร็งอยู่เมืองนอก
แต่ทำครั้งเดียว และมาตรวจดูว่า พิษในไตและตับลดลงไม่มาก ต่อมาก็พบว่าอาหารที่มีกาก จะอยู่ในลำไส้เรา ๑๒-๑๔ ชั่วโมง ถ้าเราทำดีทอกซ์วันละครั้ง
มันลดลงไม่หมด เพราะ ๒๔ ชั่วโมง อุจจาระเรามีกลิ่นแล้ว เราจะทำยังไงไม่ให้อุจจาระเรามีกลิ่น ก็ลองทำสองครั้ง เช้า-เย็น กากอาหารจะอยู่ในลำไส้
ไม่เกิน ๑๒ ชั่วโมง ปรากฏอุจจาระไม่มีกลิ่น เท่านั้นแหละ ไม่กี่เดือน
พิษต่าง ๆ ของตับ และไต ลดลงเป็นปรกติเลย เป็นการล้างพิษที่ดีที่สุด
และถูกหลักวิทยาศาสตร์ เพราะเขาบอกว่า ยิ่งลำไส้ใหญ่สะอาดเท่าไหร่

มีสภาพเป็นกรดมากเท่าไหร่ แบคทีเรียชนิดดียิ่งเจริญมากเท่านั้น
เป็นผลดีต่อตับ ไต มากเท่านั้น แบคทีเรียชนิดดี ถ้ามีจำนวนมากขึ้น
จะช่วยร่างกายย่อยอาหาร กินแบคทีเรียที่ไม่ดีสังเคราะห์พวกไฟเบอร์ต่าง ๆ
ให้เปลี่ยนเป็น วิตามินบี วิตามินเคได้ ทำไมการทำดีท็อกซ์จึงต้องใช้
น้ำกาแฟด้วย
มีคนถามผมหลายคนว่า ดื่มกาแฟไม่ช่วยในการล้างพิษหรือ อยากเรียนว่า
มันต่างกัน เวลาดื่มกาแฟมันจะดูดซึมที่กระเพาะ และลำไส้เล็ก เข้าไปใน
กระแสเลือด ไปกระตุ้นหัวใจ ระบบประสาท แต่การทำดีท๊อกซ์น้ำกาแฟจาก
ลำไส้ใหญ่จะมาที่ตับ ไปคนละทางกัน สารคาเฟอีนในกาแฟจะดูดซึมเข้าไปตาม
เส้นเลือดดำในลำไส้ใหญ่ ไปที่ตับ เพื่อกระตุ้นตับให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น ผลิตน้ำดี
มากขึ้น ท่อน้ำดีขยายขึ้น เอาพิษทั้งหลายที่คั่งค้างให้ออกมากับน้ำดีเวลาเรา
ถ่ายออกมา เพราะตับเราทำงานหนักมากที่สุด เพราะสารพิษทั้งหลายที่ผ่านเลือด
ต้องไปกรองที่ตับ ตับกรองได้ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าตับเราไม่ดี มันกรองไม่ได้
แล้วถ้าเลือดเป็นพิษมาก ๆ เราตาย ฉะนั้นถ้าเรากินของพิษเข้าไปมาก ๆ แถม
เราท้องผูก ถ่ายไม่หมด พิษที่มาจากเลือดตามปรกติก็มีอยู่แล้ว พิษจาก
การกินอาหารเข้าไป และพิษมากที่สุดอันหนึ่งคือ อุจจาระ พอเราถ่ายไม่หมด
พิษมันย้อนกลับไปที่ตับ ยิ่งท้องผูกเท่าไหร่ พิษก็ยิ่งไปอยู่ที่ตับกับไต
พอตับและไตทำงานกรองสารพิษหนัก ๆ จนไม่ไหว ระบบในร่างกาย
ก็พาลเสียไปหมด มะเร็งก็ถามหา แต่เมื่อเราใช้คาเฟอีนเข้าไปกระตุ้นให้ตับ


ทำงานกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา ไขมันที่มีมากในเลือด กาแฟก็ไปกระตุ้นตับให้
เปลี่ยนโคเลสเตอรอลให้เป็นน้ำดี เพื่อที่จะช่วยในการดูดซึม วิตามิน เอ อี ดี เค ช่วยย่อยไขมันและช่วยพาของเสียท ี่ตับกรองไว้แล้ว เอามาทิ้ง พวกกินเหล้า
บ่อยที่ใกล้จะเป็นตับแข็ง ยิ่งต้องล้างเยอะพิษใช่ไหมครับ พวกนี้ถ้าล้างพิษ
ประจำก็ดี แต่พวกนี้มักจะขาดวิตามินบี ตับเราเวลาทำงานปรกติ มันก็กักเก็บวิตามินบี ไว้ใช้ในเวลาจำเป็นอยู่แล้ว ตับเรามีหน้าที่หลักมากกว่า ๒๖๐ อย่าง
มันเหมือนเป็นโกดังเก็บไว้ใช้ เมื่อร่างกายเราขาด อันไหนที่มีมากเกินไป
เป็นอันตราย มันก็เปลี่ยนเป็นของดีซะ อันไหนที่เป็นของเสีย ผลิตมากเกินไป
มันก็เอาไปทำลาย เอาของเสียขับออกมา ตับเป็นกองบัญชาการที่จะต่อสู้กับ
โรคภัยไข้เจ็บ ถ้าเรารักษาตับให้ดี อย่างอื่นดีหมด แม้กระทั่งอารมณ์
คนจีนเขาบอกว่า ที่เขาแมะ เขาดูหน้า ดูผิว มันเป็นสิ่งที่บอกว่า คนนี้ตับดี
หรือไม่ดี มันจะแสดงออกมาที่ผิว พฤติกรรมการกินของคนปัจจุบันเป็น
สาเหตุสำคัญของการเกิดโรคภัยมากขึ้น
กินมากตายไว" ถูกต้องครับ พวกที่อายุยืนร้อยกว่าปี กินอาหาร
ทุกวันนี้เรามีความสุขในการกิน เราจึงเจ็บไข้ได้ป่วย สังเกตว่าคนที่กินมาก
เกิดโรคมาก เหมือนที่เขาบอกว่า "กินน้อยตายยาก มื้อเดียว
เดี๋ยวนี้เขามีงานวิจัยกันแล้ว คนที่อายุยืน กินมื้อเดียวจริง ๆ มื้อหลัก
ตั้งแต่ ๑๐.๐๐ น. ไปถึงเที่ยง และเราต้องนอนตั้งแต่สามทุ่ม
ไปตื่นตีห้าแล้วจะสุขภาพดี เวลาเข้านอน ๑ ชั่วโมงครึ่งแรก ช่วงนี้ต้องนอนหลับสนิทไม่ฝันเลย โกรทฮอร์โมนจึงจะหลั่ง หลังจากนั้นท่านจะตื่นบ้างหลับบ้าง

