... ไม่มีสิ่งใดจริงแท้ จริงไม่จริงก็เท่านั้น ...
|
|||||
... การโภชนาการและการพักผ่อนที่ดี ... การบรรยายพิเศษของ คุณหมอพันธ์ศักดิ์ ศุกระฤกษ์ เห็นว่าดีมีประโยชน์ จึงสรุปเนื้อหานำมาให้อ่านค่ะ ขอเชิญหาความรู้จากบทความเรื่องนี้ค่ะ 1. ดุลยภาพแห่งชีวิต คือความสมดุลของชีวิต ย่อมมีทั้งชีวิตการงาน ชีวิตส่วนตัว ชีวิตในสังคม ชีวิตครอบครัว และสุขภาพ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ สุขภาพ ถ้าสุขภาพเสียทุกสิ่งก็สูญสลาย 2. การแพทย์วิถีธรรมชาติ อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ฯ ในอดีตต้องทำงานหนักทั้งงานราชการ คลีนิค และครอบครัว ต้องตื่นตีห้าและเข้านอนห้าทุ่มล่วงเลยไปแล้ว ส่งผลให้เกิดโรคเครียด โรคกระเพาะอาหาร โรคภูมิแพ้ และความจำไม่ดี พออายุ 40 ปี จึงตัดสินใจลาออกจากราชการ แล้วไปเรียนการแพทย์วิถีธรรมชาติจากออสเตรเลีย นับจากนั้นมา อาจารย์หมอพันธ์ศักดิ์ฯ ไม่เคยเจ็บป่วยอีกเลย ปัจจุบันอาจารย์มีความสุขมาก ๆ และหน้าตาดูดีกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก 3. ทำอย่างไรให้สุขภาพดีไม่เจ็บป่วย 3.1 สุขภาพ คือภาพแห่งความสุข ร่างกายแข็งแรง จิตใจแจ่มใสเบิกบาน อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข 3.2 อาหาร คือแหล่งพลังงานของชีวิต การรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดี ไม่เจ็บป่วยและอายุยืน จะต้อง กินอาหารเช้าอย่างราชา อาหารกลางวันอย่างคนธรรมดาและอาหารเย็นอย่างยาจก ดังนั้น อาหารเช้าจึงเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด 3.3 อนุมูลอิสระ (Free radical) การรับประทานอาหารจะเกิดของเสียที่เรียกว่า อนุมูลอิสระหรือเรียกว่าประจุวิ่งหารัก หรือประจุขาดรัก วิ่งไปทั่วร่างกาย อวัยวะที่เล็กที่สุดในร่างกาย คือ เซล เซลประกอบด้วย ผนังห้อง และแกนกลางเรียกว่า นิวเคลียส หรือ DNA นิวเคลียสเป็นพิมพ์เขียวที่ทำหน้าที่สร้างเซลใหม่ ส่วนอนุมูลอิสระจะเป็นตัวทำลายผนังห้องและนิวเคลียส ทำให้เซลเนื้อเยื่อเปลี่ยนแปลงไป แต่ร่างกายเราจะมีระบบภูมิคุ้มกัน ถ้าไม่ดูแลสุขภาพให้ดีภูมิคุ้มกันจะถูกทำลาย ทำให้เกิดมะเร็งและโรคต่างๆ เกิดขึ้นได้โดยง่าย 3.4 อาหารเช้า ควรรับประทาน คาร์โบไฮเดรท วิตามินบี และซี ถ้าไม่กินมื้อเช้าชีวิตจะเริ่มต้นด้วยความเป็นกรด (แลคติกแอซิค) ยกเว้นเรามียาวิเศษคือ การหัวเราะ เพราะขณะหัวเราะร่างกายจะเปลี่ยนเป็นด่าง หัวเราะ 1 ครั้ง อายุยืน 5 นาที อาหารเช้าที่ต่อต้านความเครียดในการทำงานได้แก่ วิตามินบี และซี ซึ่งไม่มีการเก็บสะสม เพราะละลายในน้ำได้หมด มื้อเช้าที่เร็วและง่าย คือ กล้วยหอม 1 ลูก+ส้ม 1 ลูก + นม 1 กล่อง (หรือ HOT CHOCOLATE) ในกล้วยหอมมีแมกนีเซียม และโปตัสเซียม ในส้มมีวิตามินซี โดยเฉพาะกากส้มขาว ๆ มีเส้นใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายในน้ำ ที่สามารถช่วยดูดซึมพิษในร่างกายและขับออกไป กากส้มมีวิตามินซีมากกว่าน้ำส้ม ในนมมีสารทริบโตเฟน ทำให้กระปรี้กระเปร่า และ อารมณ์ดี 3.5 อาหารกลางวัน กินอะไรก็ได้ที่ชอบ เช่น แกงเขียวหวาน ขาหมู ก๋วยเตี๋ยว แต่ที่ เป็นอันตราย ต่อสุขภาพ คือ น้ำตาล และน้ำมัน ที่จะต้องพยายามหลีกเลี่ยง 3.6 อาหารเย็น ต้องกินพืชผักและผลไม้ เพื่อให้ได้ไฟเบอร์ ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอความแก่ มื้อเย็นง่าย ๆ เช่น ผัดผัก 1 จาน + ส้มตำ 1 จาน + น้ำผลไม้ 1 แก้ว กินผักผลไม้วันละ ½ กก. จะทำให้แก่ช้า หรือดื่มน้ำผลไม้สดวันละ 3 แก้ว 3 สี แก้วละสี หรือผสมกันก็ได้ สุขภาพจะดีขึ้นมาก คาร์โบไฮเดรท ทำหน้าที่ให้พลังงาน มีมากในแป้ง ข้าว ขนมปัง ก๋วยเตี๋ยว วิธีกินคาร์โบไฮเดรทไม่ให้อ้วน คือกินช้า ๆ เคี้ยวให้ละเอียด กินพออิ่ม ที่เหลือเก็บไว้กินในมื้อต่อไป หรือ พยายามกินเพียง 3 ใน 4 ส่วน ที่อยู่ในจาน แล้วหยุดกิน วิตามินบี มีมากในธัญญพืช ลูกเดือย ข้าวกล้อง ถั่วเหลือง ถั่วแดง เต้าหู้ โปรตีน