|
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
|
|
|
|
|
มาร์ค วีนสไตน์ กฎ 7 ข้อในการเทรด จากชายที่ไม่ขาดทุนแม้แต่สัปดาห์เดียว
=== มาร์ค วีนสไตน์ กฎ 7 ข้อในการเทรด จากชายที่ไม่ขาดทุนแม้แต่สัปดาห์เดียว ===
ตอนแรกที่ผมได้เห็นจั่วหัวแบบนี้ในหนังสือพ่อมดแห่งวอลสตรีท ยอมรับตรงๆ ว่ามันยากที่จะเชื่อว่าคุณ Mark Winstein จะทำตามได้อย่างที่เขากล่าว นั่นคือไม่เคยขาดทุนเลยแม้แต่สัปดาห์เดียว
ในทางทฤษฎีมันอาจเป็นไปได้หากใช้กลยุทธ์การเทรดแบบสั้นๆ และเก็บกำไรวันต่อวัน แต่ในทางปฏิบัติไม่เคยมีคำว่าง่าย หลักฐานเดียวที่พอจะใช้สนับสนุนสิ่งที่เขาพูดก็คือ เขาสามารถทำเงินจาก 1 แสนเหรียญให้โตขึ้นเป็น 9 เท่าในระยะเวลา 3 เดือน
ที่เหลือยังไม่เจอหลักฐานอื่นใดมายืนยันในสิ่งที่เขาพูดได้ แต่ถึงอย่างนั้น กฎในการเทรด 7 ข้อที่ถูกเขียนไว้ตอนสัมภาษณ์ลงหนังสือ คุณค่าของมันไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาเก่งจริงหรือไม่ แต่มันอยู่ที่การนำไปใช้ซะมากกว่า
และในบรรดากฎทั้ง 7 ข้อนี้ ไม่มีกฎข้อไหนเลยให้เน้นทำกำไรเยอะๆ บางทีถ้าเราป้องกันความเสี่ยงได้ดีพอ เอาตัวให้รอดก่อน สุดท้ายตลาดก็จะมอบกำไรให้แก่เราเองครับ
กฎ 7 ข้อในการเทรดของ Mark Weinstein (1) ทำการบ้านให้หนัก และต้องรู้ทุกรายละเอียดในเครื่องมือที่ใช้ในการเทรด
สำหรับนักลงทุนสายปัจจัยทางเทคนิค เราจำเป็นที่จะต้องติดตามดูชาร์ทราคาอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในระยะแรกที่ยังไม่มีวิธีการเทรดที่ดีเท่าไหร่นัก
หรือต่อให้มีแผนการเทรดที่ดีแล้ว การติดตามราคาหุ้นยังต้องทำอย่างต่อเนื่อง ยิ่งคนที่เน้นเล่นสั้นหรือเทรดในวัน การติดตามตลาดหุ้นคือสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ต่อให้ปิดตลาดไปแล้ว ก็ต้องเปิดกราฟดูเพื่อเช็กคุณภาพของหุ้นที่ถือ รวมไปถึงหาหุ้นสำหรับเทรดตัวใหม่
(2) เทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จจะไม่มีอีโก้หรือทำตัวโอหัง
ถ้ามีอีโก้ ในไม่ช้าเราจะถังแตกเพราะคุณจะละเลยการควบคุมความเสี่ยง เพราะคิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะตลาดได้
ทุกคนย่อมมีช่วงเวลาที่ได้กำไรก้อนใหญ่ ลองนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้นดูเล่นๆ ว่าอารมณ์เรามาเต็มขนาดไหน ทั้งความมั่นใจ อีโก้ ความหยิ่งยโสโอหัง ซึ่งการมีอารมณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเราคือมนุษย์ แต่เราต้องเรียนรู้ที่จะจัดการกับอารมณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่ว่าจะได้กำไรก้อนใหญ่มาขนาดไหน หรือตลาดเป็นใจสักเพียงใด การคุมความเสี่ยงยังจำเป็นเสมอ
(3) เข้าใจในข้อจำกัดของตัวเอง เพราะทุกคนล้วนมีจุดอ่อน