ไม่เป็นไร โกรทฮอร์โมนทำหน้าที่ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของอวัยวะร่างกายเรา เพราะตอนกลางวันเราทำงาน ร่างกายเราสึกหรอ กลางคืน มันซ่อมแซม
พอเราซ่อมบ้านแล้ว เหลือวัสดุ ของเสีย เราก็ขนของไปทิ้ง ร่างกายเราก็เหมือนกัน พอมันซ่อมเสร็จ ช่วง ๐๕.๐๐-๑๐.๐๐ น. เป็นช่วงเอาพิษออกจากร่างกาย สังเกตว่าพอตื่นปั๊บ จะปวดท้องฉี่ อุจจาระมันจะออก นั่นเป็นธรรมชาติ
ช่วงนี้เขาห้ามกินอาหารหนัก กินได้แต่พืชผักผลไม้ กินแต่น้ำเปล่า ๆ
เพราะน้ำเปล่า เป็นการเร่งล้างเอาพิษออกจากร่างกาย หรือท่านจะไป
ทำงานหนักให้เหงื่อแตกก็ได้ เป็นการเอาพิษออกจากร่างกายเหมือนกัน
ฉะนั้นทางที่ดีที่สุด ยิ่งคนเจ็บไข้ได้ป่วย เขาให้เดินออกกำลังกาย ดีที่สุด
แล้วก็ดื่มน้ำเอนไซม์ คือ น้ำผักผลไม้ที่เราคั้น ถ้าคั้นไม่ได้ เราก็กินสด ๆ
พอดื่มน้ำปั๊บช่วงนี้ เป็นช่วงที่ทำงานเต็มที่เลย พอเสร็จแล้ว
จากช่วง ๑๐.๐๐-๑๒.๐๐ น. กินอาหารหลักในช่วงนี้ กินหนักเลย
เสร็จแล้วให้งีบ ๓๐ นาที ถึงหนึ่งชั่วโมง มันเป็นธรรมชาติจริง ๆ
พอกินอาหารอิ่มมันง่วงนอน เพราะมันจะมีฮอร์โมนชื่อ โพลีซีสโตเคนิน
ขับออกมาตรงเจจูนัม ไปกระตุ้นให้ถุงน้ำดีบีบตัว เพื่อให้น้ำดีออกมา
แล้วมีฮอร์โมนอีกตัวหนึ่งออกมาจากสมอง ส่วนไฮโปไทมัส พอเรากินข้าว
อิ่มปั๊บ ฮอร์โมนตัวนี้แหละทำให้เราง่วง ช่วงนี้แหละให้เรางีบเพียง
หนึ่งชั่วโมง พอตื่นขึ้นมา โอ้โหมันสดชื่น เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด
คนที่กินอาหารหนักแล้วพยายามฝืน โดยเฉพาะคนที่ทำงานเสี่ยง กับพวกที่
ขับรถเกิดอุบัติเหตุสูงที่สุด ตอนบ่ายจะเกิดอุบัติเหตุบ่อยมากเลย


ไม่ควรกินอาหารหนักก่อนนอนเพราะอะไรครับ
ก่อนนอน...อย่ากินอาหารหนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของหวาน เพราะ
โกรทฮอร์โมนจะไม่หลั่ง สังเกตได้ คนไหนกินของหวานก่อนนอน ร่างกาย
จะเสื่อมเร็วมาก เพราะโกรทฮอร์โมนไม่หลั่ง ร่างกายไม่ได้ซ่อมแซมอะไรเลย
ภูมิต้านกินก็ต่ำ ถ้าอยากสุขภาพดี ก่อนนอนท่านต้องกินพืชผักผลไม้เท่านั้น
โดยเฉพาะ ส้มคั้น หรือกล้วยน้ำว้า สักลูกหรือสองลูก ในกล้วยน้ำว้า
มีกรดอะมิโนสูงมาก ช่วยทำให้หลับสบาย แล้ว พวกทำงานกลางคืนนอนผิดธรรมชาติ กลางคืนไม่นอน ไปนอนกลางวัน พวกนี้อายุสั้น
เพราะโกรทฮอร์โมนจะหลั่งมากที่สุด เฉพาะกลางคืนเท่านั้น

โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:20:24:58 น.
  

... ต่อ ...