มีมากในเนื้อสัตว์ อายุเกิน 35 รับประทานโปรตีนพอประมาณ ถ้ามากจะทำให้ดูดซึมแคลเซียมไม่ดี เกิดโรคกระดูกผุ สัตว์ใหญ่ก่อนตายจะหลั่งสารแอดรีนาลิน (สารทุกข์) ผสมเข้าไปในกระแสเลือด จึงไม่ควรกินเลือดสัตว์อย่างยิ่ง อันตรายยิ่งนัก ให้เปลี่ยนไปกินปลาแทน เพราะย่อยง่ายและมีไขมันชั้นดี ทำให้การไหลเวียนของเลือดดี ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด แก้มปลามีแคลเซียมมากกว่าส่วนอื่น ควรกินปลาสัปดาห์ละ 3 มื้อ ก็เพียงพอแล้วอย่ากินทุกมื้อ เพราะจะทำให้เลือดออกไม่หยุด ชาวเอสกิโมโดนมีดบาดเลือดจะออกไม่หยุดเพราะกินปลาทุกมื้อ หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกิน Fish oil เพราะอาจทำให้ตกเลือด แคลเซียม ในวัยทองต้องการแคลเซียมวันละ 1200-1500 มก. และควรกินปลาเล็กปลาน้อยเพื่อให้ได้แคลเซียมเพียงพอ ผักขมฝรั่ง (spinach) มีธาตุสังกะสี เหล็ก และสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ต้นไม้ที่มีเปลือกจะมีสารต่อต้านสิ่งแวดล้อมภายนอก เพราะต้นไม้อยู่กับที่ วิ่งหนีมลพิษไม่ได้ จึงมีเปลือกเพื่อป้องกันมลพิษ น้ำตาล ต้องไม่ขัดสี เช่นน้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลกรวด น้ำตาลทรายขาวมีสารขัดขาวซึ่งเป็นสารเร่งความเครียด ทำให้เครียดง่าย และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ น้ำตาลเทียมดีกว่าน้ำตาลขัดสี แต่รสชาดไม่ดีเท่านั้น ความจำเป็นในการกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ถ้าวัยหนุ่มสาว ควรกินให้ครบ 3 มื้อ แต่ถ้าวัย 35 ขึ้นไป และวัยทอง ควรมีอาหารว่าง (snack) ที่ให้พลังงานไม่มากเป็นมื้อที่ 4 กินหลายมื้อได้ แต่ครั้งละ น้อย ๆ และเลือกอาหารที่ย่อยง่าย ข้อควรคำนึงคือ กินอย่างอารมณ์ดี เช่นกินกับคนที่เรารัก กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียดนึกถึงแต่ความสุข ถ้ากินมื้อละ15 นาที 3 มื้อ ก็เท่ากับเรามีความสุข 45 นาทีแล้ว และกินอย่างมีน้ำใจ นึกถึงชาวนาอย่ากินทิ้งกินขว้าง กินพอประมาณ อิ่มแล้วเลิก หรือจวนอิ่มแล้วหยุด วิธีดื่มกาแฟ - ต้องไม่ใช้ครีมเทียม เพราะครีมเทียมคือน้ำมันมะพร้าว ทำให้มันจุกอกตาย กาแฟ 3 อิน 1 ไม่ดี เพราะผสมครีมเทียม กาแฟดำมีอะโลม่า ดื่มแล้วอารมณ์ดี การไหลเวียนของเลือดดี วิธีชงกาแฟ ใส่กาแฟ 1 ช้อนชา เติมนมอุ่น (Low fat) ½ แก้ว และน้ำตาล วิธีดื่มกาแฟที่ดีที่สุด ต้องไม่ใส่อะไรเลย กาแฟเอสเปรสโซ่ดื่มรวดเดียวหมดจะหวานกว่าจิบทีละนิด ดื่มกาแฟวันละไม่เกิน 3 แก้ว ถ้าเกินจะดึงแคลเซียมจากไต มีอันตรายต่อสุขภาพ การพักผ่อน หลักการพักผ่อนที่ดี มีหลายแบบ อาทิ 1. หนีความจำเจซ้ำซาก เช่นเที่ยวทุก 1 เดือน หรือเปลี่ยนทรงผมใหม่ มีคำกล่าวว่า เปลี่ยนที่(สถานที่) ได้ห้า เปลี่ยนหน้า (ใบหน้า ,ทรงผม) ได้สิบ อาจทำให้สบายใจมากขึ้น 2. มองโลกในแง่ดี เช่น มีน้ำ ½ แก้ว ต้องมองว่ายังเหลือน้ำอีกตั้ง ½ แก้ว ไม่ใช่น้ำหมดไปแล้วตั้ง ½ แก้ว อีกกรณีคือภรรยาของอาจารย์จะไม่ให้ความสำคัญที่จะต้องทราบว่าในแต่ละวันอาจารย์จะอยู่ที่ไหน ขณะเดียวกันอาจารย์เป็นฝ่ายต้องทราบว่าภรรยาอยู่ที่ไหนเพื่อกลับมาทำหน้าที่เทคแคร์ภรรยา ให้ทัน กรณีนี้ภรรยาจะไม่เกิดความทุกข์กังวลในการสอดส่องสามี ว่า ไปทำอะไรลับหลังภรรยา 3. Second job นอกจากงานหลักเพื่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัวแล้ว ควรมีงานรองอย่างที่ 2 ที่เราชอบ ที่เราไม่คิดว่าเป็นงาน แต่ทำแล้วมีความสุข เช่น เขียนหนังสือ สอนหนังสือ หรือบรรยาย การนอนหลับสนิท จะทำให้เกิดสารเมลาโทนินซึ่งเป็นสาร antioxidant ทำหน้าที่กำจัดของเสียที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน ปัจจุบันเมลาโทนินที่มีขายอยู่จะออกฤทธิ์เพียง 6 นาทีเท่านั้น แต่ร่างกายเราต้องการ 6 ชม. การนอนหลับสนิทได้คุณประโยชน์มากกว่า การพักผ่อนที่ดีที่สุด บางครั้ง ได้แก่ การอยู่เฉย ๆ อยู่กับตัวเอง อย่าให้งานและสังคมมายุ่งเกี่ยว