ตอนที่ ๕ เส้นทางอันยาวไกล
ธารารินให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวกับป้าแม่บ้านไว้ก่อนออกเดินทางเพื่อแม่ดวงจะได้ส่งข่าวคราวความเป็นไปของมารดาให้ตนรับรู้ได้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แธมฝากป้าดวงดูแลคุณแม่ด้วยนะคะว่าพลางประนมมือไหว้ผู้สูงวัยอย่างอ่อนน้อม แม่ดวงรีบรับมือนุ่มเล็กนั้นมาบีบกระชับไว้น้ำตาคลอเบ้า โถ...คุณหนูจะไปจริงๆ หรือคะ ป้าไม่อยากให้ไปเลย จะกินจะอยู่ยังไงป้าเป็นห่วงจริงๆ ไหนจะ...คุณตัวเล็กในท้องอีก ให้ป้าไปด้วยดีไหมคะ แม่บ้านชักมือหนึ่งกลับมาปาดน้ำตาป้อยๆใจอยากจะตามไปดูแลธารารินมากกว่าอยู่กับเจ้านายคุ้มดีคุ้มร้ายอย่างธารทอง แม้ไม่เคยนิยมชมชอบผู้หญิงท้องก่อนแต่งแต่สำหรับธารารินแล้วเธอมีแต่ความเห็นใจมอบให้ตั้งแต่เล็กจนโตหญิงสาวไม่เคยเกเรเหลวไหล ประพฤติตัวดีเสมอต้นเสมอปลายต่อให้ท้องไม่มีพ่อ เธอยังสงสัยว่านี่อาจเป็นการไตร่ตรองมาแล้วอย่างดีมิใช่เกิดเพราะความผิดพลาด เหตุที่คิดเช่นนี้เพราะไม่เคยเห็นธารารินคร่ำครวญหรือมีท่าทีสติแตกกับการตั้งครรภ์และคลื่นข่าวฉาวที่ถาโถมใส่อย่างหนักหน่วงหญิงสาวรับมืออย่างสงบ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ สามารถพลิกผันชีวิตธารารินจากหน้ามือเป็นหลังมือในชั่วข้ามคืนดังนั้นนอกจากเห็นใจคนท้องแล้ว เธอจึงนึกตำหนิคุณนายอีกด้วย ช่างเป็นแม่ที่ใจร้ายนักขับไล่ไสส่งลูกสาวที่กำลังท้องกำลังไส้ไร้ที่พึ่งพิงออกจากบ้านได้ลงคอ... ขอบคุณป้าดวงมากนะคะที่เป็นห่วงแธม แต่อย่าห่วงเลยค่ะแธมมีพี่บุษไปด้วย ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว คุณแม่น่าห่วงมากกว่า ท่านไม่เหลือใครแธมเป็นห่วง ได้ยินแบบนั้นแม่ดวงยิ่งร้องไห้หนักขึ้นพลอยทำให้ดาวกับพ่อต้องกลั้นน้ำตาไปด้วย โธ่...คุณหนูป้าอยู่มาจนปูนนี้ไม่นึกไม่ฝันว่าจะต้องมาเจออะไรแบบนี้เลย ธารารินเห็นว่ายิ่งอยู่นานก็ยิ่งทำให้คนอื่นเสียใจและเป็นทุกข์ไปด้วยจึงตัดบทหยุดร้องเถอะนะคะป้าดวง ป้าดวงก็รู้ว่าแธมอยู่ไหน ถ้ามีอะไรก็โทรหาแธมได้ตลอดพี่ดาวดูแลพ่อกับแม่ดีๆ นะคะ แธมต้องไปแล้ว ต้องเดินทางอีกไกลแธมไม่คุ้นเส้นทางด้วย กลัวจะถึงดึกน่ะค่ะ ถึงแล้วจะโทรมาส่งข่าวนะคะ หญิงสาวไหว้ลาอีกครั้งแล้วก้าวขึ้นรถโดยมีบุษบานั่งไปด้วยกัน ก่อนพารถเคลื่อนตัวออกไป ธารารินหันกลับมามองบ้านที่ตัวเองเกิดและเติบโตขึ้นด้วยสายตาอาลัยลึก แม่คงแอบมองอยู่ที่ไหนสักแห่งจากในบ้านรู้สึกใจหายไม่น้อยที่ต้องจากมาแบบนี้ แต่เธอได้เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองแล้วตอนนี้มีอีกหนึ่งชีวิตที่ต้องดูแลรับผิดชอบ เธอไม่อาจหันหลังกลับได้อีก แธมขอโทษนะคะคุณแม่ แต่แธมหวังว่าสักวันหนึ่งเราจะเข้าใจกันได้แธมจะรอวันนั้นค่ะ... การเดินทางด้วยรถทัวร์หรือเครื่องบินไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้สะดวกสำหรับอดีตนางเอกสาวคนดังที่กำลังตกเป็นข่าวอื้อฉาวในช่วงนี้โชคยังดีที่ธารทองเคยอนุญาตให้ธารารินซื้อรถและขับไปทำงานเองได้ในบางโอกาสแม้เหตุผลแท้จริงที่ผู้เป็นแม่ยินยอมจะเป็นเพราะอยาก อวดมั่งอวดมี มากกว่าต้องการให้ลูกมีอิสระในการไปไหนมาไหนแต่นี่ถือเป็นผลพลอยได้ของธารารินธารทองพลาดที่ไม่ยึดกุญแจไว้เสียตั้งแต่ตอนที่ไล่ลูกออกจากบ้าน เพราะหากแม่ทำเช่นนั้นธารารินก็คงไม่ดึงดันจะเอารถไปด้วยเธอยอมแม่ได้ทุกอย่าง ยอมมาตลอด แม้วันนี้จะอาจหาญก้าวออกมาเผชิญโลกด้วยตัวเองแต่ธารทองยังคงเป็นบุคคลเดียวที่มีอิทธิพลต่อชีวิตเธอเสมอ ธารารินไม่รู้แน่ว่ามันเริ่มตั้งแต่เมื่อไรที่เธอเชื่อฟังแม่และทำตามที่ท่านต้องการทุกอย่างอาจเป็นตอนเจ็ดขวบก็ได้ เรื่องนั้นฝังใจจนเธอจำรายละเอียดได้แม่นยำ เพื่อนในชั้นเรียนคนหนึ่งชวนเธอไปงานวันเกิดทุกคนก็ไปกันหมด เธอคิดว่าตัวเองต้องได้ไปแน่จึงตื่นเต้นมาก อยากไปสนุกกับเพื่อนๆและแบ่งเค้กกินกัน แต่เมื่อบอกแม่ แม่กลับบอกว่าเธอไปไม่ได้ วันนั้นมีงานถ่ายโฆษณาและจะใช้เวลาหลังเลิกเรียนทำงาน เธอคงแสดงความผิดหวังออกไปทางสีหน้าแต่คนที่ร้องไห้จ้ากลับเป็นแม่ แม่ขอโทษทั้งน้ำตาที่ทำให้เธอพลาดงานเลี้ยงและเอาแต่โทษว่าเป็นความผิดของแม่เองถ้าเรารวย เธอก็คงไม่ต้องลำบากทำงานตั้งแต่ยังเล็กแบบนี้ แม่ร้องไห้อยู่นานมากท่าทางทุกข์ใจเหลือเกิน นั่นทำให้เด็กหญิงธารารินรู้สึกว่าเป็นความผิดชนิดร้ายแรงที่เธออยากไปสนุกกับเพื่อนตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่เคยขออนุญาตไปทำกิจกรรมอะไรกับเพื่อนอีกเลย เพราะไม่อยากเห็นแม่ร้องไห้เป็นทุกข์ใจเพราะเธออีกธารารินตามใจแม่ทุกอย่างและคิดว่านั่นคือความสุขของเธอด้วยเช่นกัน แต่โชคชะตาก็เล่นตลกกับชีวิตเมื่อพาให้เธอค้นพบความต้องการของตัวเองในที่สุด คุณหนูไม่เคยขับรถออกต่างจังหวัดเลยนะคะนี่รู้เส้นทางด้วยหรือ บุษบาถามขึ้นเมื่อนั่งรถมาด้วยกันพักใหญ่ โดยต่างคนต่างเงียบจมอยู่กับภวังค์ของตนเอง จนเมื่อรถแล่นออกมาแถบชานเมืองเธอรู้สึกเหมือนหลุดพ้นจากบางอย่างที่ครอบงำมาตลอดหลายปี และควรเริ่มชีวิตใหม่จริงๆเสียทีจึงทำลายความเงียบลง ธารารินหันมายิ้มให้พี่เลี้ยงอย่างมั่นใจไม่หรอกค่ะ แต่เรามีกูเกิลแมพ อาจจะหลงบ้างนิดหน่อยนะคะ แต่ก็น่าจะไปถึง พี่บุษแทบไม่เชื่อเลยนะคะว่าคุณหนูจะมีทักษะการเอาตัวรอดตั้งหลายอย่างวันๆ อยู่แต่ที่บ้านกับกองถ่าย