ธาตุแท้ ของคุณคืออะไร?
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมพยายามคิดหาวิธีการที่นำ สิ่งที่ผมถนัด (Aptitude / Talent) ก็คืองานทางด้านเทคโนโลยีที่ทำอยู่ และ สิ่งที่เราชอบหรือหลงไหล (Passion) คือ การวาดรูป ศิลปะ และ การสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น ให้มันมาบรรจบกัน เป็นสิ่งที่ทำแล้วมีความหมาย มีคุณค่า และเต็มไปด้วยความสุขในคราวเดียวกัน
แล้วก็มาเจอหนังสือเล่มนี้ครับ พูดถึงเรื่องราวที่ผมกำลังหาทางออกอยู่ อธิบายถึง ความสำคัญของการหาตัวเอง จินตการ ความคิดสร้างสรรค์ ความรักในสิ่งที่ทำ
ซึ่งในหนังสือเรียกว่า The Element / ธาตุ
ถึงจะอ่านจบไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบหรอกครับว่า ทำยังไง ไอ้สิ่งที่ผมหาทางอยู่มันจะลงตัว แต่อย่างน้อยก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ และ คนอื่นๆ ก็มีปัญหาเรื่องนี้อยู่ และหาทางของตัวเองอยู่เหมือนกัน
เลยมาสรุปไว้เผื่อกลับมาทวนอ่านซ้ำเองครับผม
The Element / ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
The Element หรือในหนังสือเรียกว่า ธาตุ คือการอธิบายถึงภาวการณ์ของ
สิ่งที่เราถนัดหรือทำได้ดี (พรสวรรค์: Talents) กับ
สิ่งที่เราชอบหรือหลงไหลเป็นพิเศษ (ความหลงไหล: Passions)
เฉพาะตัวมาบรรจบกัน ซึ่งจะกลายเป็นพลังบันดาลใจให้เราก้าวสู่ความสำเร็จเกินกว่าที่นึกฝันได้อีกมาก ซึ่ง ความเข้าใจนี้จะเปลี่ยนทุกสิ่งอย่าง มันช่วยให้เราพบสิ่งที่ดีที่สุดในตัวเอง
แต่ปัญหาแรกที่ทำให้คนทั่วไปค้นหาตัวเองไม่พบ ก็คือ ระบบการศึกษา ซึ่งถูกอกแบบมา แบบเดียวใช้ได้กับทุกคน เป็นไปไม่ได้ที่จะตอบความแตกต่างกันของแต่ละคน ทำให้คนธรรมชาติของเขาที่ไม่เข้ากับวิธีการเรียนแบบนี้ ถูกทิ้งไว้ชายขอบโดยปริยาย
เมื่อเราได้ค้นพบ ธาตุ ของตัวเอง และอยู่ในธาตุภาวะที่แท้จริงแล้ว เราจะรู้สึกเชื่อมโยงกับอะไรที่เป็นพื้นฐานความเป็นตัวตน เป้าหมาย และความสุขของเรา รู้สึกถึงการปลดปล่อยตัวเอง ได้รู้ว่าตัวเองเป็นใคร และอะไรคือสิ่งที่อยากทำจริงๆ ในชีวิต
การจะค้นพบธาตุของเรา ประกอบด้วยคุณสมบัติ 2 อย่าง และ เงื่อนไข 2 ประการ
ความถนัด (Aptitude / Talent)
ความหลงใหล (Passion)
และ เงื่อนไข คือ
ทัศนคติ (Attitude)
โอกาส (Opportunity)
บ่อยครั้งเราจำเป็นต้องให้คนอื่นช่วยชี้แนะว่าพรสวรรค์ที่แท้จริงของเราคืออะไร และบ่อยครั้งที่เราเองก็ช่วยให้คนื่อนๆ ค้นพบพรสวรรค์ของเขาได้เหมือนกัน
แล้วเราจะหาธาตุของเราเองเจอได้อย่างไร ?