ทำอะไรก็ได้ที่ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง จิบชา ล่องเรือ ฟิตเนส หรือสปา การออกกำลังกายที่รักที่ชอบ ก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง สรุปคำถามคำตอบ 1. นมกับน้ำเต้าหู้อะไรดีกว่ากัน คนไทยประมาณ 1/3 หรือ 30% ไม่มีสารย่อยสลายนม ถ้าดื่มนมไม่ได้ให้กินโยเกิร์ตแทนเพราะมีประโยชน์โดยเฉพาะผู้หญิง ใช้ทาหน้าทำให้หน้าตึง และมีแลคโตไบซิไลท์ เข้าไปอยู่ในทางเดินอาหารและช่องคลอด ช่วยย่อยและไม่ติดเชื้อราที่ช่องคลอด น้ำเต้าหู้สกัดจากถั่วเหลือง มีฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน ยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านมและมดลูก แต่น้ำเต้าหู้ไม่มีแคลเซียม ต้องกินเต้าหู้แข็งจึงได้แคลเซียม เต้าหู้ยิ่งแข็งยิ่งมีแคลเซียมสูง 2. แก้วมังกรทำให้เป็นมะเร็งหรือไม่ ไม่น่าจะใช่ ยังไม่เคยอ่านเจอ แก้วมังกรมาจากเวียดนาม มีไฟเบอร์สูง แคลอรี่ต่ำ ควรฟังหูไว้หู อย่าตระหนกเกินกว่าเหตุ วิธีแก้กินแก้วมังกรน้อยลง เพิ่มฝรั่งและแอปเปิ้ลแทน 3. ฮอร์โมนเพศหญิงในวัยทองทำให้เกิดมะเร็งหรือไม่ เป็นเพียงผลงานวิจัยของอเมริกาเท่านั้น โดยทำการทดลองกับกลุ่มหญิงที่เป็นโรคหัวใจ อ้วน และหน้าอกโต ซึ่งมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งอยู่แล้ว โดยการให้ฮอร์โมนอยู่ชนิดเดียว ขนาดเดียว เกิน 5 ปี พบว่าปัจจัยเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น 0.25% 4. โยเกิร์ตและสมูทตี้ หลักการของสมูทตี้ คือต้องการไฟเบอร์ไปช่วยดูดพิษ แต่โยเกิร์ตมีแลคโตไบซิไลท์อย่างเดียว ไม่มีไฟเบอร์ วิธีทำง่าย ๆ คือ โยเกิร์ต + น้ำผึ้ง + กล้วยหอม 5. การนอนให้ได้ประโยชน์ ควรนอนก่อน 4 ทุ่ม ในห้องที่ตกแต่งเหมือนโรงแรม mมีม่านติด 2 ชั้น เพื่อป้องกันแสง ควรตื่นเมื่อถึงเวลาตื่นมา ไม่ใช่ตื่นเพราะแสงแดดแยงตา ควรนอนในห้องที่มีความมืด ระบบฮอร์โมนจะทำงานปกติ การนอนในห้องที่มีแสงไฟไม่ดี เพราะฮอร์โมนจะสร้างในความมืดในขณะที่เรานอนหลับสนิท การงีบในตอนบ่ายดีในแง่ จะทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 6. ออกกำลังกายตอนไหนดี เวลาไหนก็ได้ที่เหมาะสมกับเราที่สุด อย่ายึดมั่นถือมั่นแล้วเราจะมีความสุข ตัวเราเองรู้เองออกกำลังกายตอนไหนก็ได้ ออกกำลังกายตอนเช้า ได้แสงแดดตอนเช้า ได้วิตามินดี กระดูกหนาขึ้น อาหารเช้าจะต้านสารอนุมูลอิสระที่เกิดจากการออกกำลังกายได้ พอหายเหนื่อยให้อาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะทำให้กล้ามเนื้อกระฉับกระเฉง ทำงานได้ดี ออกกำลังกายตอนเย็น โดยมีอุปกรณ์ เช่น ใช้ไม้พลองประกอบ ทำให้กระดูกแขนไม่บาง ไม่โดนแสงแดด แต่การออกกำลังกายทำให้เกิดอนุมูลอิสระ วิธีแก้คือดื่มน้ำผลไม้สด 1 แก้ว ก่อนและหลังออกกำลังกาย จะต้านอนุมูลอิสระได้ การออกกำลังกายทำให้ร่างกายตื่นตัว จึงควรอาบน้ำเย็นก่อนแล้วตามด้วยน้ำอุ่น จะทำให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และจะทำให้นอนหลับสบาย 7. น้ำมันประกอบอาหารชนิดไหนดี น้ำมันมี 2 ชนิด คือชนิดกรดไขมันอิ่มตัว เช่น น้ำมันหมู วัว ไม่ควรกินเพราะไขมันจะไปอุดตามเส้นเลือด และชนิดกรดไขมันไม่อิ่มตัว เช่น น้ำมันมะกอก (ทนความร้อนได้ดีที่สุด) ทานตะวัน ข้าวโพด ฟักทอง ถั่วเหลือง ถ้าอยากให้หอมเมื่อปรุงอาหารเสร็จปิดไฟ แล้วค่อยใสน้ำมันงา เพราะเป็นน้ำมันที่ไหม้ง่าย จะทำให้อาหารมีความหอมมากขึ้น 8. พืชกับนมจากสัตว์อย่างไหนมีธาตุเหล็กมากกว่า นมจากสัตว์มีธาตุเหล็กมากกว่า นมแพะ นมจามรีดีกว่านมวัวเพราะไขมันน้อยแต่ไม่ค่อยอร่อย นมวัวอร่อยแต่มีไขมันมากที่สุด วิธีแก้ ต้องให้ดื่มนมวัวแบบพร่องมันเนยแทน 9. การทำดีท็อกซ์ หลักการคือนำกากอาหารใส่ในลำไส้ เช่น กาแฟ เพื่อทำให้สารพิษออกมา เสียเงินและทรมาน ควรทำดีท็อกซ์แบบชาวบ้านคือ กินมังสวิรัติสัปดาห์ละ 1 วัน อาจารย์จะดีท็อกซ์ทุกวันเสาร์โดยไม่กินเนื้อสัตว์ แต่จะต้มจับฉ่ายใส่เต้าหู้ ฟองเต้าหู้ และเห็ดหลาย ๆ ชนิด ใส่ผักขม คะน้า ไชเท้า กวางตุ้ง ใส่น้ำมันงา และพริกไทยดำ โดยกินให้หมดภายใน 1 วัน 10. กินกาแฟแล้วนอนไม่หลับ วิธีแก้ คือ กินกาแฟ และนมอุ่น ๆ หรือกินกาแฟ + กล้วยหอม + เนยมาการีน หรือกินกาแฟดีคาเฟอีน(กาแฟที่มีแต่กลิ่นไม่มีสารคาเฟอีน) เพราะเราติดที่กลิ่น 11. นมเย็นกับนมอุ่นอย่างไหนดีกว่ากัน สารอาหารเท่ากัน แต่นมอุ่นดีกว่า (55 องศา C) เพราะแตกตัวได้ทริบโตเฟน ทำให้อารมณ์ดี นมเย็นจะไม่แตกตัว วิธีอุ่นนม ให้เอาน้ำใส่แก้ว แล้วนำไปเข้าไมโครเวฟจนร้อนแล้วค่อยเอานมใส่ 12. ผักผลไม้สดกับน้ำผักผลไม้คั้น ดีทั้ง 2 อย่าง แต่ถ้าผักผลไม้สดต้องกินเป็นจำนวนมากเป็น กก. ถึงจะได้สารอาหารเพียงพอ แต่ถ้าคั้นเป็นน้ำ ดื่มเป็นแก้วพอไหว 13. อาหารรักษาโรคข้อ ใช้ เซลารี่ 4 ก้านใหญ่ + แอปเปิ้ลหรือฝรั่ง + แครอท นำมาแยกกากดื่มวันละ 1แก้วทุกวันจะแก้โรคข้อเข่าจะไม่เจ็บไม่ปวดหรือนำเซลารี่ไปผัดกับกุ้ง แต่ต้องกินให้ได้ 4 ก้านใหญ่ จึงจะเพียงพอ ดังนั้นนำไปแยกกากดีกว่า เซลารี่จะมีสรรพคุณแก้ปวดบวม แอปเปิ้ลหรือฝรั่งมีวิตามีซีช่วยเรื่องน้ำในข้อ ส่วนแครอทช่วยในเรื่องเยื่อเมือก 14. น้ำผลไม้แบบกล่อง แทบจะไม่ได้สารอาหาร นอกจากกลูโคส ควรคั้น (แยกกาก) เองสด ๆ ดีที่สุด แล้วดื่มทันทีจะได้คุณค่ามาก หากต้องการดื่มแบบเย็น ให้นำน้ำแข็งใส่กาละมัง ใส่น้ำ แล้วนำผลไม้ลงไปล้างแล้วค่อยมาคั้น หรือนำแก้วเปล่าและผลไม้ไปแช่เย็นก่อนนำมาคั้นก็ได้ 15. วิธีทานกล้วยหอมไม่ให้ลมขึ้น ให้กินกล้วยห่าม ๆ จะไม่หวานและได้คาร์โบไฮเดรท ถ้าดิบหรือสุกเกินไปจะได้แต่น้ำตาล 16. การปั่นกับการแยกกาก (คั้น) การปั่น เป็นการตีให้แตก จะทำให้สารอนุมูลอิสระออกมา ไม่ดี แต่การแยกกาก เป็นการแยกน้ำและแยกกากออกจากัน ได้คุณค่ามากกว่า แต่การแยกกากจะไม่ได้ไฟเบอร์ ถ้าต้องการไฟเบอร์ให้ตักกากมากินก็ได้ หรือ เอากากมาปั้นเป็นก้อนกินชดเชยได้ 17. น้ำโซดาล้างท้องได้หรือไม่ โซดาเป็นน้ำด่าง มีข้อดีคือ ถ้าในท้องมีกรดมาก โซดาจะทำให้เกิดความสมดุลและสบายท้อง แต่ถ้าท้องมีแก๊ส โซดาจะทำให้ท้องอืด ถ้ากินแล้วสบายดีก็กินต่อไปได้ 18. อาหารที่กินแล้วผมไม่หงอก ไม่มี ถ้าอยากหายต้องใส่วิก ผมหงอกเกิดจากกรรมพันธุ์ และความเครียด อาหารและแร่ธาตุที่ช่วยให้ผมหงอกช้า ได้แก่ วิตามินบี และซี สังกะสี (zinc) แต่ควรกิน zinc อะมิโน ครีเรท อย่ากินzinc ซัลเฟรด เพราะกัดกระเพาะ หรือกินอาหารเสริม เช่น เซ็นทรัม แบลคมอร์ จะช่วยให้เส้นผมดำขึ้น 19. การย้อมผมกับมะเร็ง การย้อมผมทำให้บุคลิกดีขึ้นมีความสุข เลือกใช้ยาย้อมผมที่ไม่มีสารโลหะหนักผสม เช่น ตะกั่ว ถ้าไม่มีสารตะกั่วก็ไม่เป็นไร เวลาย้อมให้ปิดตาและจมูกให้ดี อาจใช้แบบสเปรย์ก็ได้ 20. ประโยชน์ของน้ำสมุนไพร (HERB) คือพืชผักผลไม้ จึงมีคุณค่าทางยาแล้วแต่ชนิด เช่น เครนเบอรี่ หรือ กระเจี๊ยบ จะมีสรรพคุณทางยาช่วยเรื่องการอักเสบในกระเพาะปัสสาวะ หรือนิ่วในไต เป็นต้น 21. ตำราอาหารสำหรับผู้ชาย กินกล้วย + น้ำผึ้ง + พริกไทยดำ จะทำให้หลับสบาย ถ่ายสะดวก วิธีทำ ใช้กล้วยน้ำว้าหรือกล้วยหักมุกผึ่งแดดเดียวแล้วโรยน้ำผึ้งและพริกไทยดำ รับประทานบ่อยๆ สุขภาพจะดี วันนี้คุณกินข้าวเช้าหรือยัง ตอนเช้าต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา ( ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย ซึ่งการที่เราบอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า โดยปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ (oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา (ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ) นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อเวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ (anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุย ไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมาก ไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า 1. ทานอาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที( 20 นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน) 2. นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ 3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์ 4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข ที่มา : โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 12 สิงหาคม 2551 เวลา:21:29:07 น.