ไม่ก็ออกงานอีเว้นต์ แทบไม่เคยออกไปผจญโลกจริงๆด้วยซ้ำ หญิงสาวยิ้มบางๆ โดยไม่ตอบอะไรเพราะเธอไม่ค่อยได้ไปไหน ไม่มีเพื่อนให้คุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นหากมีเวลาว่างจึงชอบอ่านคู่มือการเดินทาง บล็อกรีวิวสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆและเรื่องที่สนใจ รวมถึงดูหนังต่างประเทศเพิ่มทักษะชีวิตให้ตัวเองด้วยและเนื่องจากเธอไม่ค่อยได้พูดกับใครมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฟังหญิงสาวจึงมีทักษะในการคิดและวางแผนมากกว่าพูดโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่รู้เส้นทางดีและไม่เคยขับรถระยะทางไกลขนาดนี้มาก่อนธารารินจึงไปอย่างไม่เร่งรีบ และแม้จะใส่ผ้าอ้อมสำหรับผู้ใหญ่เพื่อจะได้ไม่ต้องแวะทุกปั๊มที่ขับรถผ่านแต่เธอก็รู้สึกเมื่อยและปวดหลังที่ต้องขับรถนานๆ ดังนั้นจึงแวะพักอยู่เรื่อยๆ ตลอดการเดินทางทำให้ใช้เวลาร่วมสิบสี่ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ ถึงอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย โชคดีที่เทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวไปไกลมากเพียงพิมพ์ชื่อหมู่บ้านลงในกูเกิลแมพ ธารารินก็สามารถพาพี่เลี้ยงขับรถไปจนถึงหมู่บ้านที่เป็นบ้านเกิดของมารดาหลังจากนั้นค่อยสอบถามคนในหมู่บ้านเอาว่าบ้านคุณตาเทียนอยู่ตรงไหนเธอเคยมาที่นี่เพียงสองครั้ง ครั้งล่าสุดคือเมื่อราวห้าปีก่อนจึงจำเส้นทางในหมู่บ้านและที่ตั้งของบ้านคุณตาไม่ได้ แม่คงคาดไม่ถึงว่าลูกสาวจะกลับมาอยู่บ้านเกิดของตัวเองเผลอๆ อาจจะลืมที่ดินผืนนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะเจ้าตัวไม่เคยคิดหวนคืนถิ่นฐานบ้านเกิดแต่ธารารินไม่เคยลืม หญิงสาวรู้จักที่นี่เมื่ออายุสิบหกปีวันนั้นมีโทรเลขด่วนถึงมารดา ข้อความสั้นๆ บอกว่า แม่ป่วยหนัก นั่นเป็นครั้งแรกที่ธารทองเล่าถึงครอบครัวที่จากมาและเป็นครั้งแรกที่ธารารินรู้ว่าคุณตาคุณยายของเธอยังมีชีวิตอยู่แม่พาเธอกลับบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมดูอาการคุณยายใหม่หรือหากจะเรียกให้ถูกต้องบอกว่ากลับมา ดูใจคุณยาย คุณยายใหม่จากไปอย่างสงบที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดด้วยภาวะสมองตายเนื่องจากตกบันไดแม่อยู่เป็นธุระช่วยจัดงานจนแล้วเสร็จ แต่ธารารินสังเกตว่าพ่อลูกคุยกันเฉพาะที่จำเป็นไม่ดูสนิทสนมหรือให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างครอบครัวอื่น