คิดต่าง
หลักการสำคัญในการหา ธาตุ ของคนเรา คือ เราจำเป็นต้องท้าทายสิ่งที่ถือกันว่าเป็นปกติธรรมดา (Status quo) เกี่ยวกับความสามารถของตัวเราเอง และของคนอื่นๆ
ศัตรูที่สำคัญของความคิดสร้างสรรค์ และนวัตกรรม ก็คือ สามัญสำนึก
หากมีคนถามคุณว่า คุณฉลาดแค่ไหน ?
เราควรถามต่อว่า ความฉลาดคืออะไร? ความฉลาดด้านไหน? ..
เพราะจริงๆ แล้วควรถามว่า คุณฉลาดแบบไหน ?
เพราะความฉลาดนั้นยากที่จะวัดออกมาได้ด้วยเกณฑ์เดียว
ยุคแห่งการรู้แจ้ง (the Enlightenment) ยุคที่ทำให้คนเลิกเอาเรื่องเทพเจ้าและไสยศาสตร์มาอธิบายการดำรงอยู่ของมนุษย์ หลักการสำคัญ คือ จะเชื่ออะไรต้องมี หลักฐาน หรือคำอธิบายที่เป็น เหตุผล ซึ่งการปฎิวัติทางสติปัญญานี้เปลี่ยนโฉมทัศนะการมองโลกและความสำเร็จของโลกตะวันตกไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เกิดการเติบโตและขยายตัวของวิธีการแบบวิทยาศาสตร์ แต่นั้นก็เป็นที่มาของระบบการศึกษาที่เราพูดถึงกัน เรามีความเข้าใจว่า หากสามารถอธิบายถึง เหตุผล (ภาษาศาสตร์) หรือ หลักฐานได้ (คณิตศาสตร์) นั้นคือเป็นคนฉลาด
แต่จริงๆ แล้ว การไม่เก่งเลข หรือท่องอักษรไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าคนคนนั้นเป็นคนไม่ได้เรื่องเสมอไป
หากต้องการพัฒนาสติปัญญา ให้พยายามฝึกคิดสิ่งต่างๆ ในเชิงเปรียบเปรบกัน เพราะสติปัญญานั้นเติบโตจากการเปรียบเทียบ การมองเห็นสิ่งต่างๆ ในลักษณะเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
แล้วเราจะพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมาได้อย่างไร?
เหนือจินตนาการ
ต้องเริ่มต้นจากการมี จินตนาการ
จินตนาการ การมองเห็นในใจ
จินจนาการ พลังความสามารถในการนำสิ่งต่างๆ เข้าสู่จิตใจโดยไม่ต้งอาศัยการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสอื่นใด
จินตนาการ ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ ความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์ใช้กระบวนการจินตนาการเป็นพื้นฐานเพื่อไต่ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง หรือ เรียกว่า ความคิดสร้างสรรค์ที่นำจินตนาการมาประยุกต์ลงมือทำ
ต้องฝึกจินตนาการถึงสิ่งใหม่ แม้แต่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้น สิ่งที่ไม่มีใครเชื่อว่าเป็นไปได้ ถ้าคุณไม่พร้อมรับความผิดพลาด คุณก็จะไม่มีวันทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนได้
เมื่อเรามีจินตนาการ มีความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมักเกิดขึ้นเอง ไม่ได้เป็นไปตามลำดับขั้นตอน มักเกิดจากการมองเห็นความเชื่อมโยงและความคล้าคลึงกัน วิธีคิดสร้างสรรค์ต้องอาศัยวิธีคิดแบบแตกแขนงอย่างมาก โดยเฉพาะการเปรียบเทียบหรืออุปมาอุปไมย
มนุษย์ เปลี่ยนชีวิตตนเองได้ด้วยการเปลี่ยนทัศนะในใจ
มนุษย์ ถ้าเปลี่ยนใจได้ ชีวิตก็ก็เปลี่ยน
แต่พอคุณคิดจะลุยตามสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ก็จะย่อมมีแรงต้าน !