คุณหมอลองยกตัวอย่างคนไข้ที่คุณหมอรักษาหาย มีคนแก่คนหนึ่ง

ชื่อลุงจันตาว ตอนนี้อายุอาจจะถึง ๑๐๐ แล้วมั้ง ตอนไปหาผมประมาณ ๙๖ ปี
ตอนที่มาหาผม เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ออกจากโรงพยาบาลที่สกลนคร
รู้สึกจะเป็นมะเร็งที่ลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะด้วย เป็นเบาหวาน หรือความดันด้วย
ถ้าจำไม่ผิด รักษาอยู่สองสามปีได้ ผมก็ไม่นึกว่าจะรอด แต่โชคดีที่ว่าคนไข้คนนี้
อายุมากแล้ว หูก็ไม่ค่อยได้ยิน เรื่องเครียดก็เลยไม่ค่อยมี ทุกวันไม่บอกว่าเป็น
มะเร็งกลัวจะรับไม่ได้ ผมก็รักษาตอนนี้เขาก็อยู่เหมือนคนปรกติ เราไม่ได้สนใจ
ว่าหายหรือเปล่า ไม่ต้องดูเราอย่าไปเครียดตรงนั้น ถ้าเราจับแกไปตรวจ
แกจะเครียด หรือไม่คนมีอายุ ต้องไปโรงพยาบาล ไปเอ็กซเรย์ มีอีกคนหนึ่ง
บ้านอยู่ละแวกเดียวกัน คนนี้แต่ก่อนมีอาชีพค้าสัตว์ ฆ่าวัว ขายเนื้อในตลาด


เป็นมะเร็งที่สมอง ทุรนทุรายมาก ทุกวันนี้เหมือนคนปรกติเลย แต่ผมก็ไม่ให้
เครียด บอกไม่ต้องไปตรวจ อาการเราไม่มีแล้ว ถ้าไปตรวจแล้วหมอบอกว่า
ยังมีอันนั้นผิดปรกติ คนไข้ถ้าเครียด คิดมากปั๊บ โรคมาทันทีเลย อีกรายเป็น
นายพลเป็นโรคหัวใจ ความดัน สมองเลอะเลือนหมด มาให้ผมรักษา ตอนนี้
สบาย เดินหัวเราะ ร้องเพลง เพราะแต่ก่อนยิ้มไม่ค่อยเป็น เพราะทหาร
ชอบวางมาดเข้ม เดี๋ยวคนไม่เกรงกลัว แต่พวกนี้มะเร็งชอบนักหนา โรคหัวใจชอบ

วิธีการรักษาของคุณหมอ เวลาคนไข้อาการหนักมา เริ่มต้นยังไง

ผมจะต้องอธิบายก่อนว่า คนเราเจ็บไข้เพราะอะไร เราพูดให้คนไข้เกิดความ
เชื่อมั่น ศรัทธา แล้วเกิดปีติ เหมือนเราเชื่อมั่น พระสงฆ์องค์นี้ นับถือ
ผู้หลักผู้ใหญ่คนนี้ พอเราได้ไปกราบไหว้ไปใกล้ชิดแล้ว เรารู้สึกอบอุ่น มีความสุข
พอมีความสุข ปีติเกิด เอ็นโดฟินหลั่ง ทำให้มองโลกในแง่บวก
โกรทฮอร์โมนหลั่ง ถ้าคุณจะรักษาเหมือนในโรงพยาบาล
โดยที่ไม่มีกำลังใจ ไม่มีประโยชน์เลย สำคัญที่สุดคือจิต ลองนึกดู
คนที่ไม่เครียดอย่างคนบ้า เป็นโรคอะไรหรือไม่ คนที่มีอยู่กินทุกอย่าง
ทำไมเกิดโรค เพราะอะไร เขามีครบทุกอย่าง ยุงก็ไม่กัด อากาศก็กรอง อาหารก็สะอาดอย่างดี แต่ทำไมเกิดโรค ทำไมคนไม่มีอะไรจะกิน กินสกปรกตามถังขยะ
หลับนอนยุงกัด แต่ไม่เกิดโรค เพราะอะไรจับจุดตรงนี้ได้มั้ย เพราะไม่เครียด
ผมใช้เวลาอยู่ตั้งหลายปี กว่าจะหาคำตอบตรงนี้ได้