เธอไม่แปลกใจนักเพราะหากมารดาสนิทกับตายายก็คงพูดถึงหรือพาเธอมาเยี่ยมพวกท่านบ้างตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้แต่แม่ไม่เคยบอกเธอเลยด้วยซ้ำว่าท่านทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ หลังเสร็จงานศพคุณยายเธอลองถามแม่ว่าจะชวนคุณตาไปอยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ ได้ไหมเพราะอยู่ที่เลยท่านก็อยู่ตัวคนเดียว ไม่มีใครดูแล แม่ตัดสินใจอยู่นานจึงออกปากอนุญาตแต่คุณตาปฏิเสธ ท่านบอกว่าเกิดที่นี่ก็จะขอตายที่นี่จะขออยู่เป็นเพื่อนคุณยายจนกว่าจะได้พบกันใหม่ ตอนนั้นเธอกลับกรุงเทพฯ พร้อมมารดาก็จริงแต่ไม่เคยลืมว่าตัวเองยังมีคุณตาเทียนอยู่อีกคน หญิงสาวขออนุญาตแม่ส่งเงินให้คุณตาสำหรับใช้จ่ายในทุกเดือนธารทองไม่ขัดข้องเพราะนั่นก็พ่อตัวเองเหมือนกัน ธารารินจึงโอนเงินเข้าบัญชีให้คุณตาเทียนเดือนละสองหมื่นห้าพันบาทตั้งแต่นั้นมาบางทีได้เงินก้อนโตจากงานโฆษณาก็ขออนุญาตมารดานำบางส่วนไปใส่บัญชีให้คุณตาด้วย จนกระทั่งห้าปีก่อนตาเทียนเสียชีวิตลง โดยก่อนจากไปได้โอนมอบที่ดินในครอบครองให้เป็นชื่อของหลานสาว ธารารินเพิ่งรู้ตอนที่มางานศพและต้องเซ็นรับมรดกว่าคุณตาใช้เงินที่เธอส่งให้ทุกเดือนมาซื้อที่ดินเพิ่มจากที่ดินผืนเล็กขนาดแปดไร่จึงขยายเป็นที่ดินสี่สิบไร่ในปัจจุบันธารทองไม่เคยเห็นความสำคัญของที่ดินของพ่ออยู่แล้วจึงไม่ได้สนใจอะไรนัก แค่มาจัดงานศพให้พ่อตามหน้าที่เท่านั้นแต่ธารารินคิดต่างออกไป หลังเผาศพตาเทียน ธารารินแวะไปดูที่ดินที่คุณตายกให้เธอเพราะอยู่ไม่ไกลนักจะเรียกว่าเป็นผืนนาท้ายหมู่บ้านก็ได้ ที่ดินผืนนั้นติดลำห้วย มีน้ำไหลผ่านตลอดปีทำให้อากาศเย็นสบาย น่ามาพักผ่อนหนีร้อนเป็นที่สุด ตาเทียนได้แบ่งพื้นที่เป็นสามส่วนคือทำนา ทำสวนมะม่วง และปลูกผักไว้กินเอง มองไปทางไหนก็เขียวขจี สบายตาให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสจากเมืองหลวง และมันเหมือนกับว่าหญิงสาวได้หลุดพ้นจากบางสิ่งบางอย่างที่ตีกรอบตัวเธอมายาวนาน นับเป็นครั้งแรกที่ธาราริน รู้ ว่าตัวเองชอบอะไร หลังกลับจากงานศพคุณตา ธารารินก็ฝันประหลาดในฝันนั้นเธอยืนอยู่ในทุ่งข้าวเขียวขจี เอื้อมมือไปหมายจะแตะยอดหญ้าที่เอนลู่ลมแต่ทุกครั้งเธอจะตื่นขึ้นมาเสียก่อน ทำให้นึกเสียดายและสงสัยอยู่เสมอว่าหากมือสัมผัสกับยอดหญ้าแล้วจะให้ความรู้สึกเช่นไรกันหนอ จากความฝันเริ่มกลายเป็นความหมกมุ่นโดยไม่รู้ตัวหญิงสาวมักวาดภาพในหัว เห็นตัวเองนอนหลับสบายอยู่บนเตียงอย่างไร้กังวลและตื่นขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าท่ามกลางแสงตะวันสีทองน้ำค้างต้องยอดหญ้า และเหล่านกกาที่บินหาอาหาร เธอใช้ฝักบัวรดน้ำผักในสวนที่ปลูกไว้กินเองมีน้องหมาเป็นเพื่อนผู้ซื่อสัตว์คอยวิ่งตามกันไปทุกหนทุกแห่งต้นข้าวของเธอออกรวงสีทอง