คนอื่นจะคิดอย่างไร
บางที ความกลัว อาจจะเป็นอุปสรรคที่เจอบ่อยที่สุดในการค้นหาตัวเอง จะมีแรงต้านทั้งจาก บุคคลรอบตัว สังคม รวมถึง วัฒนธรรมที่เราอยู่
บุคคลรอบตัว ได้แก่ คนที่รักและหวังดีกับคุณ ไม่ว่าจะเป็น พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อสนิท มิตรสหาย คุณต้องชั่งใจให้ดี ถ้าคิดว่าใช่แล้ว ก็ลุยไปอย่าได้ยั้ง
สังคม ให้ระวัง การคล้อยตามกลุ่ม การอยู่เป็นกลุ่มปกติบางทีอาจทำให้ความเป็นตัวคุณเลือนหายไปกับกลุ่ม ยกเว้นว่า เราได้เจอกลุ่มคนที่มีธาตุเดียวกับเรา แล้วหมกหมุ่นเรื่องนั้นไปด้วยกัน
วัฒนธรรม เรื่องบางเรื่องต้องท้าทายกับสิ่งที่บางทีเราก็ซึบซับมาจากพื้นเพเราอย่างไม่รู้ตัว
ยกตัวอย่างเรื่องวัฒนธรรม เคยมีการศึกษาระบบการคิดของฝั่งยุโรป และฝั่งเอเชีย โดยการให้คนจากทั้งสองฝั่ง เห็นภาพเดียวกัน คือ ภาพเสือตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ที่มีพื้นหลังเป็นป่า ทางฝั่งยุโรป จะอธิบายไปที่รายละเอียดของเสือที่อยู่ตรงกลางภาพ ส่วนทางฝั่งเอเชีย จะอธิบายว่า เสืออยู่ในป่า หรือป่าที่มีเสืออยู่
อธิบายได้ว่า ทางฝั่งยุโรปจะมีแนวความคิดสติปัญญาที่เป็นปัจเจก คือเน้นทำความเข้าใจไปในตัวบุคคลที่ชัดเจน เพราะฉะนั้น องค์ความรู้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ตัวมนุษย์และตรรกกะต่างๆ แม้แต่ศิลปะ ก็จะเห็นชัดไปทางศิลปะของมนุษย์
ส่วนฝั่งเอเชีย จะพัฒนาสติปัญญาไปในลักษณะเารเชื่อมโยง การมองภาพรวมเป้นหลัก ปรัชญาและศิลปะต่างๆ จึงจะเน้นไปทางธรรมมะ ธรรมชาติ ภาพวิว ทิวทัศน์อันสวยงาม
Feel the Fear and Do It Anyway จงลงมือทำทั้งที่กลัว
ทำเพราะรัก หรือ ทำเพราะเงิน
คำว่า Amateur มาจากศัพท์ภาษาละติน แปลว่า คนที่อุทิศเพื่อสิ่งที่รัก หรือ คนที่ทำอย่างกระตือรือล้นเพื่อบรรลุเป้าหมายบางอย่าง ถ้าตามความนี้ Amaeture คือคนที่ทำอะไรบางอย่างเพียงเพราะเค้ารักสิ่งนั้นอย่างแรงกล้า ไม่ใช่เพราะมันสร้างรายได้
การได้อยู่กับ ธาตุแท้ ของคุณนั้นไม่จำเป็นต้องทิ้งสิ่งอื่นทั้งหมด ย่อมมีเหตุผลที่แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ในการเลือกทำตาม ธาตุ ของตัวเองเป็นงานหลัก หรือ เป็นแบบ Amateur
วัตถุประสงค์อีกอย่างของการหาตัวเองก็คือ การได้สร้างชีวิตที่สมดุล ระหว่างการหารายได้เลี้ยงชีวิตอย่างมีความสุข การได้ค้นหาตัวเองและสร้างความเชื่อมต่อ หรือแบ่งช่วงเวลาของชีวิตให้กับสิ่งที่เป็นตัวเราเอง มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสุขในชีวิต
กาย ณครินทร์
บันทึกย่อ จาก
หนังสือ: The Element ฉันเกิดมาเพื่อสิ่งนี้
ผู้เขียน: Ken Robinson and Lou Aronica