ทำไมหลายคนที่ใช้วิธี บำบัดธรรมชาติจึงเสียชีวิต เพราะจิตสำคัญที่สุด
คนจะหายจากโรคมะเร็ง เราดูหน้ารู้เลย ยิ้มแย้มแจ่มใส หัวเราะ ก็มี
โอกาสหาย แต่ถ้าหน้าหงิก ยิ้มไม่เป็น ก็เรียบร้อย เอายาทั้งโลก หมอทั้งจักรวาลมารักษา ก็ไม่มีทาง มันอยู่ที่ตัวเอง การที่จะทำให้สุขภาพดี
หายจากโรคก็ต้องทำตามคำแนะนำของหมอทั้งหมด
คนไข้ที่มาหาหมอ หมอช่วยได้ครึ่งหนึ่ง คือให้พวกเกลือแร่ วิตามิน
พวกเอนไซม์ พวกอาหารเสริมทั้งหลาย ที่เหลือคนไข้ปฏิบัติเองหมด
ว่าทำได้หรือเปล่า หมอเป็นเพียงเทรนเนอร์ มุมข้างนั้นมะเร็งขึ้นเวทีแล้ว
อาจจะเป็นมุมแดง หรือน้ำเงิน อีกข้างหนึ่ง คนไข้ต้องขึ้นแล้ว หมอบอกว่า
ต้องฟุตเวิร์ค ต้องหมัดแย็บก่อนนะ หมัดนี่ตามนะ ถ้ามาแล้วต้องกันอย่างนี้นะ
ลูกเมีย เป็นกองเชียร์ก็เชียร์ ปรากฏว่าไอ้พ่อไม่ขึ้นเวที ไม่สู้บอกให้ทำอะไร
ก็ไม่ทำ เขาจับแพ้ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นเวที มันอยู่ที่คนไข้หมด แต่เวลา



โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:20:26:55 น.
  
รักษาโรคด้วยสมาธิ

มีหลายท่านเคยถามภูเตศวรเรื่อง การบำบัดโรคด้วยสมาธิ หรือการใช้จิตบำบัดโรคนั้น มีวิธีปฏิบัติหรือไม่อย่างไร?
ความจริงการใช้จิตบำบัดโรค มีผู้รู้หลายท่านเขียนเป็นตำราบอกเล่าเอาไว้มากมายหลายเล่ม แต่ในที่นี้ผู้เขียนขอยกเอาสิ่งที่ตนได้ยินได้รับรู้มาจากครูบาอาจารย์มาบอก เล่าตามประสบการณ์จริง ๆ ดีกว่า

ครูบาอาจารย์ท่านแรก ที่เคยพูดถึงการรักษาโรคมะเร็งคือ อาเตียเซียนสู ท่านกล่าวถึง ‘มะเร็ง’ ที่เป็นโรคภัยคร่าชีวิตมนุษย์อย่างมากในทุกวันนี้ว่า มะเร็งอาศัย ‘เตโชธาตุ’ เป็น อาหาร การรักษามะเร็งต้องรับประทานอาหารพวกมังสวิรัติ ควรงดเว้นเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่ให้พลังงานสูง ๆ ควบคู่กับการปฏิบัติสมาธิด้วยการเจริญ ‘อาโปกสิณ’ คือการกำหนดอารมณ์แห่งกรรมฐานด้วย ‘ความเย็นของน้ำ’ อาโปกสิณคือกสิณน้ำนั่นแหละครับ!

ครั้งแรกที่ได้รับฟังก็ยังเข้าใจไม่หมด แต่ภายหลังที่ได้ศึกษาเพิ่มเติมพอควร จึงเข้าใจว่า...
กายอันเป็นคูหาแห่งจิต ประกอบด้วยธาตุหลักทั้งสี่ คือ...ดิน...น้ำ...ลม...และไฟ

