เพลินๆใจ...ไปนครนายก
เช้าวันอาทิตย์ที่น่านอนของเราต้องหยุดลงอย่างกะทันหันเพราะ"เจ้านัดหมาย(ระหว่างเรากะพ่อ)" ดันแทรกตัวขึ้นมาในความฝัน แต่กว่าจะงัวเงียปัดขี้ตาออกไปได้สำเร็จ แดดก็สาดแสงจ้าเอาการวันนี้มีนัดต้องเอาเอกสารไปให้พ่อ และถือโอกาสเยี่ยมเยียนท่านพ่อไปโดยปริยาย ก็เพราะไปหาพ่อนี่แหละทำให้เราเลือกใส่ชุดบ้านๆ มากๆ ...ก็มิได้ไปหาแฟนนี่เนาะเช้าวันอาทิตย์ถนนสายรังสิต-องครักษ์ ช่างติดแหง่กดีแท้ ฟ้าก็ออกจะปิดๆ มีเมฆพอครึ้มๆ ให้สะท้านใจว่าพายุจะมามั้ย (แม่บอกว่าให้รีบไป จะได้รีบกลับ เพราะกรมอุตุบอกว่าพายุฝนจากภาคเหนือจะมาถึงกรุงเทพวันนี้)แต่..ด้วยความบ้า เราดันบอกแม่ว่าไปเที่ยวน้ำตกกันเหอะ แม่ก็ดั๊นนบอกว่า จะไปเหรอ เออๆ ก็ไปสิ...ส่วนเรื่องพายุ สงสัยแม่ลืมไปแร้วรถค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างอ้อยอิ่ง ลอยๆไปคล้ายกับพายเรือ เราแวะเข้า lotus ตรงแถวคลอง 4 ซื้ออาหารตาม(ที่พ่อ)สั่ง และซื้อชุดเล่นน้ำตกของน้อง (ต้องมีชุดเล่นน้ำด้วย เวอร์มากไปแล้วนะยะ)...เสร็จภารกิจก็รีบบึ่งไปบ้านพ่อทันใด เพราะพ่อโทรมาจิกละบ้านพ่อ ณ บางน้ำเปรี้ยวช่างร้อนระอุจริงๆ ยังดีที่ไม่ร้อนซะจนทุ่งหญ้าแห้งๆแถวนั้นติดไฟขึ้นมา อยู่คุยกับพ่อพอเป็นกระษัย เราก็จรลีหนีไปเที่ยวน้ำตกคลายร้อนดีก่าจากบ้านพ่อ กลับเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 305 (มั้งนะ) ก็ตรงยาวไปตามทางเรื่อยๆ เป็นเส้นทางที่สวยงามทีเดียว (ทำไมต้องเป็นคนขับด้วยฟะ อยากนั่งชมวิวง่า) สองข้างทางเป็นทุ่งนา ริมถนนเป็นคลองน้ำใส ขนานเรื่อยไปกับถนน ริมทางก็มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายตลอดสายดูแล้วสดชื่นสบายใจจัง ขับไปไม่นานเริ่มเห็นทิวเขา สามสาวกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ แวะกินมื้อเที่ยงในตัวเมือง เพราะไม่ได้หาข้อมูลมาก่อนว่าร้านไหนอร่อย เลยไปเจอร้านไม่อร่อยเข้า เซ็งเลย เมื่อท้องอิ่มก็ start เครื่องกันอีกครั้ง จุดหมายของเราคราวนี้เป็นโจทย์ที่ง่ายมาก นั่นคือ เจอน้ำตกไหนก่อนก็ไปอันนั้นแหละ...น้ำตกสาริกาจึงเป็นคำตอบแรกของเราถนนหนทางจากตัวเมืองออกไปยังน้ำตกสาริกากว้างขวาง ขับสบาย รถไม่ติด ไม่พลุกพล่าน แม่เปรยๆว่านครนายกเป็นเมืองที่สงบเงียบดีนะ...