Group Blog
 
 
มีนาคม 2553
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
8 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
ลำดับเหตุการณ์ “สงกรานต์วิปโยค” โดย “รศ. ดร. วรพล พรหมิกบุตร”


* “สงครามอำมหิตยาธิปไตย vs. ประชาธิปไตยเสื้อแดง”

ชื่อบทความเดิม: สงครามอำมหิตยาธิปไตย vs ประชาธิปไตยเสื้อแดง บทวิเคราะห์ประมวลพลวัตรเหตุการณ์ 8 – 14 เมษายน 2552 กรุงเทพฯ – พัทยา – กรุงเทพฯ

“การที่จะมีประชาชนจะหนึ่งคนหรือแสนคนลุกขึ้นมาเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบ ทบทวนตัวเอง พิจารณาตัวเอง ไม่ได้ขัดกับหลักประชาธิปไตยครับ ……. แต่ท่านดูเถอะครับ ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตยนั้น ส่วนใหญ่เค้าไม่รอให้กฎหมายจัดการครับ มันจะมีสิ่งที่เรียกว่าสำนึกหรือความรับผิดชอบของนักการเมืองที่เค้าบอกว่า มันต้องสูงกว่าคนธรรมดา มีเพื่อนสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่ง ท่านยกตัวอย่างกรณีของเกาหลี เช่น แค่คิดนโยบายนะครับว่าจะต้องเปิดการค้าเสรีเอาเนื้อวัวจากอีกประเทศเข้ามา คนลุกฮือขึ้นมาเป็นแสน เค้าลาออกทั้งคณะ” (นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อภิปรายในรัฐสภา วันที่ 31 สิงหาคม 2551 ขณะดำรงตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร แนะนำแนวทางให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชน นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช ลาออกจากตำแหน่งท่ามกลางสถานการณ์ชุมนุมยืดเยื้อของกลุ่มมวลชนที่เรียกตนเองว่า “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย”)

“วันที่ 8 เมษายน 2552 ประชาชนจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศนับจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่าสองแสนห้าหมื่นคนเดินทางมาร่วมชุมนุมขับไล่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล กรุงเทพมหานคร รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนอกจากไม่ลาออกทั้งคณะแล้วยังดำเนินมาตรการทางทหารตอบโต้ส่งผลนำพาประเทศเข้าสู่สถานการณ์สังหารหมู่ประชาชน” (บันทึกประมวลสรุปรายงานข้อมูลภาคสนามและการสังเกตการณ์แบบมีส่วนร่วมโดยนักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี, วันที่ 18 เมษายน 2552)


ตอนที่ 1 : พัทยา

วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2552

     นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธีและคณะ แถลงบทวิเคราะห์ต่อสาธารณชนผ่านเวทีชุมนุม นปช. (“คนเสื้อแดง”) ว่าการบริหารประเทศของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาได้นำพาประเทศไปสู่ภาวะ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” เช่น นอกเหนือจากไม่สามารถทำให้เกิดความสมานฉันท์ภายในประเทศได้ตามที่คาดหวังกันก่อนรับตำแหน่งแล้วยังมีประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองการทหารกับประเทศกัมพูชาเพิ่มขึ้น นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธีอ่านคำแถลงผ่านสื่อมวลชน (แต่สื่อมวลชนกระแสหลักในประเทศส่วนใหญ่ไม่เผยแพร่สู่สาธารณชนไทย) แนะนำให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ลาออกเพื่อเปิดทางให้จัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยที่ไม่มีทั้งพรรคประชาธิปัตย์หรือพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมรัฐบาล และให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยดังกล่าวดำเนินภารกิจเฉพาะหน้าเร่งด่วนในการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยใช้ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับ คปพร.” ที่มีวาระบรรจุอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรแล้วเป็นฐานเริ่มต้นการพิจารณา แปรญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 หลังจากแก้ไขรัฐธรรมนูญ แล้วจึงประกาศยุบสภาจัดการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ภายใน พ.ศ. 2552 วิกฤตจะคลี่คลายในทางสมานฉันท์มากขึ้นกว่าสภาพที่เป็นอยู่ขณะนั้น

แต่หากรัฐบาลดึงดันจะอยู่ในอำนาจต่อไปจะเกิดภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤตรุนแรงยิ่งขึ้น

วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

     การจัดชุมนุมประชาชนโดยใช้สิทธิการชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธตามรัฐธรรมนูญ 2550 ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล (กรุงเทพมหานคร) ประสบความสำเร็จในการเรียกร้องความมีส่วนร่วมของกลุ่มพลังมวลชนจากจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศพร้อมใจกันสวมใส่ “เสื้อแดง” เดินทางหลั่งไหลเข้าสู่ที่ชุมนุมตลอดคืนวันที่ 8 ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 9 เมษายน 2552 จนมีประชาชนเข้าร่วมการชุมนุมรวมกันมากกว่า 250,000 คนจนอาจกล่าวอย่างไม่เป็นทางการขณะนี้ว่าเป็น “การชุมนุมประชาชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย” เท่าที่เคยปรากฏ โดยเป็นการชุมนุมที่มีสาธารณชนไทยเข้าร่วมมากที่สุดไม่ว่าจะพิจารณาจากจำนวนรวมของผู้เข้าร่วมชุมนุม หรือความหลากหลายทางดัชนีสังคมของประชาชนที่ร่วมชุมนุม เช่น อาชีพ ฐานะทางเศรษฐกิจ ระดับการศึกษา อายุ การกระจายภูมิลำเนา เป็นต้น

วันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2552

     แกนนำประชาชนที่ร่วมชุมนุม (นปช. นำโดยนาย วีระ มุสิกพงศ์และคณะ) แสดงพลังการชุมนุมที่มีประชาชนเข้าร่วมมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยครั้งดังกล่าวโดยจัดการเดินขบวนประกาศการประท้วงรัฐบาลไปตามถนนสายต่าง ๆ ที่มุ่งหน้าจากบริเวณทำเนียบรัฐบาลและลานพระบรมรูปทรงม้าสู่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

จนเป็นที่ปรากฏต่อสายตาประชาชนกรุงเทพฯ สื่อมวลชนในประเทศ และสื่อมวลชนต่างประเทศว่าบนถนนกรุงเทพฯจากลานชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลถึงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเนืองแน่นไปด้วย “คนเสื้อแดง” ขณะที่ประชาชนที่เฝ้ามองการเดินขบวนดังกล่าวแสดงความรู้สึกปะปนกันทั้งสนับสนุนด้วยความพึงพอใจและหงุดหงิดที่เกิดปัญหาอุปสรรคการจราจรบนท้องถนน

