อย่าคาดเดาทิศทางตลาด
อย่าคาดเดาทิศทางตลาด
ความผิดพลาดหลักๆของนักลงทุนชั้นเซียนหลายคนคือการเชื่อว่าตัวเองคาดเดาทิศทางของตลาดได้ หรือเชื่อว่ามีคนที่เขาเชื่อถือคาดเดาทิศทางตลาดได้เช่น นักวิเคราะห์ชั้นเซียน ,เซียนหุ้นตามเว็บบอร์ด ฯลฯ หรือ คิดว่าตลาดหุ้นขึ้นมาสูงเกินไปแล้วเป็นฟองสบู่แล้วหรือ ตลาดหุ้นอยู่ในช่วง Super Cycle ที่SETจะวิ่งไป3000จุดได้ ฯลฯ ในความเป็นจริงแล้วไม่ว่าคุณจะลงทุนในตลาดหุ้นมานานแค่ไหนคุณจะเก่งกราฟแค่ไหนคุณก็ไม่สามารถคาดเดาทิศทางตลาดได้แม่นยำ แม้แต่ SuperComputer มูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญกับข้อมูลมหาศาลที่ Goldmansacมีและเคยลองทำนายอนาคตตลาดหุ้นก็ไม่สามารถทำนายได้ถูกต้องเลย ปีเตอร์ ลินช์ หรือ วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยโดนถามถึงทิศทางตลาดหุ้นเขาก็ยอมรับว่าไม่มีความสามารถพอจะคาดเดาได้แค่คิดว่าในระยะยาวแล้วดีกว่าสินทรัพย์อื่นๆ หรืออีกหลายๆคน เช่นที่ผมฟังมากับหูคือ ดร.ดูม หรือ รูบินี่ผู้คาดเดาวิกฤตซับพราม ได้แม่นยำเคยบอก(ในปี 2011) ว่าปี2012-2013 จะเป็นปีที่ตลาดหุ้นดิ่งมาก เพราะ3วิกฤต จะมาพร้อมกัน ทั้งสหรัฐ ยุโรป และจีนชะลอ แต่สุดท้ายก็ผิด หุ้นกลับวิ่งไปทำ newhighได้เกือบทั้งโลก มีคนอยู่น้อยนิดในโลกที่เข้าใจสิ่งนี้หนึ่งในนั้นคือWARREN BUFFET อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทำอย่างไรจึงจะได้รู้ว่าเมื่อไรหุ้นจะขึ้นและเมื่อใดหุ้นจะลงวิธีเอาชนะตลาดหุ้นจนประสบความสำเร็จจนร่ำรวยของเขาหลักคิดที่เป็นหัวใจนั้นตั้งอยู่บนฐานที่ว่าเราไม่สามารถรู้ได้หรอกว่า เมื่อใดหุ้นจะขึ้นและเมื่อไรจะลงการพยายามกะเก็งวงจรของตลาดจึงทำให้ประสิทธิภาพและผลตอบแทนต่ำกว่าที่ควรจะเป็นวิธีการทำกำไรจากตลาดหุ้นของเขาคือการซื้อหุ้นที่ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาวพยายามซื้อในเวลาที่ตลาดตกต่ำมูลค่าหุ้นต่ำกว่าปัจจัยพื้นฐานและสามารถนั่งดูหุ้นที่ตัวเองซื้อราคาปรับลงไปอีกกว่าครึ่งได้โดยไม่รู้สึกขวัญผวาเมื่อซื้อแล้วให้ถือหุ้นที่ดีไว้ตลอดไปเท่าที่นานได้ขายหุ้นที่ไม่ดีที่ผิดพลาดออกไปฯลฯ (รายละเอียดอ่านหนังสือของ WARRENBUFFET) เบน