มะม่วงมีลูกดกจนกินเองไม่ไหวต้องเอาไปแบ่งเพื่อนบ้านบ้างก่อนที่มันจะเน่าเสียผักในสวนก็งามและครบครันจนไม่ต้องไปหาซื้อจากใครให้สิ้นเปลือง วันๆ แทบจะไม่มีค่าใช้จ่ายจึงไม่ต้องดิ้นรนหาเพิ่มไม่ต้องแข่งขันกับใคร ไม่มีความเครียดในการทำงาน นั่นเป็นฝันกลางวันที่สร้างความสุขให้เธอได้อย่างไม่น่าเชื่อ ธารารินไม่เคยคิดฝันอะไรแบบนี้มาก่อนตลอดชีวิตของเธอมีแต่แม่ แม่ และแม่ อะไรที่เป็นความต้องการของแม่เป็นความสุขของแม่ นั่นก็เป็นเป้าหมายของเธอด้วย หญิงสาวไม่เคยรู้ตัวมาก่อนว่าแท้จริงแล้ว...เธอรู้แค่ความปรารถนาของแม่แต่ไม่เคยรู้ความปรารถนาของตัวเอง แล้วผืนดินของคุณตาก็เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ชีวิตเธอ หญิงสาวนำเรื่องนี้ไปปรึกษามารดา เธอไม่อยากให้ที่ดินของคุณตาต้องรกร้างว่างเปล่าเมื่อท่านไม่อยู่แต่แม่กลับบอกว่าที่ดินบ้านนอกในถิ่นทุรกันดารแค่หยิบมือเดียว ไม่คุ้มที่จะเสียเวลาไปลงทุนอะไรสู้เป็นนักแสดงไม่ได้ ออกงานอีเว้นต์ไม่กี่ชั่วโมงก็มีรายได้เทียบเท่ากับทำนาทำสวนตลอดทั้งปีที่ดินที่คุณตาให้มา ถ้าไม่อยากขายก็ปล่อยไว้แบบนั้นดีกว่า ธารารินเถียงไม่เป็นและไม่รู้วิธีโน้มน้าวมารดาให้คล้อยตามเธอไม่เคยมีความคิดเห็นขัดแย้งกับแม่มาก่อน หรือแม้อยากจะโต้แย้ง แต่ภาพในวัยเด็กตอนเจ็ดขวบก็ย้อนกลับมาหลอกหลอนให้หวาดกลัวเธอไม่อยากรู้สึกผิดฝังใจอย่างวันนั้นอีก จะเรียกว่าเธอขี้ขลาดเองก็ได้ เรื่องนั้นจึงกลายเป็นบทสนทนาสั้นๆที่จบลงอย่างรวดเร็ว แต่นำความรู้สึกชนิดใหม่แกะกล่องมาให้เธอได้รู้จัก เธอเสียใจแทนคุณตาที่แม่ตีราคาที่ดินผืนนั้นเป็นรายได้น้อยนิดต่อปีและไม่มีความรู้สึกผูกพันใดๆ กับบ้านเกิดเลย ไม่มีแม้แต่ความซาบซึ้งเพียงน้อยนิดที่ผู้เป็นพ่อเพียรสะสมเงินเก็บทั้งชีวิตรวมกับที่หลานมอบให้มาซื้อที่ดินมรดกสุดท้ายให้หลานก่อนจากไปนับเป็นครั้งแรกที่ใจเธอเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ไม่ลงรอยกับความต้องการของแม่ หญิงสาวเรียนรู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นคือทุกข์ ก่อนนี้เธอแทบไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักความทรมานทางจิตใจเพราะเธอไม่เคยปรารถนาสิ่งใด จึงทำอะไรๆ ได้ทั้งนั้นเพื่อความต้องการของมารดาและมีความสุขเมื่อทำให้แม่พึงพอใจได้ แต่เมื่อเธอมีความปรารถนาที่เป็นส่วนตัวและไม่สามารถจะทำได้ความทุกข์จึงมาเยือน และมันก็ค่อนข้างหนักหนาสาหัสสำหรับคนที่ไม่เคยพานพบและต้องรับมือเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลยยี่สิบเข้าไปแล้ว