ในคืนวันที่ 9 เมษายน หลังจากแกนนำ นปช. ประเมินผลสำเร็จของการเดินขบวนประท้วงนำประชาชนจำนวนมากไปยังอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโดยแกนนำการชุมนุมสามารถควบคุมอารมณ์มวลชนให้อยู่ในความสงบตามแนวทางสันติวิธีรวมทั้งป้องกันความพยายามแทรกแซงก่อเหตุวุ่นวายจากบุคคลภายนอกและบุคคลที่แฝงตัวแต่งกายเสื้อแดงเข้ามาในที่ชุมนุมได้หลายระดับ รวมทั้งสามารถควบคุมอารมณ์มวลชนไม่ให้พลุ่งพล่านเดือดดาลไปตามการยั่วยุโดยข่าวสารข้อมูลของสื่อโทรทัศน์กระแสหลักที่ลำเอียงเป็นปฏิปักษ์กับมวลชนเสื้อแดงมาโดยต่อเนื่อง แกนนำนปช. ได้ตกลงใจให้นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรองและคณะนำประชาชนจำนวนหนึ่ง (เบื้องต้นประมาณ 500 คนจากกรุงเทพฯ แต่ต่อมาได้เชิญชวนประชาชนในจังหวัดชลบุรี ระยองหรือใกล้เคียงเข้าร่วม) เดินทางไปยังพัทยาเพื่อประกาศการประท้วงรัฐบาลไทยต่อที่ประชุมอาเซียนซัมมิตซึ่งรัฐบาลนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะกำหนดจะเปิดการประชุมอย่างเป็นทางการที่พัทยาในวันที่ 10 เมษายน 2552 (ขณะนั้นยังไม่มีการประกาศพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่พัทยา)

     นอกเหนือจากประชาชนเสื้อแดงจากกรุงเทพฯและต่างจังหวัดใกล้เคียงจะอาสากันเดินทางไปร่วมชุมนุมประท้วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่พัทยาแล้วยังปรากฏว่ามีกลุ่มบุคคล “เสื้อสีน้ำเงิน” จำนวนหนึ่ง ติดอาวุธและเครื่องมือทำลาย เช่น อาวุธปืน ตะปูเรือใบ ระเบิดปิงปองและระเบิดควัน) เดินทางไปพัทยาโดยได้รับการอำนวยความสะดวกจากยานพาหนะของหน่วยราชการ (อ้างอิงภาพและรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศรวมทั้งการสัมภาษณ์ผู้ประสบเหตุการณ์โดยตรง)

ระหว่างช่วงเวลารอยต่อของคืนวันที่ 9 และเช้าตรู่วันที่ 10 เมษายน 2552 มีการก่อสถานการณ์ตึงเครียดโดยการสาดตะปูเรือใบดักไว้บนถนนสายต่างๆ ที่มวลชนเสื้อแดงใช้เดินทางมุ่งสู่พัทยารวมทั้งการขว้างปาก้อนหินขนาดต่าง ๆ และการลอบยิงปืนเข้าใส่รถที่คนเสื้อแดงจากกรุงเทพฯใช้เดินทางไปประท้วงรัฐบาลที่พัทยา ข้อมูลภาคสนามจากการสัมภาษณ์ผู้ร่วมเดินทางไปกับขบวนรถแท็กซี่จากกรุงเทพฯกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าไปตามทางหลวงแผ่นดินถึงบริเวณใกล้แหลมฉบังถูกกลุ่มคนแอบซุ่มยิงปืนเข้าใส่จนมีผู้บาดเจ็บสาหัสถูกยิงเข้าที่หน้าอกต้องนำส่งโรงพยาบาล (ผู้รายงานข้อมูลพยายามสอบถามชื่อนามสกุลผู้บาดเจ็บรายดังกล่าว จำได้ชัดเจนว่าเป็นชายวัยหนุ่ม สอบถามจากแหล่งข้อมูลรอบข้างเท่าที่สอบถามได้ว่าผู้บาดเจ็บชื่อ นายสมพงษ์ จำปาชื่น (หมายเหตุผู้วิเคราะห์: ชื่อนามสกุลที่ถูกต้องครบถ้วนตามทะเบียนราษฎร์หรือเวชระเบียนของโรงพยาบาลที่รับตัวผู้บาดเจ็บรายดังกล่าวเข้ารักษาพยาบาลอาจตรงตามนี้หรือคลาดเคลื่อนไปบ้างจากชื่อนามสกุลตัวสะกดที่ปรากฏในรายงานการวิเคราะห์นี้ตามธรรมชาติขีดจำกัดความจำของแหล่งข้อมูล)

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2552 : บ่าย

     นาย เนวิน ชิดชอบ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและไม่มีตำแหน่งราชการแต่ประการใดในช่วงเวลาดังกล่าว (อย่างไรก็ตาม นายเนวินเป็นแกนนำกลุ่มนักการเมืองที่ย้ายจากพรรคพลังประชาชนที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคในปี พ.ศ. 255 1 ไปจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ในปี พ.ศ. 2552 หลังจากร่วมกันสนับสนุนให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคเพื่อไทยในเดือนธันวาคม 255 1) ไปปรากฏตัวอยู่ในปริมณฑลพัทยาใกล้บริเวณที่จะเกิดเหตุรุนแรงที่พัทยาในช่วงวันที่ 9 - 10 เมษายน โดยแต่งกายคล้ายคลึงกับลักษณะการแต่งกายของ “กองกำลังกึ่งทหารกึ่งพลเรือน” ติดอาวุธซึ่งถูกระดมขนส่งเข้ามาในพื้นที่โดยการอำนวยความสะดวกของยานพาหนะทางราชการ รายงานข่าวและภาพจากสื่อมวลชนทางเลือกของไทย เช่น เว็บไซต์ในช่องทางสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต และสำนักข่าวต่างประเทศ เผยแพร่ภาพนายเนวินปรากฏตัวในปริมณฑลพัทยาใกล้สถานที่จะเกิดเหตุรุนแรงในวันดังกล่าวยืนยันแน่นหนาว่ามีการปรากฏตัวของนายเนวินเกี่ยวข้องกับบุคคลที่แต่งกายแบบกึ่งทหารกึ่งพลเรือนติดอาวุธ (กลุ่มที่เรียกว่า “กลุ่มเสื้อน้ำเงิน”)

ซึ่งต่อมาในวันที่ 10 เมษายนกลุ่มเสื้อน้ำเงินจะใช้อาวุธซุ่มทำร้ายกลุ่มเสื้อแดง (อ้างอิงจากคำบอกเล่าของผู้ประสบเหตุการณ์ประกอบข้อมูลรายงานจากสื่อมวลชน)