กล้วยหอม กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร มันจะให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันทีเลยค่ะ เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยนะคะ ... นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก ( เคยเห็นในสนามเทนนิส....พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ) ยังไม่หมดนะ ... เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์ ป้องกันโรคภัยและภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย ...มาดูกันค่ะ ความเศร้าซึม จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น pms (premenstrual syndrome) สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย ... เช่นปวดท้อง ปวดหัว ... ฯลฯ รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ ... ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย ... มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ ... โรคโลหิตจาง ( Anemia) ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin ( ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอก! นะ ... ฮ่า ... ความดันโลหิต ( Blood Pressure) กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง เสริมสร้างพลังสมอง ( Brain Power) ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ อาการท้องผูก ( Constipation) เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี เมาค้าง ( Hangovers) วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วยจะช่วยให้ ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น ... จุกเสียดแน่นท้อง ( Heartburn) กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว Morning Sickness ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ ... อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่นไม่อยากจะตื่นบ้าง ... ฯลฯ ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าวในตอนเช้าได้ บรรเทาแผลยุงกัด ก่อนที่จะใช้ยาทา ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัดจะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้ ... คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ ระบบประสาท ( Nerves) วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด ... อ่อนล้าได้ อ้วนจากทำงานมากเกินไป ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น จากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม. ก็จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผล ( Ulcers) สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เล็กดีขึ้น รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้ ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย ( Temperature Control) ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันคะและเชื่อว่ามันเป็นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง อย่างเช่นในไทยมีความเชื่อกันว่าผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็นประจำ เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น.! ..... so cool.... ลดความอยากสูบบุหรี่ สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 12 สิงหาคม 2551 เวลา:21:46:29 น.