เกรแฮมเคยกล่าวไว้ว่าการคาดการณ์ตลาดหุ้นในระยะสั้นนั้นเป็นยาพิษและมองพวกโบรกเกอร์ที่พยายามคาดเดาตลาดว่าเป็น เสมือน เด็ก(แต่จริงๆโบรกเกอร์ เขาอยากให้เราซื้อขายบ่อยๆเพื่อให้เขามีกำไร สภาพตลาด คือ กลลวง นักลงทุนที่ดีไม่จำเป็นต้องรู้ทิศทางตลาดเลยคุณอย่าได้กลัวตลาดรวมจะลงหรืออย่าได้กลัวตลาดหุ้นจะวิ่งขึ้นไป จงดูที่ตัวธุรกิจ ใช่แล้วครับกลับไปที่หลักการพื้นฐานข้อแรกๆคือลงทุนในหุ้นคือ การลงทุนในธุรกิจตลาดหุ้นจะกระทิง หรือหมีมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจเรา(ยกเว้นหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์)ราคาหุ้นที่ตกลงมามากๆโดยพื้นฐานธุรกิจไม่เปลี่ยนคือโอกาสการลงทุนที่ดีหากมีเงินก็ซื้อเพิ่มได้ หากไม่มีเงินก็อยู่เฉยๆในทางกลับกันตลาดหุ้นกระทิงที่ทำให้ราคาหุ้นเราวิ่งขึ้นไปสูงแล้วสูงอีกมีแต่คนอยากเข้ามาซื้อเพิ่มแต่เราคิดว่ามันแพงก็อยู่เฉยๆ สภาพตลาด คือ กลลวง เหมือนเวลาดูมายากลเขาจะให้เราดูในสิ่งที่ดึงดูดความสนใจเราไปผิดทางหากเขาจะล้วงกระเป๋ากางเกงคุณเขาจะให้คุณดูไปบนท้องฟ้านักลงทุนรายย่อยเราโดนหลอกให้เฝ้าดู ดัชนี Dow Jone ตอนกลางคือและตื่นมาดู HangSeng ของฮ่องกงอีกทั้งที่มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำกำไรของธุรกิจที่เราถืออยู่เลยมันไม่ใช่แนวโน้มระยะยาวใดๆด้วยซ้ำเป็นเพียงการแกว่งตัวในระยะสั้นผมจะยกตัวอย่างจริงของเซียนหุ้นเพื่อนผมให้ฟัง ในปี 2012มีนักลงทุนหลายคนเห็นตลาดหุ้นขึ้นมาเยอะมาก(SET ขึ้นมาจาก1050 ไป 1350) ก็ทยอยลดพอร์ทแต่แล้วหุ้นดีๆหลายตัวก็วิ่งขึ้นต่อไปได้อีกเยอะมากในต้นปี2013 (SET วิ่งจาก1350 ไป 1650) ทั้งๆที่ธุรกิจที่เขาถือหุ้นมีกำไรดีขึ้นแต่เซียนหุ้นคนนี้กลัวตลาดหุ้นจะตกแล้วทำให้ราคาหุ้นเขาตกตามไปด้วย เขาจึงขายซึ่งวิธีนี้ไม่มีใครรู้ว่าถูกหรือผิด พอกลางปี 2013ตลาดหุ้นปรับตัวลงแรงกับข่าวยกเลิก QE สภาพตลาดที่ดูน่ากลัวก็จะทำให้เรารู้สึกไม่อยากลงทุนเพราะจะคิดว่ามันมีโอกาสที่จะลงต่อไปได้อีกหลายคนยอมขายหุ้นธุรกิจที่ดีๆไปในราคาที่ถูกเพราะรู้สึกทรมานที่เห็นราคาหุ้นไหลลงทุนวันบางคนไม่ขายแต่ก็ไม่กล้าซื้อของดีราคาถูกนั้นซึ่งขณะที่ผมบันทึกในสมุดนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าตลาดไปทางไหนต่อแต่สิ่งที่ผมพยายามบอกเคย