ถ้าเราไม่สามารถแก้ไขจุดอ่อนได้ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ซึ่งจุดอ่อนในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่เป็นตัวเราเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงปัจจัยภายนอกด้วย คนที่ต้องทำงานประจำเช้าถึงเย็น จุดอ่อนของเขาคือไม่มีเวลา การเทรดแบบซื้อขายภายในวันย่อมเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมนัก อาจต้องเปลี่ยนแนวทางการลงทุนที่ใช้ระยะเวลาถือนานขึ้น
หรือจุดอ่อนในเรื่องของนิสัยตัวเทรดเดอร์เอง ถ้าเราอดทนไม่ได้ที่จะต้องขายหุ้นเพราะรู้ว่าอีก 15 นาทีข้างหน้าราคาจะย่อตัว และอึดอัดทุกครั้งที่ซื้อแล้วถือนานๆ การเทรดเก็งกำไรระยะสั้นก็อาจเหมาะกว่า
ไม่มีวิธีการไหนดีที่สุด มีแต่วิธีการที่เหมาะกับตัวเองเท่านั้น
(4) มีความคิดที่เป็นอิสระ ไม่กังวลในความคิดของตัวเองที่ต่างจากฝูงชนส่วนใหญ่
มนุษย์มักจะตัดสินใจตามคนส่วนใหญ่ ถ้ามีคนสัก 10 คน พูดกรอกหูเราเรื่อยๆ ว่าเราคือคนที่หน้าตาดีที่สุดในประเทศ เราก็จะเชื่อไปตามนั้น ทั้งที่มันอาจไม่มีมูลความจริงเลยก็ได้
ลองนึกถึงการซื้อหุ้นสักตัว แล้วมีเซียนหุ้นที่ไหนไม่รู้มาออกข่าวลงสื่อว่าอย่าเทรดหุ้นตัวนี้ เพราะมันหมดอนาคตแล้ว เรากล้าพอที่จะถือหุ้นตัวดังกล่าวต่อหรือเปล่า ? นี่คือความหมายของการมีความคิดที่เป็นอิสระ
แต่ทั้งนี้ เราก็ต้องแยกให้ออกว่าความคิดของเราคือสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ และคนส่วนใหญ่กำลังคิดผิด ถ้าเราซื้อหุ้นทั้งที่กราฟกำลังเป็นขาลงอย่างหนัก นั่นคงไม่ใช่การมีความคิดแบบมีอิสระที่ดีเท่าไหร่
(5) รอจังหวะเทรดที่เหมาะสม และรู้ว่าเมื่อไหร่ควรอยู่ในตลาดหรือออกจากตลาด
ตลาดไม่ได้เป็นใจแก่นักลงทุนเสมอไป หากตลาดไม่ดี มองไม่ออก หรือขาดทุนอย่างหนักจนเริ่มรู้สึกไม่อยากเทรด ก็เพียงแค่ออกจากตลาดชั่วคราว หลายๆ ครั้งการไม่ทำอะไรก็อาจเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด
(6) แผนการเทรดต้องยืดหยุ่นและปรับตัวให้เข้ากับสภาพตลาดแต่ละช่วงได้ เพราะตลาดนั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
การดูอารมณ์ของตลาดคือสิ่งที่จำเป็น หากตลาดเป็นขาขึ้น การเทรดในหน้า long ย่อมง่ายกว่าและมีโอกาสทำเงินได้มากกว่าการ short การดูอารมณ์ของตลาดตรงนี้ไม่ใช่การ "คาดการณ์" แต่มันคือการดูตลาด ณ ปัจจุบันว่ากำลังอยู่ในสภาวะไหน เพื่อปรับเปลี่ยนแผนการเทรดและการจัดการเงินทุนให้เหมาะสม
(7) ทุกครั้งที่ได้กำไร อย่าไปมีอารมณ์ร่วมกับมัน เทรดเดอร์ส่วนใหญ่พอมีกำไรแล้วมักจะเสี่ยงมากขึ้นจนนำไปสู่การขาดทุนในที่สุด
คุณ Weinstein เน้นข้อนี้เป็นพิเศษ เพราะตัวเขาเองก็เคยผ่านจุดที่ทำเงินไปได้ถึงล้านเหรียญ แต่สุดท้ายก็โดนตลาดเอาคืนไปถึง 6 แสนเหรียญ เพราะฉะนั้น อย่าเก่งกว่าตลาด จงเคารพตลาดและควบคุมความเสี่ยงเสมอ
จากหนังสือ พ่อมดแห่งวอลสตรีท https://www.facebook.com/investing.in.th/photos/a.290118547681359/2868146783211843/?type=3&theater
Create Date : 07 สิงหาคม 2562 |
Last Update : 7 สิงหาคม 2562 13:34:32 น. |
|
0 comments
|
Counter : 726 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|