ค่าย....หนทางที่เดินผ่าน
เท่าทีจำความได้ฉันกับคำว่า ค่าย เป็นสิ่งที่ผูกพันกันเหมือนเงาตามตัว เริ่มจากเรียน ป.6 เข้าค่ายยุวกาชาด- ลูกเสือ ที่บ้านกิ่วแลหลวง อ.สันป่าตอง,ม.3 ค่ายเนตรนารีที่ค่ายนเรศวร อ.แม่แตง เป็นค่ายโหดแห่งแรกในชีวิต,ม.5 เข้าค่ายเนตรนารีที่ดอยสุเทพยังไม่โหดเท่าพอใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัย ก็เจอสภาพเหมือนเข้าค่าย เขาเรียกกันว่า เข้าห้องเชียร์ ตลอดปี 1 มีทั้งถูกว๊าก ถูกลงโทษ ฝึกระเบียบแถว ฝึกร้องเพลงเชียร์ วิ่งกลับหอ ถูกพี่ๆทุกชั้นปีรับน้อง สารพัดอย่าง หลายครั้งดูไม่มีเหตุผล สภาพนี้จึงเป็นค่ายโหดแห่งที่ 2 พอปี 1 ได้มีโอกาสสัมผัส ค่าย มากมายหลายประเภท ประเดิมด้วยค่ายอาสาพัฒนาชนบท ไปพัฒนาชุมชนในท้องถิ่นห่างไกล เราเรียกกันว่า ออกค่าย ก็ไม่เคยรู้สักทีว่าทำไมเรียก ออก ไม่ได้เรียก เข้าเหมือนตอนประถม-มัธยมค่ายอาสาฯได้ไปมาหลายสิบแห่ง ทั้ง อ.อมก๋อย อ.แม่แจ่ม อ.เชียงดาว อ.พบพระ จงตาก เคยไปเป็นทั้งลูกค่าย เป็น staff และบางครั้งไปเป็นแบบผู้สังเกตการณ์ ค่ายอาสา เป็นค่ายที่ชั้นปีเด็ก ๆจะได้ทำ พออยู่ชั้นปี 3-5 ฉันจึงเบนตัวเองไปทำค่ายอื่นค่ายเดินป่า หัป็นอีกค่ายหนึ่งที่ฉันมีโอกาสรู้จัก ค่ายเดินป่าแบบแรกเป็นของชมรมอนุรักษ์ฯ เดินกันที่ อ.สะเมิง เป็นค่ายความคิด ที่วันแรกพาเราเดินป่าแบบบุกเบิกเส้นทางเองดิ่งลงห้วยแล้วค่อยปีขึ้นยอดเขา....ประมาณนั้น วันที่ 2 จึงช่วยกันระดมสมองเดินป่าแบบที่สอง เป็นค่ายเดินป่าตามล่าหาสมุนไพร ...คราวนี้ได้มีโอกาสเป็น staff เองเราไปเดินกันที่ อ.แม่แจ่ม อีกแห่งจำบ้านไม่ได้ แต่พักที่สำนักตักศิลา อ.พร้าว ความผูกพันกับค่ายกับน้องชมรม แม้ขณะจบมาทำงานแล้วก็ยังกลับไปเดินป่ากับน้องๆ ที่ อ.แม่ออน เมื่อ 4-5 ธค. 2542 หลังจากนั้นนึกว่าจะหนีจากค่ายพ้นแล้ว !!!!!ที่ไหนได้ ล่าสุดฉันต้องไปเข้าค่ายโครงการอบรมเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอ ตำบล เพื่อการปฏิบัติการสาธารณสุข รุ่นที่ 6 ที่ค่ายนเรศวร ระหว่างวันที่ 29 ก.พ.2543-1 มี.ค. 2543พวกเราประกอลด้วยพ่อบ้าน-คุณสันติ หัวหน้ากลุ่มงานการพยาบาล-คุณพรรณทิพย์ หัวหน้าฝ่ายแผน-คุณนคร หัวหน้าฝ่ายส่งเสริม-คุณสายฝน หัวหน้าฝ่ายทันตะ-หมออรนุช หัวหน้างานงานรักษา-คบส.ของ สสอ.-คุณอุมศักดิ์ หัวหน้างานส่งเสริมของ สสอ.-คุณพวงเพชร และฉัน รวม 8 ชีวิต ออกเดินทางจากดอยเต่าตั้งแต่ ตี 5 ครึ่งของวันที่ 29 ด้วยความที่ไกลที่สุด เราจึงถึงค่ายนเรศวรก่อนเพื่อนเวลา 8.00น. เพลงชาติเริ่มบรรเลงเราก็ถึงประตูหน้าค่ายไปถึงหอประชุม เจอหัวหน้าครูฝึก ครูเกษม ต๊ะคำ เป็นคนแรก ยังไม่ทันทำอะไรสักอย่าง ครูฝึกก็เปรยว่า อร่อยแน่ ถึงฉันจะไม่ค่อยคุ้นกับความหมายของมันเท่าไหร่ แต่หลังจากได้ยินคำนี้ทีไรก็ให้เสียวสันหลังและขนลุกซู่ทุกทีไป....อำเภอต่างๆของสายเหนือและสายใต้ ยกเว้น ฮอด แม่แจ่ม อมก๋อย เริ่มทยอยกันมาจากนั้น ครูฝึกพาพวกเราไปสักการะอนุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชพวกเราสโนไวท์และคนแคระทั้ง 7 ถูกแยกกันไปอยู่ตามกองต่างๆ รวมทั้งหมด 6กอง กองในที่นี้คือ หมวดหรือกลุ่ม เปล่าแปลว่าอุนจิเป็นกองๆ..นะ....ระหว่างพิธีเปิด ฉันเห็นบรรดาคนแคระทั้ง 7 นั่งหลับตาพริ้ม ถ้าไม่บอกจะคิดว่านั่งสมาธิ แต่ บังเอิญเหลือบไปเห็น คุณพรรณทิพย์ หลับตาประกอบกับพยักหน้าหงึกๆ เลยอ๋อ!!! ว่ากำลังนั่งนิทรานั่นเองฝ่ายสโนไวท์ก็ใช่ย่อย เปลือกตาหนักจนเห็นลูกตาแค่ครึ่ง แต่ก็รับรู้ได้ว่าโอวาทของแพทย์ใหญ่ เตะใจสโนไวท์มาก คือประโยคที่ว่า ผมไม่ได้ดูคนที่ความรู้ แต่ผมดูคนที่จิตใจ คนเราต่อให้มีความรู้มากแค่ไหน เขาจะจบปริญญาสูงแค่ไหน ถ้าเขาไม่มีใจ ไม่สนใจ ใส่ใจ ใจไม่สู้ ก็ไม่มีประโยขน์ อยากกระซิบดัง ๆว่าจ๊าบโบ๊ะเลยฮ่ะหลังพิธีเปิดครูฝึกก็แนะนำตัว แต่ละกองจะมีครูฝึก ตชด. และครูฝึกสาธารณสุขรวมประมาณ 4 คน ครูฝึกตชด.ที่ฉันพอจำได้ว่าเคยมาฝึกด้วยตอน ม.3 มีครูเอกราช ครูบางคนจำหน้าได้แต่จำชื่อไม่ได้ ไม่อยากบอกเลยว่าจากวันนั้น ถึงวันนี้ 1 ทษวรรษแล้ว