อย่าได้แคร์มีเรื่องจริงอีกเรื่องคือ ในวิกฤตซับพราม ปี 2008ตลาดหุ้นน่ากลัวมากๆหุ้นตกวันละ 30% กันเต็มกระดาน แต่ วอร์เรน บัฟเฟตต์เป็นนักลงทุนส่วนน้อยที่กล้าลงทุนอย่างจริงจังในขณะที่สหรัฐกำลังประสบปัญหาซับพรามในปี 2008และทุกสำนักต่างคาดการณ์ว่าวิกฤตนี้จะทำให้ตลาดหุ้นดำดิ่งลงไปต่ออีกหลายปี(แน่นอนว่าสุดท้ายแล้ว บัฟเฟตต์ก็ชนะอีกแล้ว) สรุปก็คือพยายามติดตามข่าวสารเพื่อเชื่อมโยงไปที่ตัวธุรกิจไม่ใช่เพื่อทำนายทิศทางตลาดหุ้นอย่าไปยึดติดกับ SET ว่ามันจะขึ้นหรือลงแม้ว่าหุ้นเราจะแกว่งไปตาม SETบ้างแต่นั้นคือระยะสั้นแต่ระยะยาวราคาหุ้นเราจะเป็นไปตาม ผลประกอบการณ์ 1กลับเข้าสู่ความจริงว่า ตลาดหุ้นจะขึ้นหรือลงกระทบธุรกิจเรามากน้อยแค่ไหน 2 อย่าได้สนใจในราคาที่แกว่งขึ้นหรือแกว่งลง ในระยะสั้นจงดูที่พื้นฐานตัวธุรกิจ หรือหากจะมองราคาหุ้นให้มองภาพใหญ่ดูเทรนก็พอ ดวง กับ การลงทุน มีหลายคนบอกว่าเล่นหุ้นให้รวยได้ต้องมีดวงบางคนซื้อหุ้นปุ๊บหุ้นตกเลยพอขายแล้วหุ้นขึ้น จริงๆแล้วคำว่า ดวง หรือโชคนั้นเกี่ยวข้องกับการลงทุนหุ้นระยะสั้นเท่านั้นเพราะในความเป็นจริงไม่มีใครจะทำนายได้เลยว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลงหุ้นตัวใดจะวิ่งขึ้น(ไม่นับรวมพวกปั่นหุ้น)ดังนั้นการลงทุนระยะสั้นเช่นซื้อหุ้นปุ๊บแล้วลุ้นให้หุ้นขึ้นมันคือการเสี่ยงโชคแต่ถ้ามองหุ้นเป็นการลงทุนระยะยาวแล้วหุ้นจะขึ้นหรือลงในระยะยาวนั้นอยู่ที่ผลดำเนินงาน หรือกำไร นั่นเอง หากกำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแนวโน้มราคาก็ควรจะขึ้นไปเรื่อยๆเช่นกัน เป็นเรื่องธรรมดาที่ซื้อหุ้นแล้วราคาหุ้นจะตกลงไปบ้าง ในชีวิตการลงทุนของเซียนหุ้นหลายคนผมว่าเป็นเรื่องปกติมากที่เมื่อเราซื้อหุ้นแล้วราคาหุ้นจะไม่ขึ้นอาจจะทรงๆอยู่เป็นเดือนๆ หรือแย่ไปกว่านั้นคือ ราคาหุ้นกลับลดลงไปอีก10%-20%พออ่านตรงนี้คุณอาจจะอยากเถียงผมว่าลักษณะแบบนี้ไม่ใช่เซียนหุ้นแล้วเพราะหลายคนโดยเฉพาะคนรุ่นหนุ่มสาวมักมีความคิดว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาหุ้นจะต้องขึ้นหากซื้อหุ้นแล้วราคาลงมีตัวเลขขาดทุนโชว์แดงในพอร์ทแล้วจะเกิดความเครียดขึ้นมา