     ตลอดช่วงกลางวัน วันที่ 10 เมษายน เกิดสถานการณ์เผชิญหน้าตึงเครียดระหว่างมวลชนเสื้อแดงกับ “กลุ่มคนเสื้อยืดสีน้ำเงิน” ที่แสดงตนเป็นปฏิปักษ์กับคนเสื้อแดงในพื้นที่พัทยา โดยมีการใช้ก้อนหินจากไหล่เขา ตะปูเรือใบ ระเบิดปิงปอง ระเบิดควันและอาวุธปืนระดมขว้างปาและยิงเข้าใส่มวลชนเสื้อแดงจนมีผู้บาดเจ็บอีกหลายรายทั้งในส่วนที่เข้ารับการรักษาพยาบาลและที่อาการบาดเจ็บไม่สาหัสและเดินทางกลับกรุงเทพฯ

ที่บริเวณสถานที่จัดการประชุมอาเซียนซัมมิตในพื้นที่พัทยา แกนนำนปช. และมวลชนเสื้อแดงยืนยันจะขอเข้าไปประกาศคำแถลงต่อสื่อมวลชนเพื่อคัดค้านและประณามรัฐบาลไทย แต่ได้รับการขัดขวางจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของรัฐบาล รายงานข่าวตอนหนึ่งของสำนักข่าวรอยเตอร์เผยแพร่ภาพเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของรัฐบาลประทับปืนเล็งเตรียมยิงกลุ่มประชาชนที่ยืนกรานจะเข้าไปในโรงแรมที่จัดการประชุม (รายงานอย่างไม่เป็นทางการแจ้งว่าเจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งยับยั้งการยิงนั้นไว้ทันท่วงที แต่เหตุการณ์ฉุกละหุกที่แท้จริงหลังจากการประทับปืนเล็งจะยิงขณะนั้นเป็นอย่างไรอาจจำเป็นต้องตรวจสอบเพิ่มเติม) อย่างไรก็ตาม ในที่สุดมวลชนและแกนนำคนเสื้อแดงประสบความสำเร็จในการเดินเท้าเข้าสู่ภายในโรงแรมที่จัดการประชุมอาเซียนซัมมิตและสามารถอ่านคำแถลงการณ์ต่อสื่อมวลชนที่พัทยาได้ (หมายเหตุ : นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำนปช. เป็นผู้อ่านคำแถลงเป็นภาษาอังกฤษที่พัทยา โดยมีเพียงสถานีโทรทัศน์ดีสเตชั่นเพียงแห่งเดียวที่ถ่ายทอดภาพและเสียงออกอากาศทางเคเบิลทีวีให้สาธารณชนรับทราบแบบถ่ายทอดสด ผู้เขียนในฐานะนักวิชาการอิสระที่แกนนำนปช. เปิดโอกาสให้นำเสนอบทวิเคราะห์และข้อเสนอแนะต่อฝ่ายต่าง ๆ

ผ่านเวทีการชุมนุมได้ในบางช่วงเวลาได้รับการร้องขอจากแกนนำนปช. ที่เวทีหน้าทำเนียบรัฐบาลให้แปลคำแถลงถ่ายทอดสดสู่สาธารณชนไทยหลังจากนายจักรภพสรุปจบคำแถลงที่พัทยา เนื้อหาคำแถลงอย่างเป็นทางการในภาษาอังกฤษอาจค้นหาได้จากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ขณะนั้นยังไม่ถูกปิดทำการเด็ดขาดตั้งแต่ฃ่วงวันที่ 12 – 14 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะมีปฏิบัติการทางทหารโดยคำสั่งรัฐบาลและจะเกิดความรุนแรงอันเป็นที่มาของข้อความ”อำมหิตยาธิปไตย” ในบทวิเคราะห์นี้) ความเสียหายทรัพย์สินของทางโรงแรมที่เกิดเหตุตามที่ยกขึ้นกล่าวขวัญกันอย่างกว้างขวางโดยสื่อโทรทัศน์ไทยและนักวิเคราะห์วิจารณ์ที่เป็นปฏิปักษ์กับคนเสื้อแดงเท่าที่เป็นรูปธรรมมากที่สุด ได้แก่ บานกระจกแตกคิดเป็นมูลค่าหลักแสนบาท แต่อย่างน้อยในขณะนั้นไม่ปรากฏว่ามีรายงานการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของพนักงานโรงแรมหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐในที่เกิดเหตุแต่ประการใด รายงานข่าวและข้อมูลทุกกระแสในขณะนั้นรายงานตรงกันว่าผู้บาดเจ็บเป็นประชาชนคนเสื้อแดง

     รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ได้ตัดสินใจ “ลาออกทั้งคณะ” ตามหลักการหรือแนวทางประชาธิปไตยซึ่งตนเองยกขึ้นกล่าวอ้างในคำอภิปรายที่แนะนำให้รัฐบาลพรรคพลังประชาชนก่อนหน้านั้นลาออก เมื่อวันที่ 3 1 สิงหาคม 255 1 แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะดำเนินมาตรการยกระดับ “การเผชิญหน้า” แบบเป็นปฏิปักษ์รุนแรงมากขึ้นกับประชาชนที่เข้าร่วมการชุมนุมนับแสนคนทั้งที่กรุงเทพฯและพัทยารวมกัน โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ใช้อำนาจบริหารประกาศพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่พัทยาตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน 2552

อย่างไรก็ตาม ภายในค่ำวันที่ 10 เมษายน 2552 ข้อเท็จจริงปรากฏเป็นที่แน่ชัดต่อสาธารณชนไทยและประชาคมโลกว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในความพยายามที่จะจัดการประชุมอาเซียนซัมมิตครั้งดังกล่าว เนื่องจากการประชุมถูกยกเลิกโดยปริยายเมื่อผู้นำประเทศต่าง ๆ พากันเดินทางกลับประเทศของตน โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะในฐานะนายกรัฐมนตรีไทยผู้เป็นประธานและเจ้าภาพจัดการประชุมไม่สามารถแม้แต่จะได้กล่าวสุนทรพจน์เปิดประชุมอย่างเป็นทางการ

