...ความรู้สามารถเรียนทันกันได้...
Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2560
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
1 มิถุนายน 2560
 
All Blogs
 
Reflexivity ทฤษฏีที่ทำให้เรารู้จัก George Soros พ่อมดการเงิน





สำหรับชื่อ George Soros (จอร์จ โซรอส) แล้ว นักลงทุนเกือบร้อยทั้งร้อย รู้จักเขาก็เพราะสิ่งที่เขาทำไว้กับประเทศไทยของเราตอนโจมตีค่าเงินบาทเมื่อปี 2540 แต่นั้นไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำให้เขาเป็นที่จนจำในโลกการลงทุน ฉายาที่ได้มาว่า "the man who broke the Bank of England" ต่างหาก ที่ทำให้นักลงทุนทั้งโลกจดจำชื่อของเขาได้

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ soros quote




ผลงานการลงทุนของ Soros ถือว่าไม่ธรรมดาจริงๆ ในปี 1973 เขาตั้งกองทุนชื่อว่า Quantum Fund ร่วมกับ Jim Rogers เจ้าพ่อตลาด Commodity และสามารถทำผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 40%!! เป็นเวลาร่วม 10 ปี ด้วยกัน แถมช่วงวิกฤต Subprime ตอนปี 2008 รายงานจากผลตอบแทนจากการลงทุนของเขานั้น ก็ยังสามารถที่จะเอาชนะตลาด น่าทึ่งใช่มั้ยครับ

ภายใต้ผลงานการลงทุนอันเป็นที่จดจำของเขา บ้างก็ว่าเป็นผู้ร้าย บางก็ว่าเขาเป็นผู้ฉวยโอกาส บ้างก็ยกย่องเขาราวกับเป็นศาสดาของ Hedge Fund คำถามคือ ชายคนนี้ มีหลักคิดในการลงทุนแบบไหนน้อ?

อ๋อ... อย่ามอง Reflexivity ในแง่ร้ายเพียงอย่างเดียวนะครับ Positive Feedback ก็มีให้เห็น

ยกตัวอย่างเช่น
ราคาบ้านในอเมริกาปรับตัวสูงขึ้น >> ประเมิณหลักทรัพย์ ได้วงเงินเพิ่ม ก็ไปกู้มาเพิ่ม >> ได้เงินกู้มา ก็เอาไปซื้อบ้านเพิ่มอีก >> ราคาบ้านก็ปรับตัวสูงขึ้นอีก .... แต่สุดท้าย ตลาดก็ตระหนักถึงความจริงที่ว่า มีแต่ผู้ซื้อมาเก็งกำไร แต่ไม่มีคนอยู่จริงๆ เมื่อนั้น วิกฤต Subprime ก็มาเยือนเราเมื่อปี 2008

แต่ก่อนหน้านั้นร่วมๆ 10 ปี ก็ด้วยเจ้าราคาบ้านนี้ล่ะครับส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ GDP อเมริกาโตมาได้ขนาดนี้

โดยสรุป เมื่อดูจากตัวอย่างแล้วจะเห็นว่า ไม่ใช่แค่ปัจจัยพื้นฐานเท่านั้นส่งผลต่อราคาหุ้น แต่ตัวราคาหุ้นเอง ยังส่งผลต่อปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้นมันเองอีกด้วย ไม่ว่าจะทิศทางไหน ขึ้นหรือลงก็ตาม


ที่ผมสรุปไปว่า ราคาหุ้นต่อปัจจัยพื้นฐานของตัวหุ้น นักลงทุนหลายคนอาจงงๆ เพราะเรียนมา ไม่เห็นเคยมีใครบอกอย่างนั้น นั้นผมขอยกตัวอย่างอีกตัวอย่างหนึ่งครับ เอาใกล้ๆตัวเรานี่ล่ะ

เหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ เดือนร้อนกับถ้วนหน้า สภาพัฒน์เอย ศูนย์วิจัยกสิกรเอย หรือ World Bank เอย ต่างออกมาบอกว่า GDP ปีนี้ลดลง และจ่อปรับประมาณการณ์ GDP ปีหน้า คาดว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในหลาย Sector จะลดลง แล้วเกิดอยู่ดีๆ ดันมี Invisible Hands สอยหุ้นไทยทะลุ 1,000 จุดขึ้นมา เพราะเก็งไปเลยว่า กระทบไม่เยอะ ระยะยาวยัง OK อยู่ ทั้งๆที่เอาเข้าจริง ตอนนี้ก็ไม่มีสัญญาณอะไรบอกเรามาเลยว่า รัฐบาลมีมาตรการอะไรออกมากระตุ้น หรือบริษัทจะกำลังดำเนินการผลิตได้ทันจริงๆไหม

แต่ถ้าตลาดหุ้นยังหน้าด้านวิ่งขึ้นต่อไป ความมั่งคั่งของนักลงทุนในตลาดโดยรวมก็ยังเพิ่มขึ้น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็จะกลับมา ใครลงทุนแล้วกำไรในรอบนี้ มีสภาพคล่องมากขึ้น หันมาเจอไอ้หุ้นที่ถูกมองว่าแย่ๆเพราะเจอน้ำท่วม ก็ช้อนซื้อไว้ ไปๆมาๆ ราคาหุ้นไม่ลง แถมวิ่งตามชาวบ้านเขาขึ้นไปได้อีก