คำว่าCut lossจะลอยเข้ามาในหัวเราเลยหรืออาจจะคิดว่าราคาขึ้นมาเท่าทุนเมื่อไรจะขายทิ้งไปเลย attitudeแบบนี้แหละครับที่ผมอยากใหคุณเปลี่ยนใหม่ เราไม่จำเป็นต้องซื้อหุ้นได้ที่ราคาต่ำสุด หลักการลงทุนที่ดีนั้นเราทราบมาแล้วว่ามันเรียบง่ายมากนั่นคือเลือกธุรกิจที่ดีพิจารณาราคาที่เหมาะสมหากโชคดีตลาดหุ้นกำลังแย่เราก็สามารถลงทุนในธุรกิจนั้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าของมันได้ง่ายมั้ยครับ ?แต่สิ่งที่มันยากก็คือเมื่อเราเข้าไปซื้อหุ้นสักตัวที่เราคิดว่าราคามันลงมาต่ำแล้วปรากฎว่าเมื่อซื้อแล้วราคาหุ้นมันลงต่อไปอีกสิ่งนี้คือสิ่งที่หลายคนเคยประสบและความรู้สึกที่ตามมาก็คือ ลังเล, แคลงใจ (ว่ามันเป็นหุ้นที่ดีหรือเปล่า)จุดนี้แหละครับที่ทำให้นักลงทุนทั่วไปพลาดท่า เพราะโดยหลักจิตวิทยาแล้วหุ้นที่ขาดทุนอยู่จะทำให้เรารู้สึกว่ามันอาจจะไม่ใช่หุ้นที่ดีตรงนี้เราต้องกลับไปเช็คข้อมูลที่เราวิเคราะห์อีกครั้งว่าธุรกิจมันดีจริงหรือไม่หากมันดีจริงอย่าได้หวั่นไหวครับการซื้อหุ้นแล้วราคาหุ้นลงไปต่อเป็นเหตุการณ์ปกติในตลาดหุ้นครับราคาหุ้นในระยะสั้นไม่ได้สะท้อนกับปัจจัยพื้นฐานแต่เป็นไปตามอารมณ์ของตลาดขณะนั้นดั่งคำพูดของ Benjamin Graham intheshort run, the market is like a voting machine. But in the long run, themarketis like a weighing machine ดังนั้นเมื่อเราซื้อหุ้นแล้วราคาหุ้นจะขึ้นไปเลยหรือลงต่อ ก็เป็นเรื่องปกติทั้ง 2 ทางครับ หากเราเลือกหุ้นที่ดีมาแล้วแต่ราคาหุ้นไม่ไปไหนให้คุณตอบคำถามตัวเองว่า อนาคตข้างหน้ากำไรของบริษัทจะโตกว่านี้มั้ยหากคำตอบคือ ใช่ ก็ไม่ต้องกังวล แสดงว่ายังไม่ใช่วันของมัน (ในบทหลังๆจะแนะนำ วิธีเลือกซื้อหุ้น ซึ่ง 1ในลักษณะหุ้นที่ดีคือ ต้องมี ตัวเร่ง (catalyst)หรือ storyมันคือจุดที่ทำให้เรารู้สึกว่าตลาดจะเห็นศักยภาพของหุ้นที่เรามีแล้วราคาน่าจะวิ่งไปที่พื้นฐานของมันโดยเร็ว)แต่หากคำตอบคือ ไม่แน่ใจอันนี้คือความเสี่ยงครับยิ่งหากคุณไม่รู้ว่าบริษัทนี้ทำธุรกิจอะไรที่แน่ชัดการลงทุนของคุณคือ การวัดดวงแล้วครับ
Create Date : 08 กันยายน 2560 |
|
0 comments |
Last Update : 8 กันยายน 2560 15:40:53 น. |
Counter : 1113 Pageviews. |
|
|
|