เราก็ว่างั้น พอขึ้นเขาไปถนนแคบลงแต่ได้วิวสวยๆมาแทนที่ ภูเขาปกคลุมด้วยต้นไม้เขียวสดชื่น ถนนคดโค้งขึ้นลงไปตามแนวภูเขา ให้ความรู้สึกเหมือนไปเชียงใหม่เลย (บ้านเราประทับใจเชียงใหม่มากๆ)แม้เราจะไม่ค่อยแม่นกับการขับขึ้นเขา แต่หนทางนี้ก็ไม่ยากเกินไปนัก ในที่สุดก็มาถึงน้ำตกสาริกาโดยสวัสดิภาพ จากจุดจอดรถเราต้องเดินกันอีก 500 เมตรเพื่อไปยังตัวน้ำตก ฟังดูเหมือนไกล แต่เดินไปเรื่อยๆก็ถึงเอง น้ำตกสาริกาไม่ได้ใหญ่อะไรมาก แต่ก็นับว่าใหญ่ที่สุดที่พวกเราเคยไปเที่ยวกันมา ช่วงนี้มีน้ำน้อยไปหน่อย แต่ถึงน้อยก็เย็นฉ่ำชื่นใจ คิดๆอยู่ว่าถ้ามีบ้านแถวนั้นคงมาแช่น้ำตกทั้งวันระหว่างแช่เพลินๆ ก็มีสาวคนนึงชวนคุยและเล่าให้ฟังว่า เมื่อสักครู่ก่อนคณะเราจะมา มีหินก้อนใหญ่ (ตกใส่คนคงเละ) ตกลงมาจากน้ำตก ผู้คนแตกตื่นพากันหนีกลับไปหมดเพราะกลัวว่าจะเป็นสัญญาณของน้ำป่า.......น้องเราพยักหน้าหงึกหงัก บอกว่าได้ยินคนที่เดินสวนไปบ่นๆ เหมือนกันว่า หินก้อนเท่าควาย ถ้าตกโดนคนจะว่ายังไง @#!~&*#@! ..hot news ดังกล่าว ทำให้เราพร้อมใจจรลีลี้ภัยกลับรถโดยพลัน .. แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเข็ดอะไร เพราะเรายังจะไปต่อกันที่น้ำตกนางรอง.... ระหว่างทางออกจากสาริกานั้นมีเรื่องน่าตกตื่นใจมิใช่น้อย เพราะเจอรถคันหนึ่ง camry มั้ง ตะแคงลงข้างทาง โชคยังดีที่รถตกถนนไปทางด้านติดภูเขา ถ้ามาเสียหลักอีกฝั่งนึง เห็นทีจะลงไปตะแคงในเหวเป็นแน่... และโชคดีอีกอย่างที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บอะไรอย่างที่บอกว่าช่วงนี้น้ำน้อย มีน้ำให้เล่นเป็นหย่อมๆ แต่ผู้คนก็หลั่งไหลมาเที่ยวที่นี่กันมากมาย จนรถติดตั้งแต่ปากทางเข้าเลยทีเดียว....เราใช้เวลาอยู่กับนางรองได้ไม่นานก็กลับออกมา เพราะสมควรแก่เวลาแล้ว แถมบริเวณน้ำตกก็แทบจะไม่มีที่ให้ยืน ความที่คลาคล่ำไปด้วยฝูงชน และวงเหล้าไปเที่ยวมากี่น้ำตกก็เจอแต่วงเหล้าทั้งนั้น มันทำให้คนที่อยากพักผ่อนท่ามกลางป่าเขาลำธารน้ำใส รู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก ...ไม่รู้ใครจะคิดอย่างเราบ้างใหม? น่าจะมีการจัดโซนนิ่ง ถ้าอยากกินเหล้า ก็มีโซนเฉพาะคนกินเหล้า ใครอยากสูบบุหรี่ก็ให้สูบให้เสร็จก่อนเข้าป่า (ป้องกันไฟไหม้ป่าจากก้นบุหรี่ด้วยไง) แม้แต่พวกปูเสื่อนั่งจกส้มตำเราก็ไม่อยากให้มาตั้งวงซะริมน้ำขนาดนั้นเลย กลิ่นส้มตำคละคลุ้งปนเปไปกับกลิ่นเหล้าระหว่างการเล่นน้ำ มันช่างไม่โสภาเอาซะเลย... มันก็เหมือนเอาหมูปิ้งไปกินในโรงหนังนั่นแหละ อยากให้บริเวณน้ำตกมีคนมาชมธรรมชาติ มาเล่นน้ำ มาถ่ายรูป เท่านั้นก็พอ...จะมีวันเป็นไปได้มั้ยนะขากลับเราใช้เส้นทางเดิมเหมือนขามา โบกมือลาทุ่งนากว้างสุดลูกหูลูกตา กลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