เครื่องดื่มตามกรุ๊ปเลือด เลือดกรุ๊ปโอ จะมีกรดในกระเพาะอาหารสูง สามารถย่อยอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ควรกินอาหารจำพวกแป้งมากเกินไป เพราะจะย่อยยาก และเมื่อเกิดการสะสมแป้ง ร่างกายจะเปลี่ยนแป้งให้เป็นน้ำตาล และจะกลายเป็นโรคเบาหวานและทำให้อ้วนง่าย อาหารที่ควรทานคืออาหารจำพวกสาหร่าย เกลือไอโอดีน อาหารทะเล และควรกินตับ กินบลอกโคลี ผักโขม เพราะจะช่วยในเรื่องประสิทธิภาพการเผาผลาญมากขึ้น เครื่องดื่มที่เหมาะกับเลือดกรุ๊ปโอคือ น้ำสัปปะรด น้ำลูกพรุน แต่ไม่ควรดื่มน้ำแอบเปิล น้ำส้ม น้ำกระหล่ำปลี เลือดกรุ๊ปเอ กรุ๊ปนี้จะตรงข้ามกับกรุ๊ปโอแทบจะทุกอย่าง เพราะเลือดกรุ๊ปนี้จะมีกรดในกระเพาะอาหารต่ำ จึงเหมาะกับอาหารมังสวิรัติและควรหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ เพราะหากกินมากเกินไปร่างกายจะไม่ยอมย่อย ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่นโรคหัวใจและโรคมะเร็ง หากต้องการกินเนื้อจริงๆ ควรบริโภคแค่เนื้อไก่เพราะไม่มีไขมันมาก หรือกินถั่วเหลืองแทนเพื่อทดแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ แล้วควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกอาหารสำเร็จรูป เช่นไส้กรอก แฮม เพราะอาหารจำพวกนี้มีสารดินประสิวที่ไปกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร ควรหันมากินผักและอาหารจากถั่วเหลือง เพื่อช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เครื่องดื่มที่เหมาะสมกับคนเลือดกรุ๊ปเอก็คือ น้ำแอปปริคอต น้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำเกรปฟรุต น้ำสัปปะรด น้ำมะนาว เพราะมีวิตามินซีสูง แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้ม น้ำมะละกอ และน้ำมะเขือเทศ เลือดกรุ๊ปบี เป็นกรุ๊ปเลือดที่สามารถต้านทานโรคมะเร็งและโรคหัวใจได้ แต่ยังมีปัญหาเรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย จึงควรกินอาหารจำพวกผักใบเขียว ตับ ไข่ นมไขมันต่ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญ และ ควรดื่มน้ำกระหล่ำปลี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น น้ำมะละกอ น้ำสัปปะรด แต่ไม่ควรดื่มน้ำมะเขือเทศ เลือดกรุ๊ปเอบี คนเลือดกรุ๊ปนี้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร จึงควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินซี เช่น บรอกโคลี เชอร์รี่ ส้มโอ เกรปฟรุต กะหล่ำปลี และดื่มน้ำแครอต น้ำเซเลรี น้ำแครนเบอร์รี่ น้ำองุ่น และน้ำมะละกอ เพราะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ไม่ควรดื่มน้ำส้มเพราะทำให้ย่อยยาก โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 29 สิงหาคม 2551 เวลา:21:44:10 น.
โรคกระดูกพรุนภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม ตื่น ตื่นกันได้แล้วค่ะ!! จากรายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่า สถิติผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันดับสอง รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด และอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะผู้หญิงกว่า 200 ล้านคนทั่วโลกต้องทุกข์ทรมานจากโรคนี้ ในส่วนของเมืองไทยเป็นที่กล่าวถึงกันมานาน และเป็นภัยเงียบที่คนส่วนใหญ่มักมองข้าม โดยข้อมูลที่มีการสำรวจพบก็คือ ผู้หญิงมีโอกาสเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 คน ฝ่ายผู้ชายกลับพบ 1 ใน 5 โดยแต่ละคนต้องสูญเสียค่ารักษาเฉลี่ยปีละ 3 แสนบาท ศ.เกียรติคุณ นพ.เสก อักษรานุเคราะห์ ผอ.ศูนย์ ฟื้นฟู สภากาชาดไทย และประธานมูลนิธิโรคกระดูกพรุน เผยว่า โรคกระดูกพรุน คือ โรคที่เกิดกับกระดูก เพราะมวลกระดูกมีความหนาแน่นลดลง ทำให้เนื้อกระดูกมีความบาง โปร่งจนถึงพรุน และแตกหักได้ง่าย การสูญเสียมวลกระดูกจะค่อยๆเกิดขึ้นโดยผู้ป่วยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ ก็สายเสียแล้ว วิธีเลี่ยงไม่ให้กระดูกพรุนต้องปฏิบัติตั้งแต่เกิด ไปจนตลอดชีวิต โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงแรก คือ แรกเกิด จนอายุ 30 ปี สะสมเนื้อกระดูกให้หนาแน่นสุด ทั้งดื่มนม รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง และขยันเอ็กเซอร์ไซส์ เลยวัย 30 อัพก็ต้องป้องกันไม่ให้สูญเสียเนื้อกระดูก ดื่มนมวันละ 500 ซีซี และรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ปลาร้าสุก กะปิ ปลาป่น กุ้งแห้งป่น พวกผัก งา ออกกำลังกายกลางแดดวันละ 30 นาที ช่วงเช้า 06.00-09.00 น. หรือช่วงเย็น 15.00-18.00 น. ระยะสุดท้าย คือวัยทอง เป็นช่วงที่ร่างกายขาดฮอร์โมนเพศ ซึ่งมีหน้าที่อีกอย่างหนึ่งคือ คอยยับยั้งการสลายกระดูก ฉะนั้นเมื่อขาดฮอร์โมนเพศ การสลายกระดูกจึงเพิ่มขึ้น จนทำให้สูญเสียเนื้อกระดูกได้ปีละ 3-5% ช่วงนี้ต้องดูแลเต็มที่ คือ ยับยั้งการสลายกระดูกด้วยยาชนิดต่างๆ ควบกับการดื่มนมพร้อมรับประทานอาหารแคลเซียมสูง ออกกำลังกายกลางแจ้งวันละ 30 นาที ถ้าตากแดดไม่พอก็ต้องรับประทานวิตามินดีเสริม พ่วงด้วย วิตามินซี บี 6 และเค 2 ที่จะช่วยในการสร้างกระดูก แต่ปัญหาที่น่าห่วงก็คือ คนไทยได้รับแคลเซียมจากอาหารเพียงวันละ 361 มิลลิกรัมเท่านั้น ทั้งที่ความต้องการแคลเซียมในแต่ละวันของวัยต่างๆ ไม่เหมือนกัน โดยเด็กๆ ควรได้รับประมาณ 600 มก./วัน ขณะที่วัยรุ่นควรได้รับ 1,000-1,500 มก., ผู้ใหญ่ 800-1,000 มก., หญิงตั้งครรภ์ต้องการแคลเซียม 1,500 มก., ช่วงวัยทองยิ่งต้องการมาก เฉลี่ยประมาณ 1,500-2,000 มก. โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:19:59:49 น.