วันที่ 10 เมษายน พ.ศ. 255 : ค่ำ

     รายงานเหตุการณ์ที่พัทยา วันที่ 10 เมษายน ได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนต่างประเทศขณะที่เวทีการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่ทำเนียบรัฐบาลดำเนินต่อเนื่อง แต่การชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิยุติลงโดยไม่มีเหตุปะทะรุนแรงบานปลายแต่ประการใด นอกเหนือไปจากปัญหาการจราจรติดขัดเป็นอัมพาตระหว่างการชุมนุมและการกล่าวหาว่าการปิดถนนของคนเสื้อแดงทำให้เกิดความเสียหายรวมทั้งการพยายามยกประเด็นเรื่อง “การขาดอ็อกซิเจน” บริการคนไข้ในโรงพยาบาลราชวิถีขึ้นกล่าวหา นปช.ผ่านสื่อมวลชนไทยกระแสหลัก ต่อมาแกนนำนปช. ที่เวทีทำเนียบรัฐบาลประกาศให้ผู้ชุมนุมที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเดินทางกลับมารวมตัวกันที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล

ประชาชนบางรายที่ได้รับบาดเจ็บ (อาการไม่สาหัส) ขึ้นเวทีปราศรัยที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่พัทยาในวันที่ผ่านมา ผู้วิเคราะห์มีโอกาสเล็กน้อยได้สัมภาษณ์สอบถามข้อมูลบางประการจากนายอริสมันต์หลังจากการปราศรัยของนายอริสมันต์ ตอนหนึ่งของการสนทนานายอริสมันต์สอบถามความเห็นและข้อกฎหมายเกี่ยวกับการที่ตนเองถูกหมายจับซึ่งผู้วิเคราะห์ตอบไปกลาง ๆ ว่าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายของนปช. คงมีวิธีดูแลช่วยเหลืออยู่แล้ว หลังจากนั้นนายอริสมันต์กล่าวว่าเหนื่อยมากทั้งวันมาแล้วคืนนี้จะขอนอนสบาย ๆ ในโรงแรมห้าดาว ผู้วิเคราะห์มีข้อสังเกตอยู่ในใจเล็กน้อยว่านายอริสมันต์กำลังตกเป็นเป้าหมายการปองร้ายของกองกำลัง “คนเสื้อยืดสีน้ำเงิน” ซึ่งมีลักษณะจัดตั้งแบบกึ่งทหารกึ่งพลเรือนกื่งมาเฟียจึงกล่าวไปว่าอย่างไรก็ควรระมัดระวังความปลอดภัยด้วย

จากคุณ : จำปีเขียว




ลำดับเหตุการณ์ “สงกรานต์วิปโยค” ตอนที่ ๒. โดย “รศ. ดร. วรพล พรหมิกบุตร”


*ตอนที่ 2 : กระทรวงมหาดไทย

วันที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2552

     นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรองถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวที่บ้านพักในตอนเช้าตรู่วันที่ 11 เมษายน ข่าวนี้ไม่ถูกปิดกั้นโดยสื่อมวลชนกระแสหลักสายวิทยุโทรทัศน์ในประเทศเหมือนเช่นข่าวความคืบหน้าฃอง นปช.จำนวนมากก่อนหน้านี้ที่มีลักษณะเป็นคุณต่อการเคลื่อนไหวของมวลชนเสื้อแดง (ข่าวที่เป็นคุณหรือเป็นประโยชน์ต่อการเคลื่อนไหวของ นปช.ก่อนหน้านี้จำนวนมาก รวมทั้งคำแถลงประจำวันของนปช.ต่อสื่อมวลชนที่หลังเวทีปราศรัยหน้าทำเนียบรัฐบาลมักถูกปกปิด ปิดกั้น หรือลดทอนความสำคัญโดยสื่อมวลชนไทยจนเป็นที่กล่าวขวัญกันทั้งในที่ชุมนุมและทางเว็บไซต์ในประเทศจำนวนหนึ่งว่าสื่อมวลชนไทยไม่ให้ “พื้นที่ข่าวสาร” แก่คนเสื้อแดง รวมทั้งข้อวิพากษ์วิจารณ์กันว่าสื่อมวลชนไทยเลือกข้างเป็นพรรคพวก “พันธมิตรฯ” ที่มุ่งร้ายต่อ นปช.และคนเสื้อแดง) รายงานข่าวการจับกุมนายอริสมันต์ถูกโหมประโคมอื้ออึงเป็นข่าวด่วนข่าวสดตั้งแต่เช้าวันที่มีการจับกุม

ภายในวันเดียวกัน มีการสร้างข่าวไม่กรองหลายกระแสรายงานการเคลื่อนไหวค่อนข้างสับสนเกี่ยวกับการกำหนดสถานที่ควบคุมตัวนายอริสมันต์และกำหนดการแถลงข่าวของฝ่ายรัฐบาลที่กระทรวงมหาดไทย

แกนนำ นปช. ส่วนหนึ่งนำมวลชนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเดินทางไปที่กระทรวงมหาดไทยและเกิดการเผชิญหน้าปะทะกันอย่างรุนแรงโดยมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย ผู้ร่วมเหตุการณ์ปะทะที่เป็นฝ่ายนปช. อ้างว่ามีผู้แอบซุ่มยิงคนเสื้อแดงภายในบริเวณซอกหลืบอาคารต่าง ๆ ในกระทรวงมหาดไทยจนมีคนเสื้อแดงเสียชีวิตอย่างน้อย 2 รายถูกลากศพไปซ่อนภายในอาคาร ขณะที่อีกด้านหนึ่งมีรถประจำตำแหน่งนักการเมืองระดับสูงวิ่งด้วยความเร็วพุ่งฝ่ากลุ่มคนเสื้อแดงเข้าชนประตูกำแพงหยุดนิ่งก่อนที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะกรูเข้าไปกระชากตัวคนขับรถออกมาและพบว่าภายในรถมีนายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ แกนนำระดับสูงของพรรคประชาธิปัตย์และพรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันนั่งบาดเจ็บอยู่ภายใน (รายงานข่าวต่อมาระบุว่าคนเสื้อแดงรุมทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธ์) การแถลงของรัฐบาลประณามนปช.โดยระบุว่าคนเสื้อแดงรุมทำร้ายทั้งคนขับรถและนายนิพนธ์ในที่เกิดเหตุ

เหตุการณ์ที่กระทรวงมหาดไทย วันที่ 1 1 เมษายน 2552 ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บเพิ่มสูงขึ้นกว่าวันก่อน โดยเริ่มมีคนของฝ่ายรัฐบาลบาดเจ็บเสียหายด้วยเช่นกัน

     รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไม่ใช้วิธีแก้ปัญหาวิกฤตด้วยการลาออก ยุบสภา หรือใช้แนวทางสมานฉันท์เปิดการเจรจาอย่างเป็นทางการกับแกนนำ นปช. แต่เลือกดำเนิน “มาตรการยกระดับการเผชิญหน้าแบบปฏิปักษ์” ต่อประชาชนเสื้อแดงอย่างแข็งกร้าวมากขึ้นโดยการประกาศพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพฯและจังหวัดข้างเคียงโดยรอบตั้งแต่วันที่ 1 1 เมษายน 2552