เห็นไหมครับ Reflexivity ของ George Soros สามารถอธิบายปรากฎการณ์ที่เกิดในตลาดหุ้นได้ในอีกมุมหนึ่งที่หลายคนอาจไม่เคยนึกถึง

ด้วยทฤษฏีนี้ ด้วยความเชื่อที่ว่า ราคาหุ้นจะวิ่งออกจากจุดดุลยภาพไปอย่างมาก ทำให้เขากล้าที่จะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลกับการเก็งกำไร เพื่อรอคอยจุดกลับตัวของตลาด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเก็งว่าตลาดจะ Burst มากกว่าจะเก็งว่า Boom เลยถูกมองว่าเป็น “Satan” ซึ่งตรงกันข้ามกับ Warren Buffet ที่ทำกำไรจากการลงทุนเข้าซื้อและถือในระยะยาวเท่านั้น แถมตลาดตกลงมาซักระยะ ยังพยายามหาโอกาสเข้าไปช้อนซื้อ ทำให้ภาพของ Buffet เป็นเหมือน “Santa” ในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก


 สิ่งที่ Soros และ Buffet เหมือนกันก็คือ
- เขาทั้งคู่เริ่มจากคำว่า รวย เป็น โคตรรวย ด้วยการทุ่มและเชื่อมั่นในการตัดสินใจของตัวเอง ส่วนการกระจายความเสี่ยง (Diversification) ในพอร์ตการลงทุน เกิดขึ้นหลังจากที่พอร์ตการลงทุนของทั้งสองใหญ่จนไม่รู้จะเอาไปซื้ออะไรแล้ว
- ทั้งคู่ไม่เคยตั้งเป้าหมายการลงทุนว่าจะได้กำไรเท่าไหร่ ...แปลง่ายๆว่า เงิน ไม่ใช่เป้าหมายสำคัญที่สุดในการลงทุนของทั้งสอง (แล้วมีทำไมเยอะแยะขนาดนั้นฟร่ะ -*-)
- ทั้งคู่ ไม่อ่าน Research ที่มีอยู่เกลื่อนตลาด แต่ใช้วิธีศึกษาด้วยตัวเอง และทีมงานของตัวเอง

เห็นอย่างนี้แล้ว ก็ทำให้คิดขึ้นมาว่า บางครั้ง Satan กับ Santa มันต่างกันนิดเดียวเท่านั้น ผมเชื่อว่า ในหลายวิกฤต Buffet ก็เอาเห็นช่องในการทำกำไรเหมือนกัน (รวยขนาดนั้น เก่งขนาดนั้น จะไม่รู้อะไรเลยหรอ?) เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ เพราะมันขัดกับหลักการลงทุนและจริยธรรมของเขา ในขณะที Soros มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ผิด

ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ขอวิจารณ์ Soros นะครับ แต่ขอนำข้อดี และสิ่งที่เป็นประโยชน์เอาไปต่อยอดตัวเองดีกว่า

สุดท้าย ปัจจุบัน George Soros ซึ่งอายุ 81 ปี เพิ่งยุติอาชีพการเป็นผู้จัดการกองทุน Hedge Fund ให้แก่บุคคลภายนอกไปแล้วเมื่อเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา และคืนเงินให้กับนักลงทุนเป้นที่เรียกร้อย สาเหตุก็เพราะสำนักงาน กลต. ของสหรัฐฯ กำหนดให้ Hedge Fund ที่มี AUM เกิน $150ล้าน ต้องขึ้นทะเบียนกับ SEC ภายในปี 2012 ที่จะถึงนี้ เพื่อกำกับดูแล และอยู่ในสายตาของทางการมากขึ้น (ตอนนี้ Soros Fund มี AUM สิริรวม $20,000ล้าน) การเลิกบริหารกองทุนของ Soros สาเหตุมาจาก ถ้าต้องขึ้นทะเบียนและรายงานการซื้อขายให้กับ SEC ก็จะกลายเป็นว่า ต้องเปิดเผยข้อมูลการลงทุนแก่สาธารณะ กลยุทธ์อาจถูกเปิดเผย และการทุ่มโจมตีอะไรอีกซักอย่าง ก็จะเป็นข่าวก่อน และเป็นตกเป็นเป้าของสาธารณะชน ... หลายคนกระโดดดีใจ ร้องเย้ๆๆๆ แต่ขอโทษ Hedge Fund มีอยู่ทั่วโลก มีแค่ Soros ออกจากตลาดคนเดียว คนอื่นยังอยู่ โฮะๆ

เอาเถอะครับ หลังจากนี้ เราคงไม่เห็นผลงานของ Soros อีกแล้ว แต่แน่นอนว่า เขาจะเป็นที่จดจำในฐานะนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกคนหนึ่ง ถึงแม้วิธีการได้มา มันจะโหดร้ายสำหรับหลายๆคน บั๊บบาย โซรอสสสสส

------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
Mr.Messenger






Create Date : 01 มิถุนายน 2560
Last Update : 1 มิถุนายน 2560 11:19:37 น. 0 comments
Counter : 1226 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Querist
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 11 คน [?]




Friends' blogs
[Add Querist's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.