เมื่อเป็นเช่นนั้น การเจ็บป่วยของคนเราจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะมีเหตุบางประการทำให้ธาตุทั้งสี่ขาดความสมดุลขึ้น ฉะนั้นการรักษาจะด้วยยาด้วยจิตในความหมายก็คือ ทำให้ธาตุในร่างกายเกิดความสมดุลอยู่ในสภาวะที่ควรเป็น ฉะนั้นการรักษาโรคที่เกิดจากความบกพร่องทางกาย จึงต้องรู้สมมุติฐานด้วยว่า ตนกำลังเป็นโรคหรือป่วยไข้ด้วยเหตุอันใด

หลวงปู่เสน ปัญญาธโร เคยอธิบายเรื่องนี้กับผู้เขียนว่า การเจ็บป่วยของมนุษย์มาจากเหตุสองประการ หนึ่งเพราะพยาธิ...เป็นที่ร่างกาย สอง...เกิดจากจิตอันเป็นเวทนาทางจิตใจ...เพราะจิตที่สับสน จิตเครียดกังวลด้วยคิดมาก ภาวะจิตตรงนี้สามารถทำให้กายเกิดเจ็บป่วยได้ อย่างเช่นคนที่เครียดมากจะเป็นมะเร็งง่ายกว่าคนจิตใจสงบ

“โรคบางอย่างกินยาหาย บางอย่างกินยาไม่หาย” ท่านกล่าวกับผู้เขียนอย่างนั้น...เท่ากับเป็นคำตอบ โรคที่กินยาแล้วหายก็รักษาตามคลินิก ตามโรงพยาบาล ส่วนโรคที่เกิดจากภาวะทางจิตต้องรักษาด้วยสมาธิด้วยการเจริญปัญญาธรรม...

การทำสมาธิจะทำให้จิตสงบ...เย็น คลายความฟุ้งซ่าน การพิจารณาธรรมจะทำให้เข้าใจความจริงจนสามารถปล่อยวางได้

การปล่อยวางทำใจ จิตปลอดโปร่ง...จิตสบาย...กายก็พลอยสบายไปด้วย เพราะจิตกับกายเป็นสิ่งที่พึ่งพาอาศัยกัน...

“คนเราอยู่ที่บุญบารมีด้วย” หลวงปู่เน้นตรงนี้ และภูเตศวรก็เชื่อเช่นนั้น คนที่ทำบุญมามาก เจริญภาวนาอยู่บ่อย ๆ เวลามีปัญหาอะไรไม่ว่าด้วยอุปสรรคหรือเจ็บป่วย

...คนเหล่านี้สามารถอธิษฐานพ้นทุกข์พ้นโรคพ้นภัย ได้ง่ายกว่าคนไม่มีต้นทุน!





............................................................

" ชีวิตคนมันก็มีปัญหาด้วยกันทั้งนั้น
เหมือนอยู่บนกองไฟ ... มันโดนกันทั้งนั้น
ไม่ร้อนตรงนั้น ก็ตรงนี้
อยู่แค่ว่าเราจะทำให้มันร้อนขึ้น
หรือให้มันเย็นลง ... "
โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 24 กันยายน 2551 เวลา:16:43:18 น.
  
ว๊าว ดีมากๆ เลยค่ะ แต่ค่อนข้างยาว ย่าตั้งใจอ่านจนหมด อะค่ะ อิอิ ดีๆ คร้า ถึงจะยังไม่ได้เป็นมะเร็งแต่ได้ความรู้เพิ่ม เพือจะไปให้คำแนะนำได้ค่ะ

ธรรมดา ย่าจะเป็นที่ปรึกษากับคนป่วยไข้ประจำค่ะขอบคุณ
โดย: ย่าชอบเล่า วันที่: 2 พฤศจิกายน 2551 เวลา:15:07:31 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ทิวาจรดราตรี
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]



ธรรมเป็นโอสถ ... แก้ทุกข์ทางใจ

" สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น
สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ
สิ่งนั้นย่อมดับได้
สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื่องต้น
ตั้งอยู่ในท่ามกลางและดับไปในที่สุด "
















สิงหาคม 2551

 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
7
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31