เวลา 15.30 น. มวลชนเสื้อแดงควบคุมตัวชายวัยฉกรรจ์แต่งกายด้วยเสื้อเชิร์ตสีขาวเข้ารูป กางเกงสีกรมท่าเข้ม สวมแจ๊คเก็ตแบบเบลเซอร์สีดำ มีร่องรอยบาดแผลศีรษะแตกไม่ลึก พกพาอาวุธสงครามร้ายแรงเป็นปืนเอชเคแบบพับฐานพร้อมกระสุนจริง เข้ามาที่หลังเวทีชุมนุมให้คณะแพทย์ที่ประจำการอยู่ก่อนหน้าแล้วทำการปฐมพยาบาลก่อนส่งตัวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจรับตัวไปสอบสวน (การตรวจสอบเบื้องต้นโดยการ์ด นปช. ระบุว่าชายดังกล่าวเป็นนายทหารบกยศพันตรี) ระหว่างนั่งพักรอการส่งตัวให้ตำรวจในเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงต่อมาปรากฏว่ามีคณะแพทย์พยาบาลสวมเสื้อคลุมขาวระบุว่ามาจากสภากาชาดไทยจะมารับตัวชายคนดังกล่าวอ้างว่าต้องนำส่งโรงพยาบาลและจะขอ “ให้น้ำเกลือ” เพราะเป็นผู้บาดเจ็บ

อย่างไรก็ตาม ปรากฏมีผู้คัดค้านเพราะเกรงว่าการฉีดของเหลวดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้บาดเจ็บและอาจเป็นเหตุให้มีการใส่ร้าย แกนนำนปช.ในเวลาต่อไป ผู้ร่วมสังเกตการณ์คนหนึ่งซึ่งคุ้นเคยกับการแต่งกายของบุคคลากรทางการแพทย์ระบุว่าแพทย์ชายที่มากับคณะพยาบาลชุดนี้เป็น “แพทย์จุฬาฯ” ที่เคยประกาศ “คว่ำบาตร” ไม่รับรักษาพยาบาลเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ “วันที่ 7 ตุลาคม 255 1” (พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย vs เจ้าหน้าที่ตำรวจ) รวมทั้งตั้งข้อสังเกตว่าที่หลังเวทีนปช. ขณะนั้นยังมีประชาชนเสื้อแดงที่บาดเจ็บอยู่ระหว่างการปฐมพยาบาลอีกหลายคนแต่เหตุใดคณะแพทย์พยาบาลชุดนี้จึงมุ่งจะมารับตัวและ “ให้น้ำเกลือ” เฉพาะเจาะจงแก่นายทหารคนนี้เพียงคนเดียวโดยไม่เอื้อเฟื้อจรรยาแพทย์แก่ผู้บาดเจ็บคนอื่นที่หลังเวทีปราศรัยนั้นเลยแม้แต่รายเดียว

เวลา 17.15 น. การ์ดและมวลชนเสื้อแดงควบคุมตัวชายวัยฉกรรจ์ได้อีกคนโดยตรวจพบว่าแอบซ่อนพกพาอาวุธสงครามชนิดคล้ายคลึงกับกรณีแรกเข้ามาในที่ชุมนุม พร้อมกระสุนจริง ชายคนนี้ถูกตรวจจับและควบคุมตัวมาที่หลังเวทีปราศรัยโดยไม่มีร่องรอยบาดแผลแต่ประการใด

ก่อนค่ำวันเดียวกันมีสตรีสูงอายุรูปร่างค่อนข้างท้วม ผิวขาวเหลือง อายุประมาณ 60 – 65 ปี เดินเข้ามาสอบถามหาอาจารย์ มานิตย์ จิตจันทร์กลับ โดยอ้างว่าตนเองเป็นตัวแทนคณะภรรยานายทหารอากาศเกษียณระดับนายพลหลายคน (มีการระบุชื่อนายทหารอากาศยศ พลอากาศโทถึงพลอากาศเอก 3 คน) ต้องการนำข่าวสารจากนายทหารระดับสูงดังกล่าวมาบอกผ่านอาจารย์มานิตย์ไปถึงแกนนำนปช. ว่า “อย่าใจเย็น ให้รีบต่อสู้เผด็จศึกตอนนี้ทันที”


ตอนที่ 3 : สามเหลี่ยมดินแดง

วันที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2552 (เช้า) : ปฏิบัติการสังหารหมู่

     ความตึงเครียดทวีขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากนายกรัฐมนตรีแถลงว่าจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดนับจากวินาทีที่แถลงเป็นต้นไป (การแถลงวันที่ 1 1 เมษายน 2552) และทวีความตึงเครียดมากขึ้นเมื่อมีการออกคำสั่งเคลื่อนกำลังพลทางทหารพร้อมรถหุ้มเกราะและอาวุธสงครามมุ่งหน้าเข้าโอบล้อมพื้นที่กรุงเทพมหานคร ตั้งแต่สามเหลี่ยมดินแดงจรดพื้นที่รายรอบสถานที่ชุมนุมคนเสื้อแดงหน้าทำเนียบรัฐบาล

การเคลื่อนไหวทางยุทธการของกองกำลังทหารติดอาวุธครบมือ (และกระสุนจริง) พร้อมรถหุ้มเกราะที่มุ่งหน้าเข้าสู่เป้าหมายที่ชุมนุมประชาชนหน้าทำเนียบรัฐบาล ดำเนินไปควบคู่กับการประกาศระดมคนเสื้อแดงเข้าสู่ที่ชุมนุมสลับกับการแจ้งให้ผู้ชุมนุมเดินทางไป “เสริมกำลัง” คนเสื้อแดงที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดงบ้าง ไปขัดขวางการยึดสถานีดาวเทียมไทยคมบ้าง ไปป้องกันการตัดกระแสไฟฟ้าสถานีดีสเตชั่นบ้าง ทำให้ตลอดคืนวันที่ 11 เมษายน ต่อเนื่องถึงย่ำรุ่งวันที่ 12 เมษายน 2552 ที่กรุงเทพฯ เต็มไปด้วยความตึงเครียดหวาดผวาต่อความรุนแรงและจลาจลบานปลาย อย่างไรก็ตามแกนนำ นปช. ที่เวทีทำเนียบรัฐบาลยังคงสามารถควบคุมจิตวิทยามวลชนให้สงบรวมตัวอยู่รอบเวทีศูนย์กลางการปราศรัยได้โดยไม่เกิดภาวะตื่นกลัวคลุ้มคลั่งจนอาจเกิดความรุนแรงบานปลายเป็นอันตรายต่อมวลชนที่ร่วมชุมนุมที่เวทีปราศรัย