สิ่งดีๆ กับสุขภาพ ... 1. การกินคะน้าตาไม่เป็นต้อ คะน้าเป็นผักหาง่ายในท้องตลาด เป็นผักที่อุดมไปด้วย วิตามินซี วิตามินอี แคโรทีนอยด์ และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีสาร ลูทีน ซึ่งเป็นสารสำคัญที่พบในเลนส์ตา จากงานวิจัยพบว่า การกินอาหารหรือพืชผักที่มีสารลูทีนสูง เช่น คะน้า จะช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดโรคต้อกระจกลงได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับคนที่ไม่กิน นอกจากนี้การกินคะน้าเป็นประจำ ยังช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร ปอด และเต้านมอีกด้วย 2. การกินเห็ดป้องกันกระดูกพรุน คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการขาดวิตามินดีและแคลเซียม จะทำให้กระดูกไม่แข็งแรง ยิ่งอยู่ในวัยสูงอายุก็อาจเพิ่มอัตราความเสี่ยงในการเป็นโรคกระดูกพรุนได้ ล่าสุดนักวิจัยพบว่า การกินอาหารที่มีธาตุทองแดงเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกได้ และการขาดธาตุทองแดงแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้อาการกระดูกพรุนแย่ลงไปอีก ดังนั้นการกินอาหารที่มีธาตุทองแดงมาก เช่น เห็ด ปู กุ้งมังกร หอยนางรม ลูกพรุน ปลาซาร์ดีน จึงช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน และทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น 3. การกินแอปเปิลให้ปอดแข็งแรง ไม่ว่าจะกินแอปเปิลเขียวหรือแดงก็ดีต่อปอดเป็นที่สุด เพราะแอปเปิลมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อ เคอร์ซีทิน สารตัวนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปอดอย่างได้ผล นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย วิธีการกินแอปเปิลให้ได้สารเคอร์ซีทีนมากที่สุดก็คือ ต้องกินผลสดทั้งเปลือก ซึ่งจะให้ได้รับสาร เพกทิน จากเปลือกแอปเปิลเพิ่มขึ้นด้วย สารเพกทินมีคุณสมบัติช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย ส่วนคุณสาว ๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักการกินแอปเปิลจะช่วยให้อิ่มนาน ไม่รู้สึกหิว เพราะในแอปเปิลมีคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทันทีถึง 75 เปอร์เซ็นต์ การกินแอปเปิลสด ได้ประโยชน์มากมาย 4. การกินองุ่นทั้งเมล็ดช่วยชะลอความแก่ ใครที่อยากเป็นหนุ่มเป็นสาวสองพันปี เรามีวิธีการชะลอความชราด้วยการกินผลไม้ที่หาง่าย ๆ เช่น องุ่น และต้องเคี้ยวเมล็ดองุ่นด้วย เพราะในเมล็ดองุ่นมีสาร โอพีซี (oligomeric proanthocyanidin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินซีถึง 20 เท่า และสูงกว่าวิตามินอีถึง 50 เท่า องุ่นจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยรักษาสุขภาพจากภายใน ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวพรรณให้ดูอ่อนกว่าวัย ช่วยชะลอความชรา และเป็นสารต้านมะเร็งที่มีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจและโรคที่เกี่ยวกับจอประสาทตาอีกด้วย โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 18 กันยายน 2551 เวลา:22:09:35 น.
กินอย่างไรให้หนหุ่มสาว 1. หยุดผมร่วง *รับประทาน กล้วย ผลไม้มหัศจรรย์ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี ซึ่งมีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี เป็นสารอาหารสำหรับ เส้นผมที่ดีมาก การรับประทานกล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จึงช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน ถ้ากล้วยผลใหญ่เกินกว่าจะรับประทานได้สะดวกก็หั่นให้ชิ้นเล็กลงหน่อยหรืออีกวิธี คือ ผสมกล้วยกับแชมพูที่ทำจาก น้ำผึ้งแล้วนำมาสระผม ก็จะช่วยเน้นประสิทธิภาพในการป้องกันผมร่วงและช่วยให้ผมนุ่มสลวยขึ้นด้วย 2. ถ้ามีผิวมันมากเกินไป *ต้องรับประทานธัญญาหารทุกเช้า เพราะการรับประทานธัญญาหารที่อุดมด้วยวิตามินบี2 ทุกวัน จะเป็นตัวช่วยในการหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมผลิตภายในร่างกายซึ่งเป ็นสาเหตุหนึ่ง ของเส้นผมบางและมัน แต่ถ้าไม่สะดวกในการรับประทานธัญญาหารเปล่าๆก็ลองผสมกับนมเย็นๆ เพื่อเพิ่มรสชาติขึ้นก็ได้ 3. หยุดการลอกของผิวหนัง *ใช้น้ำมันจาก Primrose ที่มีดอกสีเหลือง ลองรับประทานวันละ 2 แคปซูล ทุกเย็น จะช่วยให้ได้ผลดีอย่างยิ่ง ผิวหนังและหนังศีรษะจะดีขึ้น แต่ถ้าการรับประทานอาหารเสริมแคปซูลทำให้เกิดอาการติดคอ ก็เปลี่ยนมา รับประทานปลาแซลมอนใส่เกลือรมควัน อาหารทะเลหรือสลัดผักสดก็ได้ สิ่งเหล่านี้จะให้สรรพคุณทัดเทียมกับน้ำมัน Primrose ทีเดียว 4. เพื่อผิวเนียนเหมือนเด็ก *รับประทานมะม่วง เพราะมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดีวิตามินในเบต้าแคโรทีนจะช่วยกระตุ ้นการสร้าง ผิวหนังทั่วไปรวมทั้งหนังศีรษะให้ทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระให้กลับมามีความชุ่มชื้นและ นุ่มเนียนอีกครั้ง แต่ถ้าไม่ชอบมะม่วงก็อาจเปลี่ยนเป็นมันฝรั่ง แครอท แอปริคอด แต่ควรรับประทานร่วมกับ ไข่และตับจะได้ผลดียิ่งขึ้น 5. หยุดการเปลี่ยนสีผม * รับประทาน ถั่วลิสงอบเนย ร่วมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อนๆ ก่อนมื้ออาหาร สามารถหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลง ของสีผม เนื่องจากอาหารดังกล่าวอุดมด้วยวิตามินบีที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีด อกเลาได้และยังทำให้ ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย หากไม่ชอบถั่วลิสงก็ลองรับประทานมันฝรั่งอบร้อนและชุ่มด้วยเนยแทน แต่ปัจจุบันนี้ยังไม่มีผลิตภัณฑ์ใดที่หยุดยั้งการเปลี่ยนสีผมได้แน่นอนเอาเป็นว่ าทำให้ผมของเราไม่ เปลี่ยนสีรวดเร็วเกินไปก็เพียงพอแล้ว 6. ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี *รับประทาน ฝรั่ง หรือน้ำฝรั่ง ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี วิตามินซีสามารถช่วยเก็บรักษาคอลลาเจน ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับผลไม้ประจำวัน ก็จะช่วยเพิ่ม วิตามินซีเช่นกัน 7. บำรุงผิวด้วยบลูเบอร์รี่ *อาวุธลับแห่งเครื่องสำอางหลายชนิดถูกซ่อนอยู่ภายใต้ผิวสีน้ำเงินเข้มและความเขียวอมม่วงสดของบูลเบอร์รี่นี่แหละ สรรพคุณของบูลเบอร์รี่ทำให้ผนังเส้นเลือดมีความแข็งแรงโดยการช่วยดูแลผิวหนังให้ เรียบและแข็งแรง นอกจากนี้ยังหยุดอาการเส้นเลือดเปราะบางและแตกง่ายอีกด้วย 8. ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ *รับประทาน อะโวคาโด วิตามินบีในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้รวมไปจนถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศแห่ง มลภาวะที่เป็นพิษอีกด้วย หากรับประทานอะโวคาโดอย่างเดียวแล้วรู้สึกไม่คล่องคอขอแนะนำให้ลองรับประทานเมล็ด ทานตะวันเคลือบน้ำผึ้งและเมล็ดงาคั่วควบคู่ไปด้วยก็ได้ *จงจำไว้ว่าการดื่ม-กินเฉพาะสิ่งที่มีคุณค่าต่อร่างกาย ก็สามารถช่วยให้สวย หล่อได้ทันตาเห็นเหมือนกัน โดย: ทิวาจรดราตรี วันที่: 18 กันยายน 2551 เวลา:22:14:46 น.
|
ทิวาจรดราตรี
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?] ธรรมเป็นโอสถ ... แก้ทุกข์ทางใจ " สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเกิดขึ้นเพราะมีเหตุ สิ่งนั้นย่อมดับได้ สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นในเบื่องต้น ตั้งอยู่ในท่ามกลางและดับไปในที่สุด " All Blog Friends Blog
Link |
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
ดื่มน้ำ ตอนไหนเวิร์กสุด ๆ ?
การดื่มน้ำนอกจากจะทําให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใสแล้ว ยังทําให้ระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายทํางานได้ดีอีกด้วย
ใน 1 วัน ควรดื่มเท่าไหร่ ?
ในทุก ๆ วัน ร่างกายจะต้องสูญเสียน้ำผ่านทางการหายใจและการขับถ่าย จึงเป็นสิ่งที่จําเป็นมากที่จะต้องรับน้ำเข้าไปเพื่อทดแทนส่วนที่เสียไป
และโดยปกติเราจะเสียน้ำจากการปัสสาวะเฉลี่ยวันละประมาณ 1.5 ลิตร
และอีกเกือบถึง 1 ลิตรสำหรับ การหายใจและเหงื่อ ซึ่งถ้าคุณดื่มน้ำให้ได้วันละ 2 ลิตร (ประมาณ 8 แก้ว) ก็จะช่วยทดแทนการสูญเสียน้ำในส่วนนี้ได้ แต่สําหรับปริมาณน้ำที่ควรดื่มให้ได้ภายใน 1 วัน
เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเองแล้ว ถ้าเป็นหนุ่ม ๆ ควรดื่มให้ได้วันละ 3 ลิตร (ประมาณ 13 แก้ว)
ส่วนสาว ๆ วันละ 2.2 ลิตร (ประมาณ 9 แก้ว)
สําหรับสาว ๆ สปอร์ตี้เกิร์ล
จะต้องดื่มน้ำในปริมาณที่เยอะกว่าคนปกติ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของกิจกรรมที่ทําด้วย ถ้าคุณออกกําลังกายในช่วงสั้น ๆ
ก็ควรจะดื่มน้ำเพิ่มเข้าไปครั้งละ 1-2 แก้วหลังจากออกกําลังกายแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงยาว ๆ ละก็เพิ่มขึ้นอีกสัก 2-3 แก้วก็ น่าจะเพียงพอแล้ว
ดื่มตอนไหน เวิร์กสุด ๆ
ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ
ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทํางานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชําระของเสียเหล่านั้นออกไป
ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)
ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม)
ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลําไส้และกระเพาะอาหาร และยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น