ธารารินไม่อาจหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลย เธอไม่มีความสุขกับการทำงานทุกข์ระทมกับชีวิตตัวเอง รู้สึกเพิ่มขึ้นในทุกวันว่าชีวิตถูกควบคุมบงการโดยมารดา ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือรู้สึกว่าผู้เป็นแม่หาผลประโยชน์จากอาชีพนักแสดงของเธอโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของเธอเลยนั่นจึงเป็นแรงผลักดันให้เธอต้องดิ้นรนหาทางออกเพื่อจะหลุดพ้นจากความรู้สึกที่ฉุดตัวเองลงเหว หญิงสาวเคยคิดแม้กระทั่งแต่งงานและแยกครอบครัวออกไปแต่เธอจะแต่งกับใครได้ หากไม่ใช่ผู้ชายที่มารดาเห็นชอบ และแน่นอนผู้ชายคนนั้นต้องเป็นคนประเภทที่แม่ของเธอจะควบคุมได้หาไม่แล้วคุณนายธารทองไม่มีวันยกเธอให้แต่งงานด้วยแน่ๆ และเธอก็ปฏิเสธแม่ไม่เคยได้แม้แต่ครั้งเดียวด้วย นั่นหมายถึงเธอไม่มีวันจะหลุดพ้นไปจากการควบคุมของแม่ได้อย่างแท้จริง แล้วความรู้สึกจนตรอกถึงขีดสุดก็ทำให้หญิงสาวต้องหาที่พึ่งพิงทางใจเธอเข้าไปอ่านเรื่องราวความทุกข์ของคนอื่นที่นำมาแชร์ในโลกออนไลน์และเจ็บปวดไปกับทุกคนที่ต้องเผชิญกับปัญหายากลำบากเหมือนจะช่วยได้บ้างที่ได้รู้ว่าในโลกนี้ไม่ได้มีแค่ตนที่เป็นทุกข์ แต่จริงๆแล้วนั่นเป็นความผิดพลาด ธารารินดำดิ่งลงไปในหุบเหวของความทุกข์ระทมจนแทบถอนตัวไม่ขึ้นเธอเสพติดความทุกข์ของชาวบ้าน จนกระทั่งวันหนึ่งอ่านเจอความเห็นจากคนที่บอกว่าตัวเองเป็นหมอเขาแนะนำให้คนตั้งกระทู้ไปปรึกษาจิตแพทย์เพราะอาการที่เล่ามาเข้าข่ายโรคซึมเศร้าและถ้ายังไม่รีบหาทางแก้ไขก็อาจพัฒนาเป็นโรคประสาทได้ จากความคิดเห็นนั้น หญิงสาวจึงเริ่มหาข้อมูลของโรคซึมเศร้าและเมื่อวิเคราะห์อาการของตัวเองแล้วเธอก็คิดว่า...เธอป่วย เธอมีความรู้สึกในด้านลบกับมารดาเพิ่มขึ้นทุกวันซึ่งเธอไม่อยากให้เป็นแบบนั้น และถ้าไม่อยากจะบ้าตาย เธอต้องหาวิธีแก้ไข และนี่คือวิธีของเธอ... มืดมากเลยนะคะคุณหนู นี่เพิ่งสามทุ่มหน่อยๆเอง แต่คนแถวนี้เหมือนจะปิดไฟนอนกันหมดแล้วบุษบาแสดงความเห็นเมื่อก้าวลงมาจากรถเพื่อดู บ้านหลังใหม่ ที่ธารารินจะมาอาศัยอยู่นับจากนี้ ชาวบ้านก็นอนแต่หัวค่ำกันแบบนี้แหละค่ะพี่บุษเพราะพวกเขาต้องตื่นมาทำงานแต่เช้าตรู่ พี่เลี้ยงถอนใจเฮือกใหญ่ ก่อนว่าต่อไป ดีนะคะเนี่ยที่พี่บุษตามมาด้วยไม่งั้นคุณหนูจะอยู่คนเดียวเข้าไปได้ยังไง พี่บุษยังนึกภาพไม่ออกเลย แม้พ่อแม่ของบุษบาจะเป็นคนต่างจังหวัดทั้งคู่แต่เธอเกิดและโตในเมืองหลวง เนื่องจากพ่อแม่เข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯตั้งแต่ยังหนุ่มสาว พ่อเป็นยาม แม่เป็นแม่บ้านของบริษัทเอกชน เช่าห้องเล็กๆอยู่ในย่านชุมชนคนหาเช้ากินค่ำ ถึงไม่หรูหราแต่ก็คึกคักมีสีสันไม่ได้เงียบสงัดอย่างบ้านตาเทียนที่จังหวัดเลย ทำให้ไม่คุ้นเคยกับวิถีชีวิตคนชนบทดั้งเดิม ธารารินหัวเราะเบาๆ จะว่าไปแธมก็นึกไม่ออกเหมือนกันค่ะขอบคุณพี่บุษมากนะคะที่ไม่ทิ้งแธมไปไหน ว่าพลางจับมือพี่เลี้ยงมากุมไว้อย่างซาบซึ้ง บุษบาบีบมือตอบพร้อมรอยยิ้มค่อนข้างอ่อนล้าเอาเถอะค่ะ เดินทางมาทั้งวันแล้ว เข้าบ้านกันเถอะค่ะ จะได้จัดที่หลับที่นอนเสียก่อน หญิงสาวส่งยิ้มอีกทีอย่างขอลุแก่โทษ แธมขอโทษนะคะที่พาพี่บุษมาลำบากขึ้นรถเถอะค่ะ คืนนี้เราจะยังไม่นอนที่นี่กันหรอก แธมแค่อยากมาดูว่าบ้านเป็นยังไงทรุดโทรมแค่ไหนแล้ว ต้องปรับปรุงอีกมากเชียวค่ะ เราคงต้องหาบ้านเช่าไปก่อนแต่คืนนี้หาโรงแรมหรือรีสอร์ตแถวๆ นี้จะดีกว่า จะได้อาบน้ำ นอนพักให้หายเพลียพรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที บุษบาขมวดคิ้วมองหน้าเด็กหญิงที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่เล็กด้วยความรู้สึกกึ่งทึ่งกึ่งสงสัย คุณหนูวางแผนมาดีเชียวค่ะอย่าบอกนะว่าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ธารารินไม่ตอบ แต่รุนหลังบุษบากลับไปขึ้นรถ เสียดายที่เธอไม่รู้จักคนแถวนี้เป็นการส่วนตัวไม่อย่างนั้นคงได้ไหว้วานให้ช่วยเป็นธุระจัดการเรื่องบ้านและที่อยู่ชั่วคราวเตรียมไว้ก่อนเธอจะมาถึงที่นี่แต่ช่างเถอะ เธอใช้เวลาเดินทางตั้งกี่ปีกว่าจะพาตัวเองมาอยู่ตรงนี้ได้ หากระหว่างทางมีเรื่องขลุกขลักนิดหน่อยจะเป็นไรไปล่ะ... _______________________________________________ หายไปหลายวันมากต้องขอโทษด้วยนะคะ เพิ่งพาน้องแมวไปทำทำหมันมา ต้องดูแลกันเป็นพิเศษ แล้วก็มาจ๊ะเอ๋กับอากาศแปรปรวนพายุเข้า ไฟดับข้ามวันคืน ทำอะไรไม่ได้เลย น้ำไม่ไหลข้ามวันอีก มีผ้ากองโตรอซักกว่าจะเคลียร์ชีวิตได้ เดือนนี้ยังติดหนี้ตัวเองอีก 46หน้า แต่ได้ข่าวว่าพรุ่งนี้ก็สิ้นเดือนละ ม่ายยยยยยยย T^T กลับมาที่นิยายเริ่มเข้าป่าแล้วค่ะ มาแบบแหวกขนบ เรื่องนี้ไม่มีเขยนายอำเภอกับสาวชาวกรุง แต่เป็นเขยฝรั่งกับสาวชาวกรุงที่อยากเป็นคนชนบท(แต่ไม่มีประสบการณ์ห่านเหวไรเลย) ^^ หวังว่าจะเอ็นดูคู่นี้ไม่มากก็น้อยนะคะขอบคุณทุกท่านที่ติดตามค่ะ ปล.ความเวิ่นเว้อกลับมาแล้ว ตอนนี้ฌอนเลยไม่ได้ออก พื้นที่หมดซะก่อน ไว้เจอกันตอนต่อไปนะก๊ะ^____^ ปล.2 นางเอกเข้าโหมดคนป่วยโรคจิตอีกคนแล้วสินะ 5555
Create Date : 27 กุมภาพันธ์ 2560 |
|
2 comments |
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2560 18:04:23 น. |
Counter : 1013 Pageviews. |
|
|
|
ติดหนี้ต้องรีบใช้หน่า เดียวดอกเยอะ อิอิ รออ่านๆๆๆ