ผู้วิเคราะห์ยังคงร่วมสังเกตการณ์อยู่ในบริเวณดังกล่าวกับผู้ช่วยรวบรวมข้อมูลสังเกตการณ์ภาคสนามคนหนึ่งจนกระทั่งเวลา 04.15 น. ของเช้ามืดวันที่ 12 เมษายน 2552 ผู้วิเคราะห์ประเมินว่าจะยังไม่มีการใช้กำลังทหารเข้าปราบปรามผู้ชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลในคืนนั้นแล้ว ผู้วิเคราะห์จึงเดินออกจากบริเวณที่ชุมนุมไปยังสำนักงานมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ซึ่งตั้งอยู่บนถนนข้างเคียงใกล้ทำเนียบรัฐบาล เพื่อนำรถยนต์ส่วนตัวที่จอดไว้เดินทางกลับที่พัก

     ณ เวลาประมาณ 04.30 นั้น รถโดยสาร ขสมก.คันหนึ่งถูกนำมาจอดขวางถนนเลียบทางรถไฟระหว่างสถานียมราช – สวนจิตรลดาเรียบร้อยแล้วโดยผู้วิเคราะห์ไม่ทราบว่าเป็นปฏิบัติการของฝ่ายใด แต่ตำแหน่งที่รถถูกนำมาจอดนั้นอยู่หลังแนวประจำการของกองกำลังเจ้าหน้าที่รัฐบาลซึ่งเข้ามายึดพื้นที่ดูแลความปลอดภัยที่ด่านทางด่วนยมราช ณ เวลานั้นเรียบร้อยแล้ว เพราะเหตุที่รถคันดังกล่าวปิดขวางผิวจราจรทุกช่องทางอย่างสิ้นเชิง ผู้วิเคราะห์จึงต้องกลับรถกลางถนนมุ่งหน้าไปขึ้นทางด่วนที่ด่านยมราชเพื่อกลับที่พัก แทนที่จะใช้เส้นทางสามเสน – จตุจักร- บางเขนเช่นที่เคยใช้ในวันก่อน (ผู้วิเคราะห์พบในเวลาต่อมาว่ารถโดยสารคันดังกล่าวถูกเผาประกอบสถานการณ์รุนแรงในช่วงวันที่ 13 เมษายน)

ระหว่างทางที่ผู้วิเคราะห์ขับรถยนต์ขึ้นทางด่วนจากด่านยมราชมุ่งหน้าไปทางถนนกำแพงเพชรและทางลงรัชดาภิเษกตัดวิภาวดีรังสิต ผู้วิเคราะห์ยังไม่ทราบว่าได้มีการสั่งการให้ทหารใช้อาวุธระดมยิงขับไล่ รวมทั้งสังหารมวลชนเสื้อแดงที่ปักหลักชุมนุมกันอยู่ที่ทางแยกสามเหลี่ยมดินแดงจนมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมากแล้ว

ผู้วิเคราะห์ทราบเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อกลับถึงที่พัก

     ตลอดเช้าวันที่ 12 เมษายน 2552 สถานีโทรทัศน์ไทย (ไทยพีบีเอส) และผู้ประกาศข่าวที่เป็นมิตรกับ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ไม่ได้รีรอเสียเวลาในการจัดรายการถ่ายทอดสดเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น ขณะที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 7 รายงานเหตุการณ์เดียวกันแต่มีน้ำหนักความเห็นประกอบการรายงานแตกต่างออกไปในบางส่วนเล็กน้อย ขณะที่สถานีโทรทัศน์อื่นบางรายแม้ว่าจะรับทราบเหตุการณ์รุนแรงแล้วแต่ยังไม่รายงานให้ความสำคัญมากเท่ากับสองสถานีที่กล่าวถึง

การติดตามรายงานข่าวโทรทัศน์ประกอบข้อมูลจากรายงานภาคสนามที่ประชาชนจำนวนหนึ่งส่งข่าวสารให้ได้รับทำให้ทราบได้ว่ามวลชนเสื้อแดงถูกกองกำลังทหารดำเนินยุทธการปราบปรามโดยใช้อาวุธสังหารระดมยิงใส่จนบาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในขณะที่มวลชนเสื้อแดงไม่มีอาวุธประจำกายสำหรับป้องกันตนเองหรือต่อสู้ตอบโต้นอกจากการใช้เครื่องกีดขวางเช่นรถเมล์ ถังแก๊ส ขวดบรรจุน้ำมันเชื้อเพลิง หรือยางรถยนต์เผาไฟ เป็นต้น

ผู้วิเคราะห์เดินทางกลับเข้าไปในพื้นที่ชุมนุมคนเสื้อแดงหน้าทำเนียบรัฐบาลอีกครั้งก่อนเที่ยงวันที่ 12 เมษายน 2552 โดยใช้เส้นทางอ้อมเข้าทางด้านสวนอัมพร




ลำดับเหตุการณ์ “สงกรานต์วิปโยค” ตอนที่ ๓. โดย “รศ. ดร. วรพล พรหมิกบุตร”


*ตอนที่ 4 : ทำเนียบรัฐบาล/นางเลิ้ง

วันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2552 : วันอำมหิตยาธิปไตย**

     ภายในเที่ยงวันที่ 13 เมษายน ที่บริเวณพื้นที่รอบนอกของเวทีศูนย์กลางการชุมนุมมีผู้พบเห็นชายสองคนแต่งกายคล้ายคนเสื้อแดงกำลังพยายามกระตุ้นเร้าอารมณ์โกรธให้คนเสื้อแดงออกไปต่อสู้กับเจ้าหน้าที่แต่มวลชนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยกันขัดขวางและควบคุมตัวส่งสถานีตำรวจนางเลิ้ง รายงานเพิ่มเติมแจ้งว่าตำรวจตรวจพบบัตรประจำตัวข้าราชการทหารในตัวบุคคลที่พยายามสร้างสถานการณ์ดังกล่าวซึ่งบุคคลที่ถูกควบคุมตัวอ้างว่ายังไม่ต้องรีบดำเนินคดีกับตนเพราะ “นาย” กำลังจะมา “เคลียร์” ให้

ภายในวันเดียวกัน มีผู้ก่อเหตุการณ์รุนแรงที่บริเวณตลาดนางเลิ้ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตสองราย รายงานข่าวโทรทัศน์ ช่อง 3 เปิดเผยในเวลาต่อมาว่าผู้ถูกยิงเสียชีวิตรายหนึ่งเป็นประชาชนที่มารอมุงดูเหตุการณ์ที่ตลาดนางเลิ้งในช่วงเวลาตึงเครียดหลังการสลายมวลชนสามเหลี่ยมดินแดง โดยมีญาติผู้เสียชีวิตเห็นเหตุการณ์และยืนยันว่าผู้ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายเป็นชายสวมเสื้อแจ๊คเก็ตสีดำนั่งมอเตอร์ไซค์เข้ามาจ่อยิงขณะเกิดเหตุชุลมุน (สถานที่เกิดเหตุอยู่ไกลเลยแนวแผงเหล็กกั้นที่สะพานขาวออกไปทางหลานหลวง) ก่อนหลบหนีไป

ภายในเวลา 14.30 น. วันที่ 13 เมษายน 2552 กรุงเทพฯตกอยู่ภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงที่ใครก็ยากจะคาดการณ์ล่วงหน้าว่าการนองเลือดที่เกิดขึ้นจากปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่สามเหลี่ยมดินแดงจะขยายตัวบานปลายต่อไปเพียงใดหรือจะจบลงด้วยการจลาจลเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือลุกลามไปในต่างจังหวัด หรือไม่ เพียงใด หรือจะคลี่คลายต่อไปอย่างไรในเวลาวินาทีต่อวินาที

ถนนหน้าสำนักงานมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 จากหน้าอาคารสำนักงานใหญ่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ถึงสะพานขาวโล่งว่างไม่มีมวลชนเสื้อแดงหรือการ์ด นปช. เฝ้าระวังแล้วหลังจากข่าวลือแพร่สะพัดว่ามีกลุ่มสมาชิกพันธมิตรฯปะปนอยู่กับไทยมุงที่อีกฟากหนึ่งของสะพานขาวคอยก่อกวนทำร้ายใครก็ตามที่สวมเสื้อสีแดงเดินผ่าน

เลขานุการมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 แจ้งให้ทุกคนที่ทำงานในมูลนิธิออกจากอาคารเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายก่อนหน้าเวลา 14.30 แล้ว ภายในมูลนิธิเหลือเพียงพนักงานดูแล 2 คน เฝ้าระวังทรัพย์สินของมูลนิธิ

ผู้เขียนเดินจากที่ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลไปยังอาคารมูลนิธิบ้านเลขที่ 111 ในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อตรวจสอบข้อมูลว่าสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ยังคงปรึกษาประชุมกันอยู่หรือไม่และได้รับแจ้งจากผู้เฝ้าระวังอาคารมูลนิธิว่าทุกคนได้รับแจ้งให้ออกจากอาคารหมดแล้ว

ผู้วิเคราะห์เดินเท้ากลับไปที่เวทีชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลหลังจากช่วงเวลาที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเผยแพร่การให้สัมภาษณ์ของประธานวุฒิสภาถึงความกังวลต่อสถานการณ์ที่ลุกลามบานปลาย ผู้วิเคราะห์เดินเท้าไปถึงเวทีทำเนียบรัฐบาลขณะที่นายจาตุรนต์ ฉายแสงกำลังปราศรัยเรียกร้องรัฐบาลให้พิจารณาดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นนาย สุธรรม แสงประทุมขึ้นเวทีปราศรัยต่อ

เวลา 15.25 น. ผู้วิเคราะห์ได้พบและสอบถามข้อมูลสถานการณ์ทั่วไปจากนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. คนหนึ่ง ระหว่างนั้นนายณัฐวุฒิขัดจังหวะการปราศรัยด้วยการประกาศด่วนผ่านเครื่องขยายเสียงเรียกการ์ด นปช. ทุกคนให้ถอนตัวจากทุกจุดเข้ามารวมตัวป้องกันรักษาพื้นที่เวทีชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อการสร้างสถานการณ์รุนแรงของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่รวมตัวกันอยู่รายรอบพื้นที่ชุมนุมที่เวทีหน้าทำเนียบรัฐบาล

เวลา 17.30 น. กองกำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือเคลื่อนพลเข้าปิดล้อมประชิดบริเวณที่ชุมนุมในระยะห่างด้านหนึ่ง (ด้านถนนเลียบคลองข้างวัดเบญจมบพิตรฯ) ไม่เกิน 100 เมตรเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงกลางวัน ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ผู้วิเคราะห์มองเห็นกลุ่มควันเผาไหม้ลอยคลุ้งขึ้นสูงบนท้องฟ้าอย่างน้อย 2 ด้านจากเวทีปราศรัย แต่เป็นร่องรอยการเผาไหม้ที่อยูในระยะไกลออกไปจากปริมณฑลการชุมนุมขณะนั้น

เวลา 17.50 น. มีผู้มาแจ้งกับผู้วิเคราะห์ว่าเห็นทหารใช้อาวุธปืนยิงเป็นระยะ ๆ ที่บริเวณใกล้เคียงกระทรวงศึกษาธิการที่ถนนราชดำเนินและเห็นอาคารที่มี “ตัววิ่ง” ถูกไฟเผาไหม้บางส่วน ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้นมีสตรีสวมเสื้อแดงอายุประมาณ 30 ปีเศษเดินเข้ามาหาผู้วิเคราะห์ อ้างว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเสื้อแดงที่พยายามแย่งศพแท็กซี่จากทหารที่สามเหลี่ยมดินแดงแต่ได้มาแค่กางเกงเปื้อนเลือด ทั้งยังกล่าวต่อไปว่าอยากให้ ”อาจารย์” ช่วยไปบอกแกนนำนปช.ว่าทหารโหดมาก อยากให้ส่งการ์ดนปช.ไปสู้กับพันธมิตรฯ ที่ยมราช ผู้วิเคราะห์รับฟังไว้ แต่ขอดูบัตรประจำตัวประชาชนสตรีคนดังกล่าว ไม่ปรากฏว่าพกบัตรประชาชนแต่พกใบอนุญาตขับขี่จักรยานยนต์ชั่วคราว ฉบับที่ 3 1009XXXXXXXX วันที่อนุญาต 2 พฤษภาคม 2551

เวลา 13 เมษายน 2552 เวลา 19.30 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงแถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ เนื้อหาคำแถลงที่สำคัญเป็นการกล่าวหาแกนนำ นปช. อย่างน้อย 2 เรื่อง คือ การยิงอาวุธสงครามใส่อาคารศาลรัฐธรรมนูญ และ (สันนิษฐานเชิงกล่าวหาล่วงหน้า) ว่าคืนนั้น นปช. อาจก่อจลาจล นอกเหนือไปจากข้อกล่าวหาดังกล่าวแล้ว นายสุเทพอธิบายต่อประชาชนว่าการดำเนินมาตรการของทหารและรัฐบาลจนถึงขณะนั้นยังไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต

การเผชิญหน้าอย่างตึงเครียดระหว่าง นปช. กับกองกำลังทหารฝ่ายรัฐบาลดำเนินต่อไปตลอดคืนวันที่ 13 ต่อเนื่องถึงเช้าวันที่ 14 เมษายนแต่ยังไม่มีการจู่โจม


ตอนที่ 5 : ทำเนียบรัฐบาล

วันที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2552 : ถอดสลักฆาตกรคอปกขาว***

     ก่อนเที่ยงวันที่ 14 เมษายน 2552 กองกำลังทางทหารพร้อมอาวุธสังหารครบมือที่โอบล้อมมวลชนนปช. ทุกด้านไว้แล้วเตรียมความพร้อมทุกขณะหากจะได้รับคำสั่งปฏิบัติการในวินาทีใดวินาทีหนึ่ง; ห่างจากแนวหลังของกองทหารเหล่านั้นออกไปยังมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคน “เสื้อสีอื่น” ปะปนอยู่กับประชาชนชาวไทย (มุง) ซ้อนเสริมเตรียมความพร้อมอยู่ในระยะใกล้ไกลต่างกันโดยรอบปริมณฑลที่อาจมีคนเสื้อแดงแตกตื่นเตลิดหนีหลุดรอดออกไปถึงแนวหลังกองทหาร; โฆษกคณะอำนวยการตามพระราชกำหนดสถานการณ์ฉุกเฉินประกาศรหัสสัญญาณว่าขณะนั้น “ประชาชนในที่ชุมนุมเหลือเพียงประมาณสองพันคน” ให้ทุกฝ่ายรับทราบโดยทั่วกัน

แต่ทว่า ก่อนที่จะถึงวินาทีออกคำสั่งปฏิบัติการจู่โจม ; ยุทธการล้อมปราบประชาชนคนเสื้อแดงก็ยุติลงโดยปริยาย และอย่างทันท่วงที โดยการประกาศยุติการชุมนุมชั่วคราว

บุคคลที่ทำให้สถานการณ์คลี่คลายได้เช่นนั้นในความเป็นจริงกลับไม่ใช่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ หรือพลเอกทรงกิตติ จักกาบาตร์

แต่เป็นนาย วีระ มุสิกพงศ์ แกนนำอันดับหนึ่งของนปช. ที่ชิงประกาศยุติการชุมนุมแล้วเดินนำหน้าไปเจรจรกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติถึงรายละเอียดในการนำคนเสื้อแดงออกจากการชุมนุมโดยต้องไม่มีการเสียเลือดเนื้อประชาชน****

พลังฝ่ายประชาธิปไตยรุกคืบเอาชัยไปได้อีกก้าวหนึ่งในพัฒนาการอันแสนยาวนานของการค้นหาประชาธิปไตยในระบอบการเมืองไทยภายหลังการรัฐประหารวันที่ 24 มิถุนายน 2475

แม้ว่าพลังคณาธิปไตย อำมาตยาธิปไตย และอำมหิตยาธิปไตยจะไม่รู้สึกเท่าทันและยังพลัดหลงกงล้อวิวัฒนาการประวัติศาสตร์คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายเอาชนะประชาชนได้อีกคำรบหนึ่งก็ตามที

หมายเหตุ :

*นักวิชาการเพื่อประชาธิปไตยและสันติวิธี ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดำเนินการศึกษาค้นคว้าและประมวลสรุปข้อเขียนนี้โดยระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพด้วยวิธีการสังเกตแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดเผยสถานภาพนักวิชาการต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์ในภาคสนามอย่างจำกัดบทบาทการมีส่วนร่วมในเหตุการณ์

** “อำมหิตยาธิปไตย” เป็นคำเฉพาะที่ผู้เขียนกำหนดขึ้นใช้เพื่อสื่อความหมายเป็นศัพท์เทคนิคทางวิชาการบ่งชี้ถึงระบอบการเมือง บุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรทั้งในและนอกภาครัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือพัวพันกับกรณีเหตุการณ์วันที่ 8 – 14 เมษายน พ.ศ. 2552 โดยสื่อความหมายเฉพาะถึงระบอบการเมือง บุคคล กลุ่มบุคคล และองค์กรต่าง ๆ ข้างต้นที่มีส่วนผสมของรากฐานคำศัพท์ “อำมหิต” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ผนวกกับคำว่า “อำมาตยาธิปไตย” ตามที่ปรากฏในงานเขียนทางวิชาการเช่นในการวิเคราะห์เศรษฐกิจการเมืองไทยของนายรังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ ศาสตราจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น

*** คำนี้ดัดแปลงมาจากคำว่า “อาชญากรคอปกขาว” (white-collar criminal) ในวิชาการด้านอาชญาวิทยาและสังคมวิทยา สื่อความหมายถึงอาชญากรในสังคมปัจจุบันที่มีภาพลักษณ์ผู้ดี มีการศึกษาสูง ตำแหน่งหรืออาชีพการงานน่านับถือ แต่มีจิตใจเป็นอาชกรกรที่อาจกระทำความผิดได้อย่างแนบเนียนกว่าคนที่มีภาพลักษณ์แบบ “โจร” ในวรรณกรรมทั่วไปหรือ “ผู้ร้าย” ในอดีต

**** แม้ว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์พยายามอ้างว่าการยุติการชุมนุมโดยไม่มีการนองเลือด (นอกจากที่เกิดขึ้นก่อนแล้วที่สามเหลี่ยมดินแดง เป็นต้น) เป็นผลงานของตน แต่ข้อมูลจนถึงปัจจุบันยืนยันชัดเจนว่ารัฐบาลไม่เคยออกคำสั่งถอนกำลังทหารก่อนนายวีระ มุสิกพงศ์ประกาศสลายการชุมนุม และไม่มีรายงานข่าวกรองใด ๆ ยืนยันว่ารัฐบาลหรือตัวแทนรัฐบาลเข้าดำเนินการเจรจากับนายวีระหรือแกนนำคนอื่น ๆ ให้สลายการชุมนุมด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการเจรจาต่อหน้าหรือลับหลังสาธารณชน

Credit : www.newskythailand.multiply.com

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์

H O M E



Create Date : 08 มีนาคม 2553
Last Update : 8 มีนาคม 2553 19:32:28 น. 1 comments
Counter : 636 Pageviews.

 
สวัดดีครับชาว bloggang วันนี้ผมมาเนาะนำเว็บไซค์ของผมหน่อยน่ะครับขอไม่ว่าไรกันน่ะครับไทยตาโตฟังเพลงเล่นเกมสอ่านข่าวท่องเที่ยวขอบคุณมากครับ


โดย: preampcc วันที่: 4 เมษายน 2